We Are The Champions : บทเพลงประกาศชัยชนะของราชาในนามราชินี | Main Stand
หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศศักดาคว้าโทรฟี่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยแรกมาครองได้สำเร็จที่ อตาเติร์ก สเตเดียม ประเทศตุรกี นอกจากพวกเขาจะได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรแล้ว เหล่านักเตะและแฟนบอล “ซิตีเซนส์” ก็ได้ร่วมกันร้องเพลง We Are The Champions กันกระหึ่มเพื่อฉลองชัยชนะไปด้วยกัน
ใครที่ติดตามชมการแข่งขันกีฬารอบชิงชนะเลิศเป็นประจำ ไม่ว่าเป็นฟุตบอล, บาสเกตบอล, อเมริกันฟุตบอล ฯลฯ คงรู้กันดีว่า We Are The Champions คือหนึ่งในบทเพลงสามัญประจำรายการที่ผู้จัดการแข่งขันมักเปิดเพื่อฉลองให้แก่ผู้ชนะอยู่เสมอ มันคือบทเพลงอมตะของวง QUEEN วงร็อกในตำนานแห่งอังกฤษ ที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1977 และฮิตถล่มทลาย ด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ และเนื้อหาที่ให้กำลังใจแก่ผู้ชนะทั้งปวง
1
Main Stand จึงขอนำเสนอเรื่องราวของ We Are The Champions บทเพลงร็อกระดับอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลของ “ราชาในนามราชินี” ที่เป็นตำนานอยู่คู่วงการดนตรีและวงการกีฬาโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ในโลกเพลงร็อก
ในวงการเพลงร็อกระดับโลก มีวงดนตรีร็อกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมและถูกยกให้เป็นวงดนตรีระดับตำนานมากมาย โดยเฉพาะในยุค 70s ที่มีวงดนตรีร็อกสร้างชื่อประดับวงการเต็มไปหมดทั้ง Led Zeppelin, Deep Purple, Black Sabbath, The Who, Pink Floyd และ The Rolling Stones ซึ่งวงเหล่านี้สร้างคุณูปการให้แก่วงการเพลงโลกและเป็นต้นแบบสำคัญให้กับเหล่าวงดนตรีร็อกรุ่นใหม่ศึกษาหรือเดินตามรอย
QUEEN ก็เป็นวงร็อกอีกวงในยุค 70s ที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังอย่างมาก พวกเขาสร้างชื่อกระหึ่มโลกจากอัลบั้มชุดที่สี่ A Night at the Opera เมื่อปี 1975 กับซิงเกิล Bohemian Rhapsody ที่ขีดเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเพลงร็อก ด้วยเมโลดี้และการเรียบเรียงดนตรีแบบอัศจรรย์พันลึก บวกกับเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ที่ทำให้คนฟังทั่วโลกได้สัมผัสถึงความอัจฉริยะของพวกเขาเต็มสองหู
1
ความสำเร็จของ Bohemian Rhapsody ช่วยยกสถานะให้ เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ (ร้องนำ), ไบรอัน เมย์ (กีตาร์), จอห์น ดีคอน (เบส) และ โรเจอร์ เทย์เลอร์ (กลอง) กลายเป็นศิลปินร็อกที่โด่งดังที่สุดในยุค 70s พวกเขาออกทัวร์คอนเสิร์ตกอบโกยแฟนคลับจากทั่วโลกมาเป็นของตัวเอง พร้อมกับรังสรรค์ผลงานเพลงใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนมีเพลงฮิตประดับโปรไฟล์อีกเพียบ เช่น You're My Best Friend, Love of My Life, Somebody to Love และ Tie Your Mother Down
กระทั่งการมาถึงของอัลบั้มที่หก News of the World ปี 1977 ที่ทำให้วง QUEEN ก้าวกระโจนไปสู่โลกของวงการกีฬา กับสองเพลงฮิตอมตะ We Are the Champions และ We Will Rock You ที่จะกล่าวถึงในบทต่อไป
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มแต่งเพลงใหม่ขึ้นมาด้วยคอนเซ็ปต์ “เพลงที่ทุกคนมีส่วนร่วมและร้องตามได้” จากไอเดียเพลงฟุตบอลของลิเวอร์พูลที่พวกเขาได้ยินในคอนเสิร์ตวันนั้น ซึ่งในที่สุดเนื้อเพลงจากปลายปากกาของ เฟรดดี้ และดนตรีที่สรรค์สร้างโดย ไบรอัน เมย์, จอห์น ดีคอน และ โรเจอร์ เทย์เลอร์ ก็กลายเป็นสองเพลงใหม่ของวงอย่าง We Are the Champions และ We Will Rock You ที่คลอดออกมาพร้อมเพรียงกันในวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1977
