แต่หลังจากความแตกตื่นเริ่มหายไปดูเหมือนทุกคนจะคิดได้ว่า ในเมื่ออย่างไรก็ต้องอยู่ร่วมกับมันอย่างแน่นอนแล้ว สู้หาวิธีสอนแบบใหม่ที่ทำให้เด็กใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าๆ กับที่ยังไม่สูญเสียความสามารถเรื่อง critical thinking ไปจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ซึ่งปฏิกิริยาแบบที่สองนี้สอดคล้องกับการเปิดรับ AI เข้ามาใช้งานในหลายแวดวงมากขึ้น โดยเฉพาะในวงการธุรกิจ และการวิจัยหลายๆ สาขา
บทความหนึ่งใน Website ของ World Economic Forum ผู้เขียนได้เสนอมุมมองของผู้คนที่เขาพบเจอที่มีต่อ AI ไว้เป็น 3 ประการคือ [2]
กลุ่มแรกคือคนที่ไม่เข้าใจ AI ถ่องแท้ และมองมันอย่างงงๆ ว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ แทนที่จะเห็นว่านี่คือพลังขับเคลื่อนอันทรงอานุภาพที่จะสร้างคุณค่าใหม่ๆ แก่สังคม
กลุ่มที่สองคือกลุ่มที่กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นพวกล้าหลังไปเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในแวดวงอาชีพการงานของตัวเอง น่าแปลกเหมือนกันว่าเท่าที่ผมเองเจอ คนที่มีความกังวลเรื่องนี้คือกลุ่มที่งานประจำห่างไกลจากเทคโนโลยีค่อนข้างมากอย่างนักเขียนนิยาย ส่วนคนในสายอาชีพที่ AI ทำงานได้เร็วกว่า แม่นยำกว่าแน่นอนอย่างโปรแกรมเมอร์กลับอ้าแขนรับมันเป็นอย่างดี เพราะสบายตัวขึ้นเยอะ
และกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่มองด้วยความกังวลว่า แนวทางและกฎระเบียบที่จะควบคุมการใช้งาน AI ตามไม่ทันคนที่อ้าแขนรับมันมาใช้งานไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนในเรื่องนี้คือ การใช้งาน AI ในกลุ่ม image generator ที่กำลังถกกันฝุ่นตลบเรื่องลิขสิทธิ์
เมื่อ AI จะถูกใช้งานอย่างกว้างขวางทั้งในภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา การบริการสาธารณะสุขหรือแม้กระทั่งงานศิลปะหลายแขนง ผู้ใช้พยายามจะรีดเอาขีดความสามารถของมันออกมาให้ได้สูงสุด ในขณะที่กฎระเบียบที่จะใช้ควบคุมยังตามไม่ทัน เพราะไม่รู้ว่าจะควบคุมอะไร ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้งาน AI อย่างไม่ระมัดระวังหรือขาดความรับผิดชอบจึงอาจเกิดได้ในหลายรูปแบบเช่น [3]
1 การสร้างข่าวปลอม ซึ่ง ณ เวลานี้ยังคงเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลเท็จประกอบหลักฐานด้วยการสร้างภาพหรือภาพเคลื่อนไหวจาก AI เพื่อให้ดูสมจริง ถ้ามันเป็นเรื่องตลกขบขันอย่างข่าวพบสัตว์ประหลาดที่เป็นจระเข้ก็ไม่ใช่ปลาก็ไม่เชิงอย่างที่เคยแชร์กันในโซเชียลมีเดียบ้านเรา จนต้นตอในกลุ่ม AI art ต้องขอกันให้ลงลายน้ำในรูปที่เอาขึ้นมาอวดกัน นั่นยังพอทำเนา
4 การเพิ่มอัตราการว่างงาน ข้อนี้อาจจะยังไม่ถึงขั้นทำให้คนที่มีงานอยู่แล้วต้องตกงาน เพราะ AI ยังไม่สามารถทำงานแทนคนได้โดยอัตโนมัติดังที่กล่าวแล้ว แต่จากการสอบถามพรรคพวกที่อยู่ในธุรกิจโฆษณาและ software house AI ช่วยให้พนักงานที่มีอยู่ productive มากขึ้น
ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันแปลว่่า ถ้าขยายงาน จะสามารถเพิ่ม workload ได้โดยไม่ต้องเพิ่มพนักงานหรือเพิ่มพนักงานน้อยกว่าจำนวนที่เคยทำมาแต่ก่อนหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแม้ AI จะยังไม่ทำให้คนที่มีงานอยู่แล้วต้องตกงาน มันก็ทำให้โอกาสของคนที่กำลังหางานลดน้อยลง
ในบทความบน Website ของ World Economic Forum ได้เสนอแนวทางการจัดการ AI ไว้สรุปได้ว่า AI ควรเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้ และทุกคนพึงเข้าใจคุณค่าที่ AI สามารถสร้างให้แก่สังคม