12 มิ.ย. 2023 เวลา 07:47 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

เราเห็นอะไรจากหนังเรื่อง THE THING

ล่าสุดแพล็ตฟอร์ม Letterboxd ได้จัดอันดับภาพยนตร์แนวสยองขวัญ 250 เรื่องที่ดีที่สุดในโลกโดยรวบรวมจากคะแนนของสมาชิกในแพลตฟอร์มที่โหวตให้ โดยไล่จากคะแนนน้อยที่สุดไปจนถึงคะแนนมากที่สุด
(Letterboxd คือแพล็ตฟอร์มที่คล้ายๆ pantip บ้านเรา เพียงแต่เนื้อหาการพูดคุยของสมาชิกนั้นจะเกี่ยวกับการวิจารณ์หนังล้วนๆ ซึ่งได้รับความนิยมเพราะการวิจารณ์ส่วนใหญ่นั้นมาจากบุคคลทั่วๆไป ไม่ใช่นักวิจารณ์หนังมืออาชีพ)
ทั้ง 250 อันดับประกอบไปด้วยหนังสยองขวัญจากทั่วทั้งโลก ทั้งหนังผี,หนังฆาตกรต่อเนื่อง,หนังซอมบี้ และหนังสัตว์ประหลาดจากต่างดาว ซึ่งบางเรื่องแม้เราจะไม่เคยดูแต่ก็คงเคยได้ยินผ่านๆบ้าง
ซึ่งการจัดอันดับนี้มันน่าสนใจตรงที่ว่า หนังผีอย่าง “The Conjuring” นั้นอยู่ที่อันดับ 241 เรียกว่าเกือบจะที่โหล่อยู่แล้ว ส่วนอันดับ 1 ที่สมาชิกโหวตมากที่สุดนั้นกลับเป็นหนังสัตว์ประหลาดเอเลี่ยนบุกโลกอย่าง “The Thing(1982)” หรือชื่อภาษาไทยคือ “ไอ้ตัวเขมือบโลก” ซึ่งแน่นอนว่าสอดคล้องกับสำนักวิจารณ์หนังหลายๆเจ้า ที่ยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญเบอร์ต้นของโลกเช่นกัน
ก่อนอื่นเชื่อว่าหลายคนเวลาพูดถึงหนังสยองขวัญ เรามักจะนึกถึงหนังผีเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะตลาดหนังบ้านเรามันมีหนังที่ถูกนำเสนอเพียงไม่กี่ประเภท ไม่หนังตลกปนรัก ก็หนังผี ซึ่งมันสร้างภาพจำสำหรับผู้ชมอย่างเราๆว่า หนังไทยต้องติดตลกทุกเรื่อง และ หนังผี = สยองขวัญ
ซึ่งมันไม่ใช่
เพราะหนังสยองขวัญไม่จำเป็นต้องมีผีก็ได้ หากว่าตัวหนังนั้นมีองค์ประกอบอย่างเช่น บรรยากาศที่แปลกตา,เกิดเหตุการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้,มีความรุนแรง+การนองเลือด และพบเจอกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ก็เพียงพอแล้วที่จะเข้าข่ายหนังสยองขวัญ แน่นอนหากโดเรม่อนมีองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นการ์ตูนสยองขวัญได้เช่นกัน
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “The Thing” จะไม่มีผีสักตัวโผล่มาในเรื่องแต่กลับสร้างความสยองขวัญจนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังขึ้นหิ้งในตำนานของโลกใบนี้ เพราะองค์ประกอบในหนังนั้นสยองขวัญกว่า “ผี” เยอะ
เรื่องราวใน The Thing เป็นเรื่องราวของกลุ่มนักวิจัยที่อยู่ในสถานีที่ทวีปแอนตาร์กติกา ที่ถูกสุนัขตัวนึงวิ่งเข้ามาในสถานีของพวกเขา พร้อมกับนักวิจัยชาวนอร์เวย์จากแคมป์ข้างๆที่ตะโกนโวยวายพร้อมวิ่งไล่หลังตามมาและพยายามที่จะสาดกระสุนใส่สุนัขตัวนั้นอย่างไร้เหตุผล
พวกเขาจำเป็นต้องจบชีวิตชาวนอร์เวย์ที่คลุ้มคลั่งลง ก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยว่าสุนัขตัวนั้นคือสัตว์ประหลาดที่สามารถ “ลอกเลียนแบบสิ่งมีชีวิต” ที่มันกลืนกินไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาพยายามกำจัดสัตว์ประหลาดตัวนี้ให้ได้ผ่านการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถ “เชื่อใจ” กันและกันได้อีกต่อไป..
แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้หนังเรื่องนี้ครองใจคอหนังสยองขวัญ ?
