17 มิ.ย. 2023 เวลา 03:02 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 19)

🍀 ข้ามพ้นโลกแห่งผัสสะ เข้าถึงบรมสุขอันไม่เสื่อมสลาย 🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣2️⃣ ⚜️ หน้า 605–607
โศลกที่ 2️⃣2️⃣
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
โอ้ บุตรของนางกุนตี (อรชุน) เอ๋ย❗ เพราะสุขผัสสะเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งภายนอก ซึ่งมีที่เริ่มต้นและที่สิ้นสุด (ไม่เที่ยง) จึงเป็นที่เกิดแห่งความทุกข์ ปราชญ์ไม่แสวงหาความสุขจากสิ่งเหล่านั้น
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
หลายศตวรรษมาแล้ว ที่หัวใจเจ็บปวดทั้งหลายได้ร้องบอกความจริงที่คีตากล่าวถึง นี้ “ข้าแต่พระองค์❗ โปรดยื่นพระหัตถ์มาช่วยข้าฯ คนตาบอดที่ผัสสอินทรีย์โจรร้ายได้ปล้นเอาขุมทรัพย์แห่งปัญญาไปเสียแล้ว ข้าฯ ถูกผลักลงไปในบ่อลึกแห่งมายาอย่างหมดหนทาง”★ [★สวามีศังกราจารย์, ใน Lakshminrisimha Stotra]
ความสุขที่ได้จากผัสสอินทรีย์มีข้อจำกัดและไม่เที่ยง เมื่อเอาประโยชน์จากอินทรีย์มากเกินไปมันจะทําให้เกิดทุกข์ การกินอาหารมากเกินไป หรือ ฟังดนตรีต่อเนื่องนาน ๆ จะอึดอัด แทนที่จะสบายใจ ปราชญ์จึงกล่าวว่าความสุขทั้งหลายที่ได้จากอินทรีย์เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ มันมักก่อความทุกข์ให้ทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย แม้แค่คิดอยากได้ความสุขสำราญ และกระบวนการแสวงหาความสุขนั้นก็เกี่ยวข้องกับความทุกข์อยู่แล้ว ถ้าไม่ทุกข์ทางจิตก็ทางกาย แล้วไปสิ้นสุดที่ความคิด
ตัวอย่างเช่น บุคคลที่อยากสะสมเงินไว้มาก ๆ ไม่ว่าโดยสุจริตหรือทุจริต ล้วนกังวลใจไม่จบสิ้น เมื่อเขาประสบความสําเร็จและได้ความสุขจากวัตถุ ก็ไม่สบายใจ เกรงว่าคนอื่นจะมาแย่งทรัพย์ของเขาไป และเมื่อเขาแก่ชราและเจ็บป่วย เขาพบว่าเงินไม่สามารถสื่อความหนุ่มสาวหรือสุขภาพกลับคืนมา และสุดท้ายแล้ว ความตายจะทำให้เขาผิดหวังอย่างน่าเจ็บปวด “เขาเอาอะไรไปไม่ได้เลย”
เมื่อรู้ว่าความสุขในโลกแห่งวัตถุไม่มีความเที่ยงแท้ และสิ้นสุดที่ความทุกข์เสมอ ผู้รู้ทั้งหลายจึงไม่มุ่งแสวงหาความสุขจากผัสสอินทรีย์ที่ไร้ความบริสุทธิ์
เมื่อจิตของมนุษย์คุ้นเคยกับภาพที่น่าตื่นเต้น มันจะไม่สามารถชื่นชมความสุขสงบได้ ทํานองเดียวกัน การแสวงหาความสุขอันไม่เที่ยงจากชีวิตที่วุ่นวายและการแสวงหาสิ่งบันเทิงใหม่ ๆ อยู่เสมอ บุคคลจะหมดพลังที่จะเพ่งภายใน และได้ความสุขจากสมาธิ เช่นเดียวกับเด็กน้อยชินกับการเล่นซุกซน ไม่เห็นความสุขในความสงัด ผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่กับความวุ่นวาย ก็ไม่สนใจที่จะใคร่ครวญให้ลึกซึ้ง เมื่อจิตใจเหมือนกับคนช่างกิน แสวงหาสุขผัสสะหยาบ ๆ อย่างไม่รู้อิ่ม มันก็ไม่สามารถปรับรสนิยมให้เข้ากับวิญญาณที่ต้องการความประณีต
โยคีรู้ว่าทิพยสุขนั้นยิ่งใหญ่นักเมื่อเปรียบเทียบกับสุขผัสสะ แต่ปุถุชนหลงใหลไปกับเสน่ห์เล็ก ๆ น้อย ๆ ของผัสสะ เพราะเขาไม่เคยได้ลิ้มรสความสุขประเสริฐแห่งวิญญาณ ต่อเมื่อมนุษย์ได้ชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบความสุขทางโลกกับความสุขในสมาธิแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะได้แรงดลใจ ที่จะไปให้พ้นจากการครอบงำของผัสสอินทรีย์
ผู้มีญาณปัญญาเท่านั้นที่จะพูดได้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงล้ำเลิศยิ่งกว่าความประเสริฐใด ๆ ข้าฯ ได้ชั่งน้ำหนัก เปรียบเทียบพระองค์กับความเย้ายวนแห่งผัสสะในประสบการณ์ของข้าฯ เอง และข้าฯ ได้พบว่าพระองค์ทรงเหนือกว่า เย้ายวนใจกว่าสิ่งล่อใจอื่นใด❗”
ถ้ามนุษย์ยังพอใจอยู่กับสุขผัสสะ ก็เท่ากับเขาทรยศต่อฐานะพิเศษของตนที่พระเจ้าสร้างมา ศรีมัทภควัท ได้บอกแก่เราว่า “ร่างกายของมนุษย์ แม้จะไม่เที่ยง แต่ก็สามารถรับใช้เป้าหมายประเสริฐแห่งชีวิต อหังการต้องวิวัฒน์ผ่านรูปอันต่ำต้อยมาแล้วแสนนานในห่วงโซ่แห่งวิวัฒนาการ ก่อนที่จะมาเกิดใหม่ในกายมนุษย์ และจะกลายเป็นเป็นเหยื่อของความตายในที่สุด ผู้มีปัญญาจึงพยายามใช้ร่างนั้นเพื่อไปให้ถึงสิ่งดีที่สุด สัตว์และชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่ต่ำกว่ามนุษย์สามารถแสวงหาผัสสวัตถุ — แต่มนุษย์ไม่ควรเสียเวลาอยู่กับสิ่งนั้น”
มนุษย์จำนวนมากปฏิเสธที่จะยับยั้งระวังตน เพื่อเลิกละจากสุขผัสสะ หันไปหาความสุขแห่งวิญญาณที่เขายังไม่รู้จัก โดยให้เหตุผลอย่างขัดแย้งกับวิจารณญาณของมนุษย์ การปล่อยตัวตามอินทรีย์ทำให้เกิดนิสัยเลว ๆ ทำลายความปรารถนาที่จะแสวงหาความสุขที่เหนือกว่า คนส่วนใหญ่เดินต้อย ๆ ตามผัสสอินทรีย์ ตัวการทําให้เกิดความทุกข์ เพราะเขานึกไม่ออกว่าธรรมชาติของทิพยสุขนั้นเป็นอย่างไร นิสัยเลว ๆ ทำให้เขาตาบอด หมดอำนาจที่จะเห็นภาพความสุขที่เหนือกว่านั้น
ถ้าคนหนุ่มสาวได้พบกับทิพยสุขในสมาธิ ก่อนที่จะเข้าไปพัวพันในชีวิตทางโลก โอกาสที่เขาจะเป็นเหยื่อของผัสสมายาที่มีอยู่ทั่วไปก็จะน้อยลง
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา