17 มิ.ย. 2023 เวลา 12:59 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Gag Order - Kesha

รู้สึกแบบไม่ต้องพูด !!!
-ตั้งแต่ความพ่ายแพ้ในคดีความที่เธอฟ้องร้องเจ้าของค่ายและโปรดิวซ์เซอร์คู่เวรคู่กรรม Dr.Luke ในข้อกล่าวหาข่มขืนและล่วงละเมิดตัวเธอ แทนที่เธอจะแย่ลงจนทำงานเพลงไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าเธอกล้าหาญพอที่จะเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
-โดยเฉพาะผลงานสองอัลบั้มก่อนภายใต้ค่าย Kemosabe ทั้ง Rainbow และ High Road ที่ยืนยันถึงการเป็นศิลปินสาวผู้ก้าวข้ามความเป็นเจ้าแม่เพลงปาร์ตี้ฮิตประเดี๋ยวประด๋าวไปได้แล้ว และนั่นก็ทำให้คนที่เคยหมางเมินคาแรคเตอร์สำมะเลเทเมาในยุคแรกๆมองเธอในทางที่เปลี่ยนไปและเข้าข้างตัวเธอมากขึ้น
-โดยทั้งสองชุดในช่วงเปลี่ยนผ่านการเป็น Kesha นั้นก็ทำให้คนฟังอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอเก็บความอึดอัดไปได้ยังไง ? อะไรที่ทำให้เธอเลือกที่จะมอบพลังบวกให้กับคนฟัง ? ผมมองว่าสองอัลบั้มดังกล่าวเธออาจจำต้องอยู่ให้เป็นเสียก่อน
-นี่คืออัลบั้มลำดับสุดท้ายของค่าย Kemosabe ก่อนที่จะโบยบิน ซึ่งอาจจะทำให้คนฟังรับรู้ถึงความอึดอัดที่รอการระบาย ไม่เน้นกอสซิปแซ่บๆ mention ถึงคู่กรณีโดยตรง ละไว้ในฐานที่เข้าใจประหนึ่งคนที่คุณก็รู้ว่าใครที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น คดีความฉาวซะขนาดนั้น โดยเธอเน้นไปที่ deep conversation ที่กลั่นจากความรู้สึก negative ที่วนเวียนและติดอยู่ในใจเธอตลอดมา
“ฉันต้องการทำอัลบั้มให้เหมือนกับความรู้สึกโลดแล่นอยู่ในหัวฉันตลอดเวลา ทั้งหดหู่ เดือดดาล และมีความหวังปนๆกัน”
-การได้มาร่วมงานกับนักฟังที่ดี เอ้ย! โปรดิวซ์เซอร์และกูรูเพลงคนดังอย่าง Rick Rubin ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของแกก็มีความ aggressive พอตัวอยู่แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ในงานล่าสุดของ Kesha แตกต่างจากสองชุดก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการซัดอิเล็กทรอนิกส์ที่เกรี้ยวกราดเป็นพิเศษราวกับถูกถ่ายทอดความ aggressive จากอาจารย์ริค แถมยังคาดเดาไม่ได้ด้วยความวูบวาบของคลื่นความรู้สึกตามที่เธอได้สื่อมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานลบจากความเก็บกดและวังวนของการทำร้ายตัวเองแทบทั้งสิ้น
-Eat The Acid คือสารตั้งต้นชั้นดีในการขับเคลื่อนอัลบั้มด้วยความรู้สึกแบบ electrified กระตุกจิตกระชากใจด้วยคำสอนของแม่ว่า อย่ายุ่งกับยานะอีหนู ถ้าไม่อยากให้ยามันเปลี่ยนตัวเธอเป็นคนละคน เป็นเพลงแรกที่เธอตั้งตอนช่วงโควิด ไร้ซึ่งการออกทัวร์ และก็ตื่นขึ้นมาตอนตีสามจนได้เพลงนี้ออกมา