หลักๆคือประเด็นเรื่อง “ความกลัว” ที่ตัวหนังพยายามนำเสนอ
1.ความกลัว “ความไม่รู้” ของมนุษย์
หนังสร้างความกลัว ผ่านความ “ไม่รู้” ให้กับคนดูตลอดเวลา
ตัวหนังเองพยายามทำให้คนดูรู้สึกว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์ในเรื่องจริงๆและมีประสบการณ์ร่วมกับตัวละครต่างๆ หนังจะผูกปม “ไม่รู้” ผ่านการบอกเล่าในฉากต่างๆที่ไร้ซึ่งคำอธิบายเพื่อให้คนดูและตัวละครรู้สึกสับสนมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีตัวละครคนไหนเข้าใจในเหตุการณ์ต้นเรื่องที่ชาวนอร์เวย์พยายามไล่ยิงสุนัข 1 ตัว ไม่มีใครรู้ว่ามันคือสัตว์ประหลาด ไม่มีใครคิดว่ามันจะสามารถเลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้
ความไม่รู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวละครที่ไม่รู้ แต่นี่คือการนำเสนอความสยองขวัญรูปแบบใหม่ในยุคสมัยนั้นด้วย ใครจะไปคิดว่าสุนัขคือสัตว์ประหลาดที่สามารถกลายร่างเลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้ ? ใครจะไปคิดว่าฉากนี้สัตว์ประหลาดจะโผล่ออกมา? หนังพยายามทำให้ “ความกลัวความ “ไม่รู้”ของมนุษย์” เป็นสิ่งที่น่ากลัวและดูสยองขวัญขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดในแง่ที่ว่าทั้งตัวละครและคนดูไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้เลย
2.ความกลัว “เพื่อนมนุษย์” ด้วยกันเอง
ด้วยที่บริบทของยุคสมัยที่หนังออกฉายนั้นอยู่ในช่วง “สงครามเย็น” กำลังคุกรุ่น ประเด็นความหวาดระแวงระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถูกนำเสนออย่างแยบยลภายในเรื่อง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่ดูช่างละม้ายคล้ายคลึงกับสงครามในขณะนั้นเสียเหลือเกิน
เรามีสัตว์ประหลาดที่สามารถกลืนกินและเลียนแบบสิ่งมีชีวิตได้ ซึ่งดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับ “สายลับ” ในยุคสงครามเย็นที่ค่อยแทรกซึมประเทศคู่สงครามแล้วค่อยๆกลืนกินจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับอีกฝ่ายในที่สุด ความหวาดระแวงนี้ส่งผลร้ายอย่างหนักต่อตัวละครในเรื่องเพราะในสถานการณ์ที่โลกเหมือนกำลังจะแตก ตัวละครทุกคนต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่มีใครเชื่อใจกันและกัน จึงนำไปสู่การ “พิสูจน์” ที่จะพาตัวละครทิ้งศีลธรรมและลดทอนความเป็นมนุษย์ไปทีละเล็กทีละน้อยเพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวคือการค้นหาว่า “ใครคือตัวปลอม”
3.ความกลัว “ความโดดเดี่ยว” ของมนุษย์
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในทวีปแอนตาร์กติกา พื้นที่ที่แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อาศัยอยู่เลย ดังนั้นบรรยากาศของมันช่างโดดเดี่ยว
หนำซ้ำหนึ่งในทีมวิจัยได้คำนวณว่ามีโอกาสอย่างมากที่สัตว์ประหลาดนี้จะสามารถแพร่พันธุ์ไปถึงมนุษยชาติได้หากมันหลุดออกไปยังโลกภายนอก เขาจึงทำการทำลายยานพาหนะ และอุปกรณ์สื่อสารทุกอย่างที่ศูนย์วิจัยนั้นทิ้งเสียทั้งหมด
ตอนนี้เองที่ทั้งตัวละครดูต่างเข้าใจได้ว่าพวกเขา “ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก 100%” ความพยายามในกำจัดสัตว์ประหลาดที่สยองขวัญ ภายใต้บรรยากาศที่อึดอัดและชวนสิ้นหวังของศูนย์วิจัยที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พร้อมห้องเล็กห้องน้อยที่พร้อมจะซ่อนสิ่งแปลกปลอมไว้ได้ตลอดเวลา นี่คือองค์ประกอบความสยองขวัญอันยอดเยี่ยมที่ หนังเรื่องนี้ได้มอบให้แก่คนดู
ทิ้งท้ายด้วยตอนจบสุดคลุมเครือ
หนังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายด้วยฉากบู๊ระห่ำ ระเบิดภูเขาเผากระท่อมของตัวเอกที่ประเคนทั้งระเบิดขวดและไดนาไมต์แก่สัตว์ประหลาดโดยมีจุดมุ่งหมายว่ามันต้องวอดวายจนสิ้น จนถึงฉากจบในตำนานที่ตัวเอกกำลังนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่จะพบว่ามีเพื่อนร่วมทีมอีก 1 คนที่รอดชีวิตเช่นกัน ก่อนที่บทสนทนาสุดท้ายในหนังจะเกิดขึ้น “เราจะทำยังไงกันต่อ” เพื่อนร่วมทีมถามตัวเอก “เราแค่รออยู่ที่นี่ รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ตัวเอกตอบ พร้อมยื่นขวดเหล้าให้เพื่อนคนนั้นดื่ม และหนังจะตัดจบลง..
ความน่าสนใจของฉากนี้คือ
มีผู้วิเคราะห์ฉากจบนี้ต่างๆมากมาย ว่าขวดเหล้าที่ตัวเอกส่งให้กับเพื่อนดื่มนั้นจริงๆแล้วคือน้ำมันที่ไว้ใช้สำหรับทำระเบิดขวด ซึ่งตัวเอกก็รู้อยู่แก่ใจนะครับ (ซึ่งเราสามารถพูดได้ว่าแม้เหตุการณ์จะดูเหมือนจบลงแล้วก็ตามแต่ความหวาดระแวงก็ยังคงไม่จากคุณไปไหน) ซึ่งการที่เพื่อนคนนั้นดื่มโดยไม่รู้สึกแปลกอะไรก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาคือ “สัตว์ประหลาด”
แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจากผู้กำกับ ยังคงเป็นเป็นปริศนาที่ทำให้ฉากจบเรื่องนี้เป็นที่น่าจดจำ และบางทีการที่ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดก็อาจจะเป็นการจบที่สมบูรณ์แบบแล้วก็เป็นได้..
Ref:
Letterboxd’s Top 250 Horror Films
Why The Thing Is The Best Sci-Fi Horror Movie Of All Time
What Makes John Carpenter’s The Thing So Effing Scary? | Tor.com
โฆษณา