14 มิ.ย. 2023 เวลา 13:51 • ข่าว

credit : I'm from: Andromeda

นิค บอสติชมีปัญหาชีวิตมากมาย รู้สึกไร้จุดหมาย ใช้ยากระตุ้นระบบประสาท สูญเสียเพื่อนไปกับการฆ่าตัวตาย คิดตลอดเวลาว่าชีวิตของเขาเองไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่
แต่แล้วคืนวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…
คืนวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ.2022 บอสติชมีเรื่องทะเลาะแฟนสาว สุดท้ายเขาแก้ปัญหาด้วยการเดินออกจากอพาร์ตเมนต์โดยทิ้งโทรศัพท์ไว้ในห้องเพื่อไม่ให้เธอติดต่อเขาได้
ชายวัย 25 ปีข่มใจให้สงบลงด้วยการขับรถไปตามถนนยามค่ำคืนของเมืองลาฟาแยต อินเดียนา เติมน้ำมันรถ จากนั้นนั่งทอดอารมณ์สูบกัญชาที่ลานจอดรถของร้านอะไหล่รถยนต์
บอสติชชอบไปที่นี่เสมอเมื่อเขาต้องการอยู่คนเดียว เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวพร้อมควันที่คละคลุ้งอย่างเงียบๆ
บอสติชมีรูปร่างกำยำ สูง 6 ฟุต 3 นิ้ว มีหนวดเครายุ่งเหยิง และยังคงนั่งตรึกตรองคิดหาวิธีที่จะผ่านชีวิตอันยากลำบากนี้ไป
ชีวิตในวัยเด็กของเขาแทบไม่ได้รับความรักและความปลอดภัย เขาต้องไปๆ มาๆ ระหว่างแม่ของเขาในลาฟาแยตและพ่อของเขาในอาร์คันซอ บอสติชเรียนไม่ค่อยทันใคร เพื่อนๆ ต่างให้ฉายาว่า “ไอ้โง่” แต่เขาก็ยังพยายามใช้อารมณ์ขันเพื่อให้เข้ากับเพื่อนๆ แต่มันไม่เคยได้ผล
เมื่อบอสติชอายุมากขึ้น เพื่อนที่เขาสนิทที่สุดฆ่าตัวตายจากโรคซึมเศร้า ปัญหาที่สะสมมาตลอดก็หนักหนาขึ้น เขาเริ่มใช้เมทแอมเฟตามีน ติดยา และรู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะมีชีวิตอยู่ จนเกือบตัดสินใจฆ่าตัวตาย
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาพยายามเริ่มชีวิตใหม่ บอสติชเลิกยาอย่างเด็ดขาด มีแฟนชื่อคาร่า ลูอิส และทำงานที่ร้านปาป้าจอห์นพิซซ่าด้วยความขยัน แต่อดีตที่ขมขื่นยังคงกดเขาให้จมลงอยู่ในความเศร้าพร้อมปัญหาหลายอย่างในหัวที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป
หลังจากนั่งทอดอารมณ์ได้ 15 นาที บอสติชก็ตัดสินใจกลับ เขาขึ้นรถ ขับตามเส้นทางอันมืดมิดหลังเที่ยงคืนไปยังอพาร์ตเมนต์ที่แฟนสาวรออยู่
แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ ท่ามกลางเส้นทางที่แทบไม่มีไฟข้างทาง บอสติชกลับเห็นแสงสีส้มโผล่สว่างขึ้นมาอย่างผิดสังเกต
เมื่อถนนในลาฟาแยตพาเข้าไปใกล้ให้เห็นชัดมากขึ้น เขาก็เหยียบเบรคอย่างแรงทันที
“เฮ้! บ้านหลังนั้นกำลังไฟไหม้!”
บ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มากกำลังเต็มไปด้วยไฟ เปลวของมันกำลังแผดเผาออกมายังผนังนอกบ้าน
บอสติชรีบลงจากรถด้วยความเสียใจที่ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือมา
“เฮ้ ช่วยด้วย บ้านไฟไหม้!”
บอสติชตะโกนใส่รถคันหนึ่งที่ขับผ่านมา เขาพยายามให้รถคันนั้นช่วย แต่รถกลับแล่นผ่านไปโดยไม่สนใจอะไร
ประตูหน้าบ้านเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เป็นไปได้ว่าบ้านนี้มีคนอยู่ แต่บอสติชไม่เห็นใครออกมาจากบ้านแม้แต่คนเดียว เขาตัดสินใจวิ่งไปที่ประตูหลังแม้จะคาดเดาได้ว่าน่าจะล็อกอยู่ แต่เขากลับเปิดออกได้ด้วยความประหลาดใจ
โดยไม่หยุดคิดถึงอันตรายใดๆ บอสติชวิ่งเข้าไปในบ้านที่กำลังลุกไหม้ มันคือบ้านสองชั้นขนาด 5 ห้องนอนของครอบครัวบาร์เร็ตต์ ประกอบไปด้วยเดวิด ผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนมัธยมเทคัมเซห์วัย 39 ปี เทียร่า ภรรยา และลูกๆ อีก 6 คน
แต่ในคืนนี้เดวิดและเทียร่าออกไปเล่นเกมปาเป้าในเมือง ลูกอีก 2 คนไปอยู่บ้านเพื่อน
เหลือเพียงเซียอานนา วัย 18 ปี ที่อยู่ดูแลเด็กๆ ทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วยคาเรียวัยขวบครึ่ง เชย์ลีวัย 13 ปีที่พาเพื่อนมานอนบ้านด้วย และเคย์ลานี วัย 6 ขวบ
เสียงถังแก๊สในห้องครัวระเบิดดังขึ้น ปลุกเซียอานนาที่นอนห้องนอนชั้นล่างให้ตื่นขึ้นมาด้วยความสับสน
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าห้องนอนของเธอนั้นเต็มไปด้วยควันไฟ เมื่อเปิดประตูห้อง ก็พบว่าห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านหน้าเธอนั้นเต็มไปด้วยไฟ ความร้อนรุนแรงของมันแผดเผามาที่ผิวหนัง ลบล้างความคิดแรกที่เธอคิดว่าเป็นความฝันทันที
“ฉันต้องพาเด็กๆ ออกจากบ้าน”
เซียอานนาวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสอง อุ้มคาเรียออกจากเตียงแล้วรีบไปที่ห้องถัดไป ซึ่งเชย์ลีวัย 13 ปีและเพื่อนของเธอยังคงหลับสนิท
"ตื่น!!! บ้านกำลังไฟไหม้"
เธอตะโกนปลุกบอกเด็กทั้งสองคน และรีบรุดไปยังห้องสุดท้าย ห้องของเคย์ลานี วัย 6 ขวบ แต่ก็พบว่าบนเตียงนั้นว่างเปล่า
เซียอานนาแทบจะทรุดลงกับพื้น เพราะบางครั้งเคย์ลานีชอบนอนในห้องนั่งเล่น และตอนนี้ห้องนั่งเล่นก็ถูกไฟไหม้ไปเกือบหมดแล้ว…
ในเวลาเดียวกัน นิค บอสติช ที่เปิดประตูหลังบ้านเข้ามาในบ้านที่ไม่รู้จักมาก่อน วิ่งผ่านโถงทางเดินของบ้านที่ไฟไหม้ มองเข้าไปในทุกห้องที่มีเปลวเพลิงและค้นหาดูว่ามีใครอยู่ในบ้านหรือไม่
“เฮ้! มีใครอยู่ไหม”
เขาตะโกนสุดเสียง
ชั้นล่างดูเหมือนจะไม่มีใคร บอสติชมุ่งหน้าวิ่งขึ้นไปที่บันได แต่ยังไม่ทันจะถึงชั้นสอง เขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบใบหน้าทั้ง 4 คนโผล่ออกมาจากห้องที่ติดกับบันได ทั้งหมดมองหน้ากัน ตาของพวกเขาเบิกกว้าง
“บ้านคุณไฟไหม้ คุณต้องไป!”
บอสติชตะโกนให้ทั้งหมดตามเขาออกจากบ้าน
เด็กผู้หญิงทั้ง 4 เดินลงมาจากบันได บอสติชรีบพาพวกเขาออกทางประตูหลังไปยังนอกบ้าน เมื่อทั้งหมดได้สูดอากาศบริสุทธิ์ก็เริ่มกอดกันด้วยความสั่นเทา
“มีใครอยู่ในนั้นอีกไหม?”
บอสติชถาม
“ยังมีเด็กอยู่ในนั้น!”
เซียอานนากรีดร้องคร่ำครวญถึงเคย์ลานี ทั้งเธอและเด็กๆ ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเด็กหญิงวัย 6 ขวบว่าไปอยู่ที่ไหน
สิ้นเสียงของเซียอานนา บอสติชวิ่งกลับเข้าไปข้างในโดยไม่รีรอใดๆ เวลาในตอนนี้หากช้าแม้แต่วินาทีเดียวอาจหมายถึงชีวิต
ตอนนี้ไฟไหม้บ้านทั้งหลัง กลิ่นควันฟุ้งเหม็นและรุนแรงอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน อากาศข้างในร้อนดั่งนรก ควันสีดำขนาดมหึมาพุ่งขึ้นไปรวมตัวกันที่เพดานแล้วพัดวนลงมาหาบอสติช เสียงดังสิ่งของไฟไหม้ปนกับเสียงไอควันปะทะพื้นผิวสร้างบรรยากาศอันน่าสยดสยองที่ส่งโสตประสาทสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดให้หนีห่างออกไป
แต่ไม่ใช่สำหรับบอสติช เขาขึ้นไปชั้นบน พยายามค้นหาใต้เตียงสองชั้นและในตู้เสื้อผ้า แต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ของเด็กผู้หญิง บอสติชไปค้นยังห้องนอนห้องอื่นๆ เขาพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจที่สุด แต่ก็รู้สึกประหลาดใจที่ไม่ได้ยินเสียงร้องใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อมั่นใจว่าเคย์ลานีไม่อยู่บนชั้นสอง บอสติชจึงเตรียมตัวกลับลงไป บริเวณชั้นล่างตอนนี้ต่างกับชั้นบนราวฟ้ากับเหว ชั้นล่างเต็มไปด้วยควันพิษสีดำหนาทึบ บดบังแสงทุกอย่างจนมองไม่เห็น
ยังไม่ทันจะก้าวลงบันไดแรก เขากลับได้ยินเสียงของเด็กคนหนึ่งร้องขึ้นมาจากบริเวณชั้นล่างท่ามกลางความมืดมิด
บอสติชไม่รอช้า ยกเสื้อยืดสีแดงที่ใส่อยู่ขึ้นมาปิดปากและจมูก สูดอากาศให้เต็มปอดที่สุด ลงบันไดและจมลงไปในความมืด แม้จะสำลักควัน สติจะเหลือไม่มาก แต่เขาพยายามก้มตัวลงให้มากที่สุด หูตื่นตัวสุดความสามารถเพื่อหาต้นทางของเสียง
บอสติชเคลื่อนตัวเข้าหาเสียงด้วยความระมัดระวัง ตาแทบมองไม่เห็นด้านหน้า ใช้การกางแขนออกเพื่อตามหาคนสุดท้ายที่ยังอยู่ในบ้าน
ทันใดนั้นเอง เขาก็พบเคย์ลานีนอนขดอยู่ด้านหน้า ร้องไห้ด้วยความกลัวสุดขีด บอสติชรีบอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน และมองหาประตูทางออก แต่ท่ามกลางควันไฟและความร้อน ทำให้เขาสับสนทิศทาง
“ประตูอยู่ไหน!”
บอสติชมองไม่เห็นทางออกใดๆ ที่ชั้นล่าง เดินโซเซปอดแทบไม่เหลืออากาศ ในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขามองเห็นผ่านควันพิษคือแสงไฟจากชั้นสอง บอสติชไม่มีทางเลือก เขากลับขึ้นไปด้านบนพร้อมกับเคย์ลานีที่อยู่ในอ้อมแขน
บอสติชพยายามหาทางออก เขาจำได้ว่าที่ชั้นสองมีห้องนอนหนึ่งที่ไฟยังมาไม่ถึง และในห้องนั้นมีหน้าต่างบานใหญ่อยู่ เขารีบเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับอุ้มเคย์ลานี ดึงผ้าม่านและมู่ลี่ออกจากหน้าต่าง และพยายามเปิดมันออก
กระจกเปิดไม่ออก! เคย์ลานียังคงกอดกอดรัดเขาแน่น บอสติชหันตัวให้เด็กอยู่ห่างกระจกที่สุด และใช้มือขวาชกเข้าไปที่กระจกเต็มแรง แต่มันไม่ได้ผล กำปั้นของเขาเด้งออกมาเต็มแรงพร้อมกระจกที่ไม่เป็นอะไร
บอสติชหันกลับไปพร้อมคว้าของทุกอย่างเจอในห้อง ทุบจนกระจกแตก แม้แขนข้างหนึ่งจะเต็มไปเลือดของรอยบาดจากเศษกระจก แต่ลมกระโชกพัดผ่านเข้ามาในห้องสร้างความหวังและพลังให้กับทั้งสอง จากนั้นเขาก็เคาะเศษกระจกที่เหลือออกอย่างรวดเร็ว
บอสติชและเคย์ลานีมองออกนอกหน้าต่างไปที่พื้นด้านล่าง มันเป็นบริเวณข้างบ้านที่มีพื้นหญ้าพาดระหว่างบ้านกับรั้วไม้ที่กั้นบ้านหลังถัดไป
“หนูไม่อยากกระโดดออกไปทางหน้าต่าง”
เคย์ลานีบอกบอสติชด้วยความกลัว
อันที่จริงเขาก็กำลังคิดเหมือนกับเธอ แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เปลวเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และความร้อนก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก
บอสติชที่ยังคงอุ้มเคย์ลานีถอยหลังไปสามก้าว จากนั้นก็วิ่งไปที่หน้าต่างและกระโดดออกมาทันทีก่อนที่จะคิดมากกว่านี้
บอสติชกอดเคย์ลานีไว้แน่นด้วยแขนข้างเดียว พุ่งตัวออกไปทางหน้าต่าง บิดตัวไปอีกด้านเพื่อให้อีกข้างของเขากระแทกลงกับพื้นโดยให้ร่างของตนเป็นกันกระแทกให้กับเคย์ลานี
ตุ๊บ!
ทั้งสองตกลงมาบนพื้นสนามหญ้าข้างบ้านอย่างปลอดภัย แม้จะเป็นอิสระที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด
ที่ด้านหน้าบ้าน นักดับเพลิงกำลังเตรียมอุปกรณ์เพื่อบุกเข้าไปในบ้านตามหา “เด็กหญิงอายุ 6 ขวบและผู้ชายยังอยู่ด้านใน” หลังจากได้รับแจ้งจากเด็กๆ 4 คนที่ออกมาตอนแรก
แต่ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซมาจากข้างบ้าน พร้อมกับเด็กหญิงที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เอาตัวเธอไปที!”