-โชคดีที่ capture ความรู้สึกได้ทันท่วงทีและเอามาต่อยอดได้เป็นเรื่องเป็นราวซะด้วย ประยุกต์ใช้ autotune ก็เข้าที ให้ความรู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนด้วยคำสั่งแล้ว repeat ออกมาซ้ำไปซ้ำมา และในท่อนต่อมาเธอก็ใช้เสียงจริงคนปกติมาแทนที่ ราวกับต้องการสื่อถึงความเป็นมนุษย์ที่ระลึกเป็น
-สำหรับเพลงเปิด Something To Believe In แสดงถึงความรู้สึกถึงความสับสนอันแสนด้านชา ผมเริ่มเก็ตการใช้ลูกเล่นการ repeat hook ไปมา เหมือนเห็นเธอกำลังล่องลอย พูดอะไรไม่ได้มาก ค้นพบความไร้เดียงสาในความรู้เยอะที่กลับไม่ช่วยอะไรจนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง Living In My Head โฟลค์ซองอารมณ์แห้งแล้ง แลดูท้อแท้ไปกับวังวนแห่งความซึมเศร้า
-การต่อด้วย Fine Line ก็โคตรดาร์ค บีทสุด alert เหมือนกำลังเปิดไซเรน SOS ส่งสัญญาณแห่งความดาวน์กับการเป็น entertainer ที่ยืนอยู่บนเส้นบางๆในหลายแง่ ทั้งการถูกฉกฉวยผลประโยชน์ การถูกมองเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น การยืนบนจุดสูงสุดโดยมีอาวุธอยู่ในมือก็เป็นดาบสองคมทั้งการมีอำนาจต่อรองและสามารถปลิดชีพตัวเองได้ ในบริบทของเพลงนี้น่าจะไปทางอย่างหลังมากกว่า เพราะเธอเองก็มีอำนาจในการมีปากมีเสียงน้อยเหลือเกิน
All the doctors and lawyers cut the tongue outta my mouth
I've been hidin' my anger, but bitch, look at me now
I'm at the top of the mountain with a gun to my head
Am I bigger than Jesus or better off dead?
Fine Line
-การเผชิญหน้ากับดราม่าผสมโรงแบบไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แน่จริงก็เข้ามาเลย ในเมื่อตัวกูแหลกสลายไปนานแล้วในเพลง The Drama ซาวน์ดแปร๋นๆมาพร้อมไม้เด็ด jump scare ที่เร่งปฏิกิริยาความเดือดดาลให้เพลงนี้พอสมควร Only Love Can Save Us Now ก็มีลูกเล่นอิเล็กทรอนิกส์แรงๆชวนระลึกถึงความแสบซ่าส์ของเธอในยุคแรกๆเหมือนกัน
-นี่อาจเป็นเพลงที่ขยี้ Eat The Acid เลยก็ว่าได้ แตกได้สองประเด็น อย่างแรกยกคำสอนของแม่ที่ไม่ให้เธอไปยุ่งกับยาอีก กลับกลายเป็นว่าแม่ผู้หวังดีกับลูกทำเรื่องคดีความให้ยุ่งเหยิงอีกครั้งจากทวีตกล่าวหา Dr.Luke อีกครั้งจนโดนฟ้องอีกชุด และอีกหนึ่งใจความหลักเกี่ยวกับความศรัทธาต่อพระเจ้าที่กลับไม่ช่วยเธอได้โดยตลอด เหมือนกับที่เคยตกผลึกจากเพลง Eat The Acid เนี่ยแหละ
-ยังมีเพลงที่เธอเกือบเผชิญน้องแมวเพศผู้ Mr.Peeps ที่เป็นกล่องดวงใจของเธอในเพลง All I Need Is You (ชื่อเพลงโคตรจะบอยแบนด์) หนึ่งเพลงโหมดซึ้งที่เธอเล่าถึงความยากลำบากในช่วงที่แมวเธอป่วยหนักขั้นรุนแรงในแบบที่ไม่แน่ใจว่าจะฉีดยาแล้วน้องจะรอดมั้ย และนั่นก็ทำให้เธอได้เข้าใจความหมายของรักที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มากก็น้อย
-ใน Ram Dam Interlude ก็น่าสนใจด้วย Speech ของนักปรัชญาในชื่อเดียวกันที่มอบหลักธรรมเกี่ยวกับคุณค่าในตัวเองที่เธอตั้งคำถามมาโดยตลอด ซึ่งคุณค่าของคนนั้นต้องได้รับแรงเสียดทานเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว นั่นก็ย่อมดีกว่าอยู่แบบซังกะตายอย่างแน่นอน
-Too Far Gone เป็นตัวแทนแห่งความอาลัยอาวรณ์ต่อแฟนเก่าของเธอที่เคยหมั้นหมายกันอย่างลับๆ การที่ต่างคนต่างเปลี่ยนไปแล้วย่อมทำให้ยากที่จะกลับมาเหมือนเดิมแล้วจริงๆ และด้วยความที่เธอเอาแน่เอานอนเธอเลยโยนโจทย์ให้คนต่อๆไปเลยว่า เลือกความสงบจบที่เธอไปพร้อมๆกับความโกลาหลที่แทรกมาเรื่อยๆต่อจากนี้หรือเปล่า? ในเพลง Peace & Quiet ที่ท่วงทำนองโฉ่งฉ่างย้อนแย้งกับชื่อเพลง
-สองแทร็คสุดท้ายเข้าสู่โหมดบัลลาดที่ลูกเล่นไม่ซับซ้อน ไพเราะแบบง่ายๆ อาทิเช่น Hate Me Harder และ Happy ที่เรียบง่ายด้วยความรู้สึกที่ว่า กูผ่านอะไรหนักๆมาเยอะแล้ว จะให้โดนรังเกียจก็มาเลย ถ้ามันทำให้ได้คุณค่าตัวเอง และการโหยหาความสุขในแบบที่คนธรรมดาพึงมี และการที่เธอ repeat ด้วยประโยค If you ask me now ไปเรื่อยๆ เป็นการทิ้งปลายเปิดด้วยบทสรุปที่อาจไม่ได้ลงท้ายด้วยสุขนิยมก็เป็นไปได้ มันย่อมมีอะไรมากกว่าความสุขอยู่แล้ว
-ผมไม่รู้ว่าทริคของจารย์ Rick Rubin ในการปลดล็อกตัว Kesha ให้ออกมาพูดอะไรด้วยความสัตย์จริงแบบนี้คืออะไร? ที่แน่ๆผมกลับถูกจริตรสชาติความดาร์คแบบขาวๆอย่างนี้จัง โฉ่งฉ่างแต่ก็ไม่ลืมเมโลดี้ ไม่ใส่ experiment จัดจ้านหลุดโลกเกินไป ในขณะที่เราเองก็รู้สึกสาแก่ใจที่เธอคายความโศกออกมาเสียที หลังจากที่ขับเคลื่อนพลังงานบวกอยู่ตั้งนาน
-ฟังดู conflict สิ้นดีกับการที่เราต้องการคอนเทนท์ดาร์คๆจากศิลปินที่เจอเรื่องฉาวโฉ่ในแบบที่ทุกคนทราบกันดี ผมเชื่อว่าเราไม่ต้องการเห็นให้เธอมอบพลังบวกเพื่อข่มความรู้สึกแท้จริงที่กักเก็บไว้นาน เราน่าจะรอให้เธอระบายความอัดอั้นนั้นออกมา และในที่สุดเธอก็รอคอยโอกาสแห่งการสั่งลานี้เป็นการทิ้งท้ายด้วยความรู้สึกที่ทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ แต่สิ่งที่น่าเข้าข้างก็คือวิธีที่เธอใช้ไม่เน้นบู๊แบบเจ็บตัว เธอเลือกที่จะ express ความรู้สึกลอยๆออกมาแทน คือต่อให้เน้นความตรงไปตรงมามันก็คงไม่แซ่บไปมากกว่านี้
-อย่าลืมว่าสิ่งที่เธอเจอมาคือประวัติศาสตร์ฉาวโฉ่ครั้งสำคัญของวงการเพลง ไม่ว่าใครก็ลืมไม่ลงหรือไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ เธอเลยเลือกที่จะสู้ด้วยผลงานในแบบที่ไม่ต้องย้ำซ้ำๆถึงคนเดิมๆ แค่ความรู้สึกก็น่าจะชัดเจนพอที่จะโยงไปถึงคนๆนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการสั่งลาที่ดีมาก และก็ทำให้รู้ว่า Kesha ในวันนี้ mature ยิ่งกว่าเดิมจนอยากที่จะรับรู้ถึงชีวิตที่สุกสกาวในยามที่ตัดขาดจากค่ายเก่าที่ไม่น่าอยู่ไปแล้ว
Top Tracks : Eat The Acid, Living In My Head, Fine Line, Only Love Can Save Us Now, The Drama, Too Far Gone, Peace & Quiet, Happy
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา