15 มิ.ย. 2023 เวลา 04:58 • ท่องเที่ยว

ปาลาเกอจง (Balagezong) .. A true mood of Shangri La

โลกมีสิ่งสุดยอด อยู่มากมายหลายอย่าง … เวลาที่ฉันตระเวนไป ณ จุดใดจุดหนึ่ง ที่แม้ว่าบางแห่งจะไกลจนแทบเกินคว้า ทว่ามันสวยงามชวนให้จินตนาการถึง … ความสวยงามที่ไม่ว่าจะเป็นด้วยการรังสรรค์ของธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์ … ฉันมักจะอยากนำสิ่งเหล่านั้นมาแบ่งปันให้คนอื่นรับรู้บ้าง …
ปาลาเกอจง .. เป็นอีกหนึ่งสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ฉันอยากนำเรื่องราวมาแบ่งปันอีกครั้งค่ะ
เมืองปาลาเกอจง (Balog Zon) .. เป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่า คือ แซมบาลา (Shambhala) หรือแชงกลีล่า นั่นเอง บริเวณดังกล่าวติดต่อกับมณฑลเสฉวน ซึ่งมียอด “ปาลาเกอจง” ที่คงวามสูง 5545 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแชงกลีล่า
แชงกรีล่า Shangri-La .. เมืองสวยแห่งเทือกเขาหิมาลัยที่เชื่อว่าเป็น ยูโทเปีย เมืองแห่งความสุขและความเป็นอมตะตามนวนิยาย The Lost Horizon ของนักเขียนชาวอังกฤษ James Hilton แม้จะไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าที่นี่คือเมืองที่กล่าวถึงในนวนิยายจริงหรือไม่ แต่สถาปัตยกรรมอันงดงามเรืองรองที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาหิมาลัยก็ทำให้เมืองแห่งนี้ไม่ต่างจากสวรรค์บนดิน
ตามเรามาทำความรู้จัก และเปิดตำนานของ ปาลาเกอจง ที่เชื่อกันว่าเป็นผืนดินยูโทเปีย และสวรรค์บนดินของประเทศจีน
เปิดตำนาน แชงกรีล่า Shangri-La ยูโทเปียแห่ง เมืองจีน
แชงกรีล่า (Shangri-La) เดิมมีชื่อว่า จงเตี้ยน (Zhongdian) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ มณฑลยูนนาน (Yunnan) เขตปกครองพิเศษของชาวธิเบตตี้ชิง ประเทศจีน ... ชื่อของเมืองมาจากการที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเมืองเป็นทุ่งหญ้า ซึ่งในภาษาจีน คำว่า "จง" แปลว่า ศูนย์กลาง "เตี้ยน" แปลว่า ทุ่งหญ้า หรือ อาณาจักร รวมกันจึงมีความหมายว่าอาณาจักรแห่งทุ่งหญ้านั่นเอง
ความเชื่อเกี่ยวกับเมืองอันลึกลับที่เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินนั้นมีอยู่ในทุกๆ วัฒนธรรม .. แม้แต่คนในซีกโลกตะวันตกก็มีความเชื่อว่า มีดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของ เทือกเขาหิมาลัย (Himalayas) เทือกเขาขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงทิเบต และดินแดนที่ว่านั่นก็คือ Shangri La ซึ่งมีนครหลวงชื่อว่า Shambala .. นครแห่งความมั่งคั่งและบริสุทธิ์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นต่างก็มีปัญญาอันสูงส่ง จิตใจบริสุทธิ์ เป็นอมตะ และไม่มีการรบราฆ่าฟันเพื่อแก่งแย่งชิงดีกัน
ท่ามกลางความวุ่นวายและความสูญเสียครั้งใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ผู้คนจึงต้องการแสวงหาเมืองแห่งความสุขราวกับสวรรค์ที่ว่านั่น หนึ่งในนั้นก็คือ Nicholas Roerich จิตรกรและนักเขียนชาวรัสเซีย-อเมริกัน ที่เดินทางค้นหาเมืองแชงกรีล่าอย่างจริงจังจนกระทั่งไปถึงเมืองลาซา (Lhasa) เมืองหลวงของทิเบต เขาใช้เวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 1925-1928 ในการตามหาดินแดนดังกล่าว
… ก่อนจะมีหลักฐานเป็นภาพวาดที่เขาอ้างว่าเป็นภาพของเมืองแชงกรีล่านั่นเองค่ะ ภาพเหล่านั้นได้ปรากฏให้เห็นถึงบ้านเมืองอันเงียบสงบ สถาปัตยกรรมอันวิจิตรงดงามท่ามกลางขุนเขาหิมะของเทือกเขาหิมาลัย รวมถึงผู้คนที่มีปัญญาสูงส่งเป็นอย่างมาก
แชงกรีล่า ที่เปรียบเสมือนเป็นยูโทเปียแห่งเทือกเขาหิมาลัย .. ถูกกล่าวถึงอีกครั้งอย่างกว้างขวางใน The Lost Horizon (1933) นวนิยายชื่อดังประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ James Hilton ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1933 .. .. ทั้งความงดงามของเมือง วัฒนธรรม และสถานที่ตั้งตรงบริเวณเทือกเขาหิมาลัย
ประกอบกับมีการกล่าวถึงของดินแดนแชงกรีล่าในคัมภีร์พุทธของทิเบตอีกด้วยว่าเป็นดินแดนที่ต้องใช้สมาธิญานหรือการบำเพ็ญขั้นสูงในการแสวงหา จึงจะสามารถเข้าถึงดินแดนแห่งนั้นได้
ปัจจุบันแม้จะไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าแชงกรีล่าและเมืองชัมบาลามีอยู่จริงหรือไม่ ... แต่ก็ได้มีการเอาตำนานเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับเมืองต่างๆ ที่มีอยู่จริงตรงแถบเทือกเขาหิมาลัย
.. ซึ่งปรากฏว่าเมืองมีที่มีลักษณะภูมิประเทศและสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงมากที่สุดก็คือ จงเตี้ยน มณฑลยูนนาน ในเขตปกครองพิเศษของชาวทิเบต ประเทศจีนนั่นเอง
.. ทางจีนจึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองจงเตี้ยนมาเป็น "แชงกรีล่า" ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา และพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ .. ซึ่งจะว่าไป ฉันคิดว่า เป็นเรื่องของการตลาดที่รัฐบาลจีนอยากจะฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจงเตี้ยนให้ป๊อปปูล่าเหมือนเมืองลี่เจียงกับต้าลี่
ซึ่งหลังจากที่พัฒนาเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ .. แชงกรีล่า หรือ จงเตี้ยน ก็มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าไปเยี่ยมชมความงดงามของวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และทิวทัศน์ของธรรมชาติที่รายล้อมอย่างไม่ขาดสายในแต่ละปี
เราเดินทางมาถึงเมือง จงเตี้ยน ในช่วงบ่ายของวันที่อากาศครึ้มฟ้า ครึ้มฝน .. แค่เห็นปากทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติ ความรู้สึกประทับใจก็จู่โจมเข้าในห้วงคำนึงทันที
ริ้วของธงมนตรามากมายที่ผูกโยงจากสโลปของภูเขา มีจุดรวมอยู่ในส่วนที่สูง ก่อนจะคลี่กระจายเหมือนพัดลงมาด้านล่าง .. ดูขรึมขลังศักดิ์สิทธิ์ ในขณะเดียวกันก็งดงามเหมือนการบรรจงสร้างงานศิลป์ชั้นดีที่มีองค์ประกอบของภาพที่สมบูรณ์ สวยงามทุกมุมมอง ด้วยฝีมือของจิตรกรชั้นครู
อาคารอีกหนึ่งหลังตรงโค้งแม่น้ำที่เชี่ยวกราก .. สวยเหมือนภาพวาด ที่ตรึงทุกสายตาให้ใส่ใจในการมอง
การขึ้นไปชมความสวยงามของอุทยานด้านบนนั้น เราต้องจ่ายค่าบริการเข้าไปชม โดยสามารถซื้อตั๋วได้ ณ ที่ทำการของอุทยาน
ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยค่ะ
ใช้บริการของรถที่ทางอุทยานมี รวมถึงรถแต่ละคันจะมีไกด์ของอุทยานมาเล่าเรื่องราวตำนาน และแนะนำเรื่องต่างๆที่เราควรจะรู้และตระหนักให้ฟัง
ฉันสังเกตุเห็นว่า ถนนที่จะนำเราเข้าสู่เขตด้านในของอุทยานนั้น มีแม่น้ำใสๆสีฟ้าขนาบอยู่ด้านหนึ่ง ซึ่งก็คือ แม่น้ำ Gangqu ที่ไหลเชี่ยวกราก ..
.. เป็นแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็งด้านบน ก่อนจะรวมตัวกันเป็นธารน้ำใส ไหลเย็นลงสู่เบื้องล่าง
“.. สิ่งที่ผมอยากจะเตือนทุกท่านอย่างจริงจังก็คือ ถนนที่เรากำลังเดินทางผ่านนั้น มีความสูงชัน และอากาศบางเบามาก .. กรุณาอย่าหลับนะครับ (เพราะหากคุณหลับไป อาจจะปลุกไม่ตื่นอีกเลย)” .. ไกด์ของเรากล่าวเตือนเป็นภาษาจีน โดยมีการแปลเป็นภาษาไทยโดยไกด์น้ำตาล ไกด์สาวชาวจีนไซด์กะทัดรัด ที่ช่างพูด ช่างเล่า และคอยห่วงใยลูกทัวร์ของเธอแบบเอาใจใส่มากมายเลยทีเดียว
ไกด์ของอุทยานเล่าเรื่องและเปิดวีดีโอเรื่องราวของ ปาลาเกอจง ให้เราได้ฟัง .. อีกทั้งไกด์น้ำตาลของเราก็เล่าเรื่องในเชิงลึกมาก ที่ฉันคิดว่ามีความน่าสนใจ จึงขอนำมาถ่ายทอดให้ฟังค่ะ
ในภาษาทิเบต “บาลา” หมายถึงผู้ที่อพยพมาจากบาตัง (巴塘) ซึ่งเป็นถิ่นฐานอายุ 1,300 ปี .. ตามตำนานเป็นผลมาจากการอพยพของชนเผ่าผู้สูงศักดิ์จากบาตัง
ตำนานเล่าว่าเมื่อกว่า 1,300 ปีก่อน .. หัวหน้าเผ่า หรือผู้นำ Sinaduoji (斯那多吉) ซึ่งเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้กล้าหาญและมีอำนาจ จนนำเผ่าของเขาไปสู่ชัยชนะ และผ่านการพิชิตมาหลายครั้ง จนเป็นเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ ฝูงวัวและแกะ และกลายเป็นชนเผ่าที่มีอำนาจในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คน ซึ่งนำมาซึ่งความโศกเศร้าอันเจ็บปวดอย่างยิ่งต่อหัวใจของพวกเขา
.. เมื่อเขาอายุครบสี่สิบ เขาเบื่อหน่ายกับการแสวงหาอำนาจและทรัพย์สมบัติอย่างไม่รู้จบ และตัดสินใจที่จะค้นหาดินแดนที่สงบสุขเพื่ออยู่อาศัย
ในการพูดคุยกับลามะผู้เฒ่า .. เขาได้รู้ว่า พระสูตรของศาสนาพุทธในทิเบตบันทึกสถานที่ที่เรียกว่าอาณาจักรชัมบาลา ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขาหิมะเหมือนดอกบัวแปดกลีบ และเป็นดินแดนบริสุทธิ์ในอุดมคติที่ชาวพุทธทิเบตปรารถนา
ดังนั้นในที่สุดหัวหน้าเผ่าจึงตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งและแสวงหาดินแดนอันบริสุทธิ์เมื่ออายุ 42 ปี .. จากประวัติยาวนาน และคัมภีร์ทิเบตบันทึกไว้ว่า .. เมื่อ 1,300 ปีก่อน ผู้คนเดินทางหลายพันไมล์จากประเทศที่ห่างไกลเพื่อค้นหาบ้านในอุดมคติที่ห่างไกลจากสงครามและความทุกข์ทรมาน
... หลังจากความยากลำบากนับไม่ถ้วน ผ่านการเดินทางที่ยากลำบากข้ามทุ่งหญ้า Kangba และในที่สุดก็พบหมู่บ้าน Bala ที่เชิงภูเขาหิมะของ Balagezong .. พวกเขากินหญ้าบนเมฆสีขาว ไถนาภายใต้ดวงอาทิตย์และสายรุ้ง ท่องพระคัมภีร์และร้องเพลงท่ามกลางเมฆที่ไหล และทำงานในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและตก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Balagezong ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบ้านและสวรรค์ในอุดมคติได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านเพลงพื้นบ้าน
