18 มิ.ย. 2023 เวลา 16:32 • ประวัติศาสตร์
เอาเป็นว่า
ผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวของ
“กลยุทธ์สาวงาม” มาก่อนในชีวิต
หลังจากที่ผมต้องพึ่งพา search engine เจ้าใหญ่นั้น ผมก็พบข้อมูลดังนี้
“กลยุทธ์สาวงาม หรือ เหม่ยเหรินจี้ (อังกฤษ: The beauty trap; จีนตัวย่อ: 美人计; จีนตัวเต็ม: 美人計; พินอิน: Měi rén jì) เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการกำจัดศัตรูที่มีกำลังเข้มแข็ง ในการทำศึกสงครามจำต้องหาหนทางกำจัดแม่ทัพเสียก่อน หากปล่อยไว้จะเป็นภัยในภายหน้า ต่อแม่ทัพที่มีความเฉลียวฉลาด สติปัญญาเป็นเลิศ ชำนาญตำราพิชัยสงคราม รอบรู้ภูมิประเทศและจุดยุทธศาสตร์ เก่งกาจในเชิงยุทธ์ จักต้องโจมตีจุดอ่อนทางใจให้มีอุปสรรค ส่วนแม่ทัพที่หย่อนย่อท้อแท้ กำลังทหารไพร่พลที่กำลังถดถอย ก็จักอ่อนแอแลเสื่อมโทรมพ่ายแพ้ไปเอง
1
ตัวอย่างการนำเอากลยุทธ์สาวงามไปใช้ได้แก่
อ้องอุ้นที่วางกลอุบายทำลายความสัมพันธ์ของตั๋งโต๊ะและลิโป้บุตรบุญธรรมด้วยการยกเตียวเสี้ยนให้เป็นภรรยา ทำให้ทั้งสองฝ่ายผิดใจกันจนเป็นเหตุให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะ”
• ในยามศึกสงครามไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด หรือแม้แต่ในโลกธุรกิจ
ก็ยังมีการทำ “จารกรรม” หรือ
espionage
มาโดยตลอด
และการใช้ “Sex” เป็นเครื่องมือด้วยแล้ว
ผมจึงตั้งชื่อให้เป็น
SEXespionage!
1
ผมเองชอบดูหนังสงครามมาตลอด และผมได้ข่าวว่า
SEXespionage มีการใช้กันอย่างกว้างขวางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยกองทัพ Nazi มีการจัดตั้งหน่วยจารกรรมที่นำสายลับหน้าตาดีทั้งชายและหญิง มาฝึกการ “ขึ้นเตียง” เพื่อหาข่าวจาก “แหล่งข่าว” ที่ชื่นชอบ “เรื่องบนเตียง” โดยเฉพาะ!
1
เรื่องพวกนี้ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้น จากการที่ผมได้ดูหนังเรื่อง
Red Sparrow
ที่เป็นเรื่องราวของสาวสวยหน้าหวานที่เธอฝ่านการฝึกมาจากหน่วย SEXespionage จากประเทศหลังม่านเหล็ก ที่ก่อตั้งหน่วยนี้มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
เพื่อที่เมื่อเธอไปมี “สัมพันธ์” กับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของประเทศฝ่ายตรงข้าม เธอจะได้ข้อมูลมาเพื่อความได้เปรียบทางทหาร
• ผมมองว่า
SEXespionage ใช้ได้ผลตลอดมา และตลอดไป เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว Sex คือ “ความบันเทิง” ไม่ใช่แค่เพียงการดำรงเผ่าพันธุ์!
แต่หากมองถึง “การลอบสังหาร” หรือ Assassinations เพียงอย่างเดียว
ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ Sex มาเป็นเงื่อนไขหลักอีกต่อไป!
เพราะยุคนี้เรามีทั้ง “ดาวเทียมจารกรรม” และ “drones” ที่สามารถทำงานในระดับ “Global Scale” ได้!
และภาพเริ่มชัดเจนขึ้นอีก เมื่อผมได้ดูหนังเรื่อง
Good Kill
ซึ่งเป็น หนังเกี่ยวกับอดีตนักบิน F-16 ที่ต้องมาขับ Drone ทางทหารเพื่อลอบสังหาร
HVT: High Value Target
ที่เป็นผู้นำของกลุ่มก่อการร้ายในประเทศที่อยู่ห่างไกลในอีกซีกโลกหนึ่ง
แต่ปัญหาใหญ่ในการใช้ drone ยิ่งจรวดใส่ทั้งรถยนต์หรือบ้านของ HVT นั้น มันเป็นเรื่องของ
Civilian Casualties
หรือ
Collateral Damage
ซึ่งก็คือ การที่ชาวบ้านทั้งผู้หญิงและเด็กที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการโจมตีต้องมาบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอานุภาพการระเบิดที่รุนแรงของจรวดที่ยิงจาก drone
โดยจากความสนใจในเทคโนโลยีอากาศยานของผม ทำให้ผมสามารถระบุได้ว่า
1
จรวดที่ใช้ยิงจาก drone บางรุ่นนั้น มีชื่อว่า
Hellfire
หรือ
AGM-114
ซึ่งโดยปกติ Hellfire เป็นจรวดที่ถูกออกแบบมาใช้
ยิงรถถัง!
โดยมันถูกติดตั้งกับ
AH-64 Apache
ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีสมรรถนะสูงพอๆกับราคาของมัน!
• ด้วยเหตุผลของ Collateral Damage นี้เอง
ที่ทางกองทัพและหน่วยข่าวกรองของเมืองคุณลุงแซม ไม่โจมตีเป้าหมายทางทหารที่อาศัยอยู่ในตึกรูปทรงแปลกประหลาด ที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่หลบซ่อนของ HVT ชื่อก้องโลก ที่มี code name ว่า
Geronimo
และนี่คือเรื่องจริงที่กลายมาเป็นหนัง Action thriller ที่ผมชื่นชอบเรื่อง
Zero Dark Thirty
โดยชื่อของหนังเป็น code ทางทหาร ที่แปลว่า
Zero: เวลาเที่ยง
Dark: PM
Thirty: 30 นาที
โดยรวมหมายถึง
เวลาในการปฎิบัติการคือ
‘เที่ยงคืนสามสิบนาที’
หรือ
30 minutes
pass
midnight
โดย “ทำเนียบขาว” ได้อนุมัติการโจมตีให้หน่วย SEALs บุกบ้านต้องสงสัยนั้น โดย
1
ท่าน Obama และผู้บริหารระดับสูงของประเทศได้เฝ้าดูการจู่โจมแบบ
Live
จากกล้องที่ติดอยู่กับหน่วยรบพิเศษนี้!
โฆษณา