1
หมดเวลาของพวกขี้แพ้
We Are The Champions คือซิงเกิลลำดับที่ 13 ของ QUEEN เป็นซิงเกิลหน้า A ที่ถูกวางจำหน่ายในวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1977 พร้อมกับเพลง We Will Rock You ที่เป็นซิงเกิลหน้า B ก่อนที่ทั้งสองเพลงจะถูกนำไปใส่ไว้ในอัลบั้มเต็ม News of the World ที่ออกตามหลังมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน
We Are The Champions เขียนเนื้อโดย เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ นักร้องที่รับบทคนเขียนเนื้อเพลงประจำวง ซึ่งเนื้อเพลงอาจไม่ซับซ้อนอัศจรรย์เท่า Bohemian Rhapsody แต่มีเนื้อหาที่ตรงไปตรงมาเข้าถึงคนฟังได้ง่าย เฟรดดี้เขียนเพลงนี้เพื่อสดุดีแก่มนุษย์ทุกคนที่พยายามต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อไปให้ถึงความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า และเพลงนี้ก็เปรียบดั่ง “สารประกาศชัยชนะ” ของผู้คนเหล่านั้น
1
ด้วยเมโลดี้ที่ติดหู เสียงร้องทรงพลังของเฟรดดี้ และความหมายที่กินใจ ทำให้ We Are The Champions กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายดังที่ เฟรดดี้, ไบรอัน, จอห์น และ โรเจอร์ คาดหมาย มันติดชาร์ตเพลงระดับท็อป 5 ทั้งในอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ส และ อเมริกา ทำยอดขายเกิน 1 ล้านแผ่นทั่วโลก แม้ว่ามันจะไม่ถึงอันดับ 1 แต่ความดังของมันก็ทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังร้องตามได้อย่างง่ายดาย
และอานิสงส์ความฮิตของ We Are The Champions ที่อยู่หน้า A จึงทำให้ซิงเกิลหน้า B ในแผ่นเดียวกันอย่าง We Will Rock You ได้รับผลบุญฮิตตามกันไป เนื่องจากเป็นเพลงที่มีคอนเซ็ปต์เดียวกัน แต่ We Will Rock You จะมีเนื้อหาเชิงปลุกใจมากกว่า เป็นการกระตุ้นให้ทุกคนออกไปต่อสู้กับศัตรูและอุปสรรคทุกสิ่งที่ขวางหน้าตามจังหวะดนตรี “ตึก ตึก โป๊ะ” ที่ ไบรอัน เมย์ คิดขึ้นมา แล้วค่อยมาร้อง We Are The Champions ประกาศชัยชนะในภายหลัง
เพลงทรงอิทธิพลต่อวงการกีฬาโลก
ด้วยความที่ซิงเกิล We Are The Champions / We Will Rock You ผลิตออกมาเป็นเพลงในสไตล์ “อารีนา ร็อก” (เพลงร็อกสำหรับเล่นคอนเสิร์ตในสนามกีฬา) แถมเนื้อหายังพูดถึงการฉลองชัยชนะ ทำให้ We Are The Champions นอกจากจะเป็นเพลงไม้ตายที่วง QUEEN ต้องนำไปเล่นสดเป็นเพลงปิดในทุกเวที เพลงนี้ยังถูกนำมาไปใช้เปิดในการแข่งขันกีฬาด้วย โดยเฉพาะการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศที่ตัดสินหาผู้ชนะคว้าแชมป์เพียงหนึ่งเดียว รวมถึง We Will Rock You ที่เปิดเคียงคู่กันไป
ใครที่ติดตามชมการแข่งขันกีฬาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะ เมเจอร์ลีก เบสบอล, อเมริกันฟุตบอล NFL, ฮอกกี้น้ำแข็ง NHL หรือกระทั่งมวยปล้ำ ต้องเคยได้ยินเพลง We Will Rock You อย่างแน่นอน เพราะทีมกีฬาหลายทีมมักเปิดเพลงนี้ก่อนลงสนามเพื่อปลุกใจตนเองก่อนออกไปห้ำหั่นกับคู่ต่อสู้
ขณะที่ We Are The Champions จะถูกเปิดหลังจบการแข่งขันเพื่อฉลองชัยชนะที่พวกเขาได้รับ ซึ่งที่ผ่านมา มีทีมกีฬามากมายที่เปิดเพลง We Are The Champions เพื่อฉลองแชมป์ให้ตัวเอง โดยหนึ่งในโมเมนต์ที่คนดูบอลจดจำได้มากที่สุดก็คือปี 2011 ตอนที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ปาดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบสุดระทึก
ซึ่งช่วงทำพิธีรับถ้วยแชมป์ ทีมงานเจ้าบ้านก็เปิดเพลง We Are The Champions เป็นการเฉลิมฉลองให้กับทีม ก่อนจะมาเปิดซ้ำอีกครั้งในวันที่พวกเขาได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ตุรกี เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2023
หรือในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/16 เมื่อ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกแบบหักปากกาเซียนทุกสำนัก ที่สนามคิง พาวเวอร์ สเตเดียม ก็มีการเปิดเพลง We Are The Champions ให้แฟนเพลงได้ร้องกันกระหึ่มเพื่อฉลองความสำเร็จให้แก่นักเตะของพวกเขา
ตัดภาพไปที่ฟุตบอลโลก We Are The Champions ก็เคยถูกเลือกให้เป็นเพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ร่วมกับเพลง Gloryland ของ ดาริล ฮัลล์ กับคณะประสานเสียง Sounds of Blackness ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นเพลงธีมประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกที่น่าจดจำ
แล้วเมื่อการแข่งขันฟุตบอลโลกกลับมาอีกครั้งในปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส เพลง We Are The Champions ก็กลับมาติดชาร์ตเพลงฮิตที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง โดยขึ้นไปถึงอันดับ 10 หลังจากที่ ทีมชาติฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของ เอเม่ ฌักเกต์ เอาชนะ บราซิล 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกสมัยแรกต่อหน้าแฟนบอลในบ้านตัวเอง
ปัจจุบันของวง QUEEN
ตลอด 22 ปีในเส้นทางดนตรีของวง QUEEN พวกเขาออกสตูดิโออัลบั้มมาทั้งหมด 15 ชุด ประสบความสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ได้รับเสียงชื่นชมและเสียงด่าจากนักวิจารณ์ดนตรีสลับกันไป แต่เหนืออื่นใดพวกเขาได้สรรค์สร้างสุดยอดบทเพลงให้เกิดขึ้นบนโลกนี้มากมาย เช่น Bohemian Rhapsody, Killer Queen, Don't Stop Me Now, Under Pressure, Another One Bites the Dust, Radio Gaga และ Somebody To Love และสองเพลงที่กล่าวไป แถมเพลงของพวกเขายังมีโครงสร้างการเรียบเรียงดนตรีที่น่าสนใจชนิดที่นักดนตรีทุกคนสามารถศึกษาจากพวกเขาได้
อย่างไรก็ตาม วันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 1991 เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ นักร้องเจ้าเสน่ห์ของวง QUEEN ได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับจากโรคปอดบวม ซึ่งเกิดจากภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ HIV และเป็นความโศกเศร้าเสียใจที่วงการดนตรีโลกได้สูญเสียสุดยอดนักร้องอัจฉริยะคนนี้ก่อนเวลาอันควร โดยทิ้งอัลบั้มสุดท้าย Made In Heaven ไว้ให้แฟนเพลงได้เปิดฟังและระลึกถึงเขา
เช่นเดียวกับเพลง We Are The Champions แม้ทุกวันนี้นักร้องเจ้าของเพลงอย่าง เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ จะไม่ได้อยู่ร้องเพลงนี้บนโลกมนุษย์แล้ว แต่ความยิ่งใหญ่และเนื้อเพลงที่เปี่ยมความหมายของมันยังคงได้รับการสืบทอดและเปิดในสนามกีฬาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทีมผู้ชนะและกองเชียร์ได้ขับขานร่วมกันอย่างไม่มีเบื่อ และน่าจะถูกเปิดต่อไปอีกนานตราบเท่าที่โลกนี้ยังมีการแข่งขันกีฬาชิงแชมป์เกิดขึ้นอยู่