-สำหรับเพลงเปิด Something To Believe In แสดงถึงความรู้สึกถึงความสับสนอันแสนด้านชา ผมเริ่มเก็ตการใช้ลูกเล่นการ repeat hook ไปมา เหมือนเห็นเธอกำลังล่องลอย พูดอะไรไม่ได้มาก ค้นพบความไร้เดียงสาในความรู้เยอะที่กลับไม่ช่วยอะไรจนกว่าจะเจอด้วยตัวเอง Living In My Head โฟลค์ซองอารมณ์แห้งแล้ง แลดูท้อแท้ไปกับวังวนแห่งความซึมเศร้า
-การต่อด้วย Fine Line ก็โคตรดาร์ค บีทสุด alert เหมือนกำลังเปิดไซเรน SOS ส่งสัญญาณแห่งความดาวน์กับการเป็น entertainer ที่ยืนอยู่บนเส้นบางๆในหลายแง่ ทั้งการถูกฉกฉวยผลประโยชน์ การถูกมองเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น การยืนบนจุดสูงสุดโดยมีอาวุธอยู่ในมือก็เป็นดาบสองคมทั้งการมีอำนาจต่อรองและสามารถปลิดชีพตัวเองได้ ในบริบทของเพลงนี้น่าจะไปทางอย่างหลังมากกว่า เพราะเธอเองก็มีอำนาจในการมีปากมีเสียงน้อยเหลือเกิน
All the doctors and lawyers cut the tongue outta my mouth
I've been hidin' my anger, but bitch, look at me now
I'm at the top of the mountain with a gun to my head
Am I bigger than Jesus or better off dead?
Fine Line
-การเผชิญหน้ากับดราม่าผสมโรงแบบไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แน่จริงก็เข้ามาเลย ในเมื่อตัวกูแหลกสลายไปนานแล้วในเพลง The Drama ซาวน์ดแปร๋นๆมาพร้อมไม้เด็ด jump scare ที่เร่งปฏิกิริยาความเดือดดาลให้เพลงนี้พอสมควร Only Love Can Save Us Now ก็มีลูกเล่นอิเล็กทรอนิกส์แรงๆชวนระลึกถึงความแสบซ่าส์ของเธอในยุคแรกๆเหมือนกัน
-นี่อาจเป็นเพลงที่ขยี้ Eat The Acid เลยก็ว่าได้ แตกได้สองประเด็น อย่างแรกยกคำสอนของแม่ที่ไม่ให้เธอไปยุ่งกับยาอีก กลับกลายเป็นว่าแม่ผู้หวังดีกับลูกทำเรื่องคดีความให้ยุ่งเหยิงอีกครั้งจากทวีตกล่าวหา Dr.Luke อีกครั้งจนโดนฟ้องอีกชุด และอีกหนึ่งใจความหลักเกี่ยวกับความศรัทธาต่อพระเจ้าที่กลับไม่ช่วยเธอได้โดยตลอด เหมือนกับที่เคยตกผลึกจากเพลง Eat The Acid เนี่ยแหละ
-ยังมีเพลงที่เธอเกือบเผชิญน้องแมวเพศผู้ Mr.Peeps ที่เป็นกล่องดวงใจของเธอในเพลง All I Need Is You (ชื่อเพลงโคตรจะบอยแบนด์) หนึ่งเพลงโหมดซึ้งที่เธอเล่าถึงความยากลำบากในช่วงที่แมวเธอป่วยหนักขั้นรุนแรงในแบบที่ไม่แน่ใจว่าจะฉีดยาแล้วน้องจะรอดมั้ย และนั่นก็ทำให้เธอได้เข้าใจความหมายของรักที่ไม่มีเงื่อนไขไม่มากก็น้อย
-ใน Ram Dam Interlude ก็น่าสนใจด้วย Speech ของนักปรัชญาในชื่อเดียวกันที่มอบหลักธรรมเกี่ยวกับคุณค่าในตัวเองที่เธอตั้งคำถามมาโดยตลอด ซึ่งคุณค่าของคนนั้นต้องได้รับแรงเสียดทานเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว นั่นก็ย่อมดีกว่าอยู่แบบซังกะตายอย่างแน่นอน
-สองแทร็คสุดท้ายเข้าสู่โหมดบัลลาดที่ลูกเล่นไม่ซับซ้อน ไพเราะแบบง่ายๆ อาทิเช่น Hate Me Harder และ Happy ที่เรียบง่ายด้วยความรู้สึกที่ว่า กูผ่านอะไรหนักๆมาเยอะแล้ว จะให้โดนรังเกียจก็มาเลย ถ้ามันทำให้ได้คุณค่าตัวเอง และการโหยหาความสุขในแบบที่คนธรรมดาพึงมี และการที่เธอ repeat ด้วยประโยค If you ask me now ไปเรื่อยๆ เป็นการทิ้งปลายเปิดด้วยบทสรุปที่อาจไม่ได้ลงท้ายด้วยสุขนิยมก็เป็นไปได้ มันย่อมมีอะไรมากกว่าความสุขอยู่แล้ว