The Flash
ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี ผ่านมือผู้กำกับมากกว่า 45 คน กว่าจะถึงวันนี้ที่ฮีโร่เร็วสายฟ้า ‘เดอะแฟลช’ จะมีหนังเดี่ยวเป็นของตนเอง
แบร์รี่ อัลเลน หรือ เดอะแฟลช ได้ค้นพบว่าเมื่อเร่งความเร็วถึงขีดสุด ตนเองสามารถย้อนเวลากลับไปได้ และสิ่งที่แบร์รี่ทำคือการย้อนกลับไปแก้ไขบางอย่างเพื่อเซฟชีวิตแม่ของเขา แต่ผลที่ตามมาคือ แบร์รี่พบว่าตนเองตกอยู่ในไทม์ไลน์ที่ครอบครัวอัลเลนอยู่กันพร้อมหน้า ที่เลวร้ายกว่า ภัยร้ายจากนายพลซ็อดที่กลับมาอีกครั้ง และการแทรกแซงเวลาที่ทำไปสู่การล่มสลายของทุกจักรวาล
อ้างอิงจากคอมมิคส์ The Flashpoint Paradox ที่น่าจะดูเหมาะสมกับการนำฮีโร่สายฟ้าคนนี้ขึ้นจอฉายในโรง เพราะสามารถใส่ลูกเล่นเข้าไปได้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นที่ปฏิเสธไม่ได้คือการสร้างมัลติเวิร์สของฝั่งดีซี แม้จะไม่สดในแง่ถูกทำตามหลังมาร์เวล แต่การนำเอาสิ่งละอันพันละน้อยตามรายทางของไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ดีซี และโลกภาพยนตร์มาใส่ในหนัง ทำให้หนังมีทางเฉพาะของตนเอง
ต้องยอมรับเลยว่า แอนดี้ มูสเซตติ ที่เคยมีผลงานรีเมค IT ผีตลกจกเปรตทั้งสองภาค เข้ามากุมบังเหียนและจับจังหวะหนังให้มีครบรสได้อย่างดี แถมเซอร์วิสให้กับคนที่โตมากับแต่ละยุคของดีซีด้วยแบบจัดเต็ม กระทั่งช่วงท้ายก็ยัง ทำให้คนดูต้องน้ำตาซึม และปิดจบจนคนดูอุทาน ว้าว...!จนไม่น่าเชื่อว่าผู้กำกับสายสยองขวัญจะทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาได้สนุกขนาดนี้
ด้วยภาพจำแบร์รี่ฉบับทีวีซีรีย์สที่ทำให้ แกรนต์ กัสติน กลายเป็น แบร์รี่ในตำนาน ทำให้คนที่มาทีหลังอย่าง แอซรา มิลเลอร์ ได้ความ ‘ยี้’ ไปจากคนดูเต็ม ๆ แต่มิลเลอร์ก็ใช้เวลาทั้งเรื่องสร้างแบร์รี่ในแบบฉบับของตนเอง หนุ่มเนิร์ด-ไฮเปอร์ มีโลกส่วนตัวสูง ลึก ๆ มีความตลก มุ่งมั่น ขาดเกิน และน่าเห็นใจ จนเมื่อดูหนังจบคนดูก็เริ่มผูกพันกและยอมรับแบร์รี่คนนี้ไปในที่สุด
ไฮไลท์ของหนัง The Flash ก็คือการนำแบทแมนสองยุค ไมเคิล คีตัน กับ เบน แอเฟล็ก มาอยู่ปรากฏในหนังเรื่องเดียวกัน ที่ต่างก็ทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงดึงคนเข้ามาดูหนัง ได้แฟนทั้งสองยุคไปเลย ไม่มีอะไรน่ากังขาสำหรับสองคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการปรากฏตัวของแบทแมนในตำนาน ไมเคิล คีตัน ที่กลับมาสวมชุดหนังแบทสูทอีกครั้งมีส่วนที่ทำให้หนังมีพลังอัดแน่นและเดินไปข้างหน้าได้ทั้งแอ็คชั่นและดราม่าเป็นระยะ ๆ โดยที่คีตันทำให้เห็นว่ากาลเวลาไม่อาจทำลายการเป็นแบทแมนของเจ้าตัวได้เลย
หนังมาสดใหม่ที่การตีความของ ซูเปอร์เกิร์ล ของ ซาช่า แคลล์ ในเวอร์ชั่นที่มีทั้งความเท่แกร่งและดาร์กกว่าฉบับทีวีซีรีย์ส ซึ่งหนังน่าจะตั้งใจสร้างฐานแฟนกลุ่มเพศทางเลือก
มาถึงตรงนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเดอะแฟลชหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ควรพลาดที่จะได้ดู The Flash และหลังจบ End Credit มีหนึ่งฉากครับ
บางเรื่องที่เป็นความผิดพลาดและทำให้เราติดอยู่กับความคิดที่จะแก้ไข โดยเราลืมคิดไปว่าเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วจึงส่งผลถึงวันนี้ การปล่อยอดีตให้ผ่านไป เรียนรู้ความผิดพลาดนั้น และเดินหน้าต่อไปจึงเป็นสิ่งที่เราสมควรทำในชีวิต
The Flash (2023)
Directed: Andy Muschietti/Starring: Ezra Miller, Ben Affleck, Sasha Calle, Ron Livingston, Michael Shannon, Michael Keaton
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube, Warner Bros., Major Cineplex
- 4
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