บอสติชตะโกนบอกให้เจ้าหน้าที่รีบนำตัวเด็กหญิงที่เขาเพิ่งเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือมาแม้จะไม่เคยรู้จักมาก่อนไปรักษาตัว
พนักงานดับเพลิงรีบพาตัวเคย์ลานีไป แม้จะร้องไห้ไม่หยุด แต่เธอแทบไม่ได้บาดเจ็บใดๆ อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเธอ
บอสติชนั่งทรุดตัวลงบนทางเท้าด้วยอาการหอบ ถามทุกคนที่ผ่านมาด้วยคำถามเดียว
“เด็กไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ช่วยบอกฉันทีว่าเด็กไม่เป็นไร”
บอสติชเริ่มหมดสติจากสิ่งที่เพิ่งเผชิญมา พยาบาลรีบห้ามเลือดที่ไหลออกจากแขนไม่หยุด และนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
บอสติชมีแผลไฟไหม้ระดับที่ 1 ที่ข้อเท้า ขา และแขน และระบบหายใจที่เสียหายจากการสูดดมควันไฟมากเกินไป เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับท่อที่คอพร้อมกับแฟนสาวที่กุมมืออยู่ข้างเตียง
บอสติชกลายเป็นข่าวไปทั่วประเทศ เขาคือฮีโร่ พนักงานส่งพิซซ่าที่วิ่งเข้าไปในบ้านที่กำลังไฟไหม้ถึงสองครั้งเพื่อช่วยเหลือคนที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
หลังจากคืนนั้น…ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
หลังจากบอสติชออกจากโรงพยาบาล ครอบครัวบาร์เร็ตต์ก็เชิญเขาและลูอิสแฟนสาว ไปทานอาหารเย็นที่บ้านที่พวกเขาพักอยู่ชั่วคราว
ทันทีที่เดวิดเห็นบอสติช เขาก็กอดและร้องไห้ไม่หยุด “ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ” เดวิดพูดขอบคุณไม่หยุดราวกับเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับการกระทำในครั้งนี้
ทั้งสองครอบครัวกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน และไปมาหาสู่ด้วยกันแทบทุกอาทิตย์
แม้เดวิดและครอบครัวจะสูญเสียทุกอย่างไป แต่ชุมชนในลาฟาแยตก็โอบอุ้มพวกเขาเช่นเดียวกับความรักที่เดวิดเคยมอบให้กับเด็กๆ ที่โรงเรียน ผู้คนมากมายเสนอที่พักพิงชั่วคราว รวมถึงอาหารที่มอบให้ทุกมื้อจนกว่าบ้านใหม่จะสร้างเสร็จ
แม้แผลไฟไหม้ของบอสติชจะหายดีแล้ว แต่ดวงตาของเขาไวต่อแสงมากขึ้น เขาไม่สามารถมองแสงจ้าได้เหมือนเมื่อก่อน บอสติชและลูอิสวางแผนจะแต่งงานและสร้างครอบครัว แต่การบาดเจ็บครั้งนี้อาจทำให้อนาคตของพวกเขาต้องชะงักไปชั่วคราวเพื่อหาเงินรักษาตาของบอสติชให้ดีขึ้น
หลังจากข่าวของเขาแพร่ออกไป มีคนไปเปิดบัญชี GoFundMe เพื่อสนับสนุนสำหรับค่ารักษาพยาบาลและช่วยเหลืออนาคตของบอสติช ผู้คนมากกว่าสองหมื่นคนบริจาคเงินให้กับเขา ตอนนี้ในบัญชีมีเงินสูงถึง 640,000 ดอลลาร์ หรือราว 22 ล้านบาท ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดไป
แม้บอสติชจะเสนอเงินบางส่วนให้กับครอบครัวบาร์เร็ตต์เพื่อช่วยค่าบ้านและเด็กๆ แต่พวกเขาก็ยืนกรานที่จะไม่รับเงิน รวมทั้งยังแนะนำที่ปรึกษาทางการเงินให้กับบอสติชด้วย
“เหมือนผมได้โอกาสครั้งที่สองในชีวิต ในอดีตบางครั้งผมรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ ไม่มีประโยชน์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไป นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นตัวเองในตอนนี้ ผมค้นพบความหมายในชีวิตของตนเองแล้ว”
เมื่อบอสติชนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น มันเป็นทั้งประสบการณ์เฉียดตายและการมีชีวิตครั้งใหม่ แม้ว่าตัวเขาจะเป็นคนที่วิ่งเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็เหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือเสียเองจากสังคมที่โอบกอดและคอยให้กำลังใจแก่ผู้ที่ทำดีในช่วงเวลาที่เลวร้าย คอยเตือนเราเสมอว่าแม้ชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน ความหวังยังคงมีอยู่ทุกที่เสมอ
โฆษณา