ชาวบ้านบาลาเป็นคนขยันและสมถะ เป็นเวลากว่า 1,300 ปีแล้วที่ผู้คนในหมู่บ้านบาลาใช้ชีวิตแบบผู้ชายไถนาและผู้หญิงทอผ้า พวกเขาได้รับพรจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขายังเคร่งครัดต่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ขาดวัตถุ แต่ไม่ขาดศรัทธา
พวกเขาใช้ชีวิตแบบกึ่งทำนากึ่งเลี้ยงสัตว์ หมู่บ้านบาลาเป็นทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ และริมแม่น้ำเป็นทุ่งหญ้าในหุบเขาในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ดังนั้น วัฒนธรรมเร่ร่อนที่นี่จึงมีการย้ายถิ่นแบบสามมิติทุกปี และทุ่งหญ้าที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีคือสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของหมู่บ้านบาลา
ประเพณีที่ไม่เหมือนใครในหมู่บ้านบาลาคือการไม่เลี้ยงสุนัขในบ้านทุกหลัง พวกเขาคำนึงถึงกฎที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเสมอ พวกเขาไม่ต้องการสุนัขมาสร้างระยะห่างและเป็นอุปสรรคระหว่างหัวใจของผู้คน และพวกเขาไม่ต้องการสุนัขเพื่อดูแลวัวและแกะของกันและกัน ไม่มีประตูครอบครัวที่ล็อคไว้ และประตูไม้ธรรมดาๆ มีไว้เพื่อป้องกันการบุกรุกของสัตว์ร้ายและปศุสัตว์โดยสุ่มเท่านั้น พวกเขาพึ่งพาความเชื่อของพุทธศาสนาและมโนธรรมเพื่อปกป้องบ้านแห่งหัวใจ
กล่าวกันว่าหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินที่อธิบายไว้ในหนังสือ Lost Horizon นั้นอยู่ภายใน Balagezong Grand Canyon มีการกล่าวกันในหมู่คนในท้องถิ่นว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่อมตะอาศัยอยู่ "ชัมบาลา" ที่แท้จริง
Sinadingzhu (斯那定珠) .. บุรุษผู้เปลี่ยนตำนานของ ปลาเกอซอง ตลอดกาล
ก่อนการพัฒนาภูมิทัศน์การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ Balagezong ไม่มีถนนหรือไฟฟ้า ทางเดียวที่จะเข้า-ออกจากหมู่บ้าน คือการไต่ตามทางเดินแคบๆตามหน้าผา และจากความจากลำบากนี่เอง ทำให้คนในหมุ๋บ้านไม่มีใครที่เคยออกจากหมู่บ้านมาสู่โลกภายนอกเลย
ผู้คนในหมู่บ้านอยู่อย่างพอเพียง ในแบบ Self sufficient .. ต้องการสิ่งใดในการดำรงชีวิต ก็สร้างสรรค์สิ่งนั้นขึ้นมาใช้เอง ด้วยเหตุนี้ หมู่บ้านบาลาจึงดูเหมือนถูกลืมโดยคนที่อยู่นอกโลก ในขณะเดียวกันโลกภายนอกก็ไม่ใครเข้าไปข้างในเลย จึงไม่ทราบทิวทัศน์ที่แปลกตาและภูมิทัศน์สวยงามที่ซ่อนเร้ยกายอยู่ด้านใน
“ ..ซินาดิงจูเติบโตจากที่นี่ เมื่อวานนี้เขาก็เหมือนกับชาวนาคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบาลาอันโดดเดี่ยว สวยงามและล้าหลังแห่งนี้ เขารักภูเขาและหุบเขานักบุญนี้ ตั้งแต่ยังเด็กมีพละกำลังอันไร้ขอบเขตที่จะกระตุ้นความพยายามของเขาให้ไปถึงความปรารถนาของทุกคนในหมู่บ้าน .. ” ไกด์น้ำตาลเล่าตำนานของการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ให้เราฟัง ในช่วงที่เรากำลังไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“.. เมื่อซินาดิงจู อายุ 10 ปี .. เขาไปช่วยงานที่ร้านตีเหล็ก และเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดเล็กๆของเหล็กกระเด็นเข้าตา พ่อของเขาซึ่งเคยได้ยินเรื่องราวของโลกภายนอก ตัดสินใจนำเขาออกจากหมู่บ้าน เพื่อรับการรักษา
.. การเดินทางที่ยากลำบาก ผ่านเส้นทางเดินเท้าแคบๆ ต้องห้อยต่องแต่งเสียงจากการร่วงลงมาจากหน้าผาได้ตลอดเวลา หลังจากเดินทางมาได้ 4 วัน พวกเขามาถึงในเมือง .. นั่นเป็นครั้งแรกที่ ซินาดิงจู ได้รู้จักกับรองเท้า ได้เห็นรถยนต์ และความหัศจรรย์ของโลกภายนอก แต่ด้วยเวลาที่เสียไปหลายวัน ทำให้เขาเสียดวงตาข้างซ้ายไปตลอดกาล ..”
“ซินาดิงจู มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างทางมุ่งสู่หมู่บ้านของเขา .. เมื่ออายุ 13 ปี เขาขออนุญาตจากครอบครัวออกมาจากหมู่บ้าน เพื่อแสวงหาความรู้ต่างๆจากโลกใหม่ โดยมีเงินที่คริบครัวมอบติดตัวให้ไปเพียง 25 หยวน .. ” เราตั้งใจฟังเรื่องเรื่องราวจากไกด์น้ำตาล
“..ซินาดิงจู ใช้ชีวิตในเมืองและประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทำธุรกิจค้าขายสมุนไพร และร้านอาหาร .. เขามีเงินทองหลายสิบล้านหยวน มีบ้าน มีรถ มีครอบครัวที่อบอุ่น”
“แต่ ..ซินาดิงจู มีความฝันที่เขาไม่เคยลืม .. และความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นว่าหมู่บ้านของเขาสลัดความยากจนออกไปได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นโอกาสให้คนภายนอกได้เห็นสวรรค์แห่งนี้ด้วย .. วิธีเดียวที่ความฝันของเขาจะเป็นจริงขึ้นมาได้ คือ ถนนที่สร้างขึ้นตามหน้าผา ที่จะเปิดโลกภายนอกสำหรับชาวบ้านบนภูเขา”
“.. เขากลับมาที่หมู่บ้าน และเริ่มเล่าแผนงาน และแนวความคิดในการสร้างถนนให้กับคนในหมู่บ้าน ซึ่งตอนนั้นมีราว 40 ครอบครัวได้ฟัง .. ทุกคนคิดว่าเขาบ้านไปแล้ว และไม่เห็นด้วย และว่ากันว่า มีคนแก่ถึงกับถ่มน้ำลายรดหน้าเขา” ไกด์น้ำตาลเล่าอย่างเปี่ยมอรรถรส
“ซินาดิงจู ไม่เคยยอมแพ้ .. แต่ความมุ่งมั่นกลับเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน”
“เขานำเงินทั้งหมดที่มี มาปรึกษากับทีมงานสร้างถนนบนเขาสูงที่เก่งที่สุด .. แต่เมื่อมาเห็นที่ตั้งของสถานที่แล้ว สุดท้ายทีมงานก่อสร้างนั้นให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างถนนบนโตรกผาที่สูงชันเกือบ 90 องศาแบบนี้”
“ซินาดิงจู ได้เลือกที่จะศึกษาการก่อสร้างถนนบนเขาสูงด้วยตัวเองอยู่หลายปี และคัดสรรหาช่างก่อสร้างเพื่อมาทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ
.. ทุกๆวันนานหลายปีที่เขาพากเพียร ตัดเจียรภูเขาและหน้าผาให้กลายเป็นถนนในความฝัน ทุ่เทเงินทองทั้งหมดที่มีอยู่ ขายบ้าน ขายรถ เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ในโครงการ รวมถึงสุดท้าย เขาได้ไปขอกู้เงินจำนวนมหาศาลจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาสานต่อ ทักทออความฝันให้เป็นจริง”
“.. ทุกๆวัน เขาจะมาคุยกับพ่อของเขา เล่าความคืบหน้าของการสร้างถนน และความตื่นเต้นในการเฝ้ารอให้สิ่งที่เขาฝันไว้เป็นความจริงขึ้นมา”
“เมื่อถนนสร้างมาถึงปีที่ 10 ถนนเกือบจะเสร็จ เหลือเพียงระยะทางราว 1 กิโลเมตรสุดท้าย พ่อของซินาดิงจู พูดกับเขาว่า .. พ่อตื่นเต้น และอยากจะเห็นถนนที่ลูกเพียรสร้าง อยากจะนั่งรถผ่านถนนสายนี้ที่จะนำทุกคนออกไปสู่โลกภายนอก”
“แต่อนิจจา พ่อของซินาดิงจู เสียชีวิตในคืนนั้นเอง” .. เสียงเศร้าสร้อยของไกด์น้ำตาลขณะเล่า ทำเอาเราน้ำตาซึมไปด้วย
ช่วงสุดท้ายของปี 1999 ซินาดิงจูได้ก่อตั้งบริษัท Bagelazong Ecotourism Development Limited Liability Company และเริ่มหลักสูตรที่ยากในการพัฒนาและสร้างภูมิทัศน์ Balagezong ขนาด 170 ตารางกิโลเมตร
ในวีดีโอที่ ซินาดิงจู ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ เขากล่าวว่า ..
หมู่บ้านบาลาตั้งอยู่บนพื้นที่ราบที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน แม้ว่าจะมีความสุขสงบ .. แต่ความสันโดษก็แลกมาด้วยราคา: หมู่บ้านแห่งนี้ห่างไกลจากโลกภายนอกมาก จากทางเข้าอุทยานแห่งชาติ Balagezong ผู้เข้าชมต้องขับรถข้ามหุบเขา จากนั้นปีนขึ้นไปเกือบ 1,000 เมตรในระยะทางเกือบ 1,000 เมตรผ่าน 42 โค้งเพื่อไปยังหมู่บ้านบาลา
.. ถนนเพิ่งถูกแกะสลักเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความพยายามของเขาและเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่ถนนจะถูกสร้างขึ้น ผู้คนต้องเดินเท้าเป็นเวลาสองวันเพื่อไปยังโลกภายนอก และการสื่อสารถูกขัดขวางอย่างมากจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ห่างไกลของหมู่บ้านบาลา
“ถ้าคุณต้องการซื้อรองเท้าสักคู่ มีเพียงสองครั้งเท่านั้นที่จะซื้อได้ในหนึ่งปี ผู้ขายจะเดินทางมาจากอีกฟากหนึ่งของภูเขา บรรทุกสินค้าดังกล่าวบนหลังจามรี แล้วแลกเป็นขน "
สภาพความเป็นอยู่ที่รุนแรงไม่ได้หมายถึงการขาดแคลนสินค้าเท่านั้น บางครั้งชาวบ้านเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากขาดการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ผู้คนเริ่มเก็บข้าวของและออกจากหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้เคยมีหลายสิบครัวเรือน ตอนนี้มีเพียงแปด
ในปี 1990 ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาส ในตอนนั้นทั้งมณฑลยูนนานพยายามพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมาก ซินาดิงจูรู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อนำชีวิตที่ดีขึ้นมาสู่ชาวบ้าน และบ้านเกิด
"ในปี 1998 รัฐบาลมณฑลยูนนานประกาศว่าจังหวัด Diqin คือเมือง Shangri-la ที่แท้จริง และเปลี่ยนชื่อเมือง Zhongdian เป็น "Shangri-la County" ฉันเห็นโอกาสที่ดีในเรื่องนี้ โลกมีเมือง Shangri-la เพียงแห่งเดียว และเป็น ที่คนทั้งโลกอยากไปเที่ยว ฉันควรฉวยโอกาสพัฒนาบ้านเกิดของฉันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และนำเธอไปสู่การพัฒนา” .. เขากล่าว
โฆษณา