19 มิ.ย. 2023 เวลา 09:02 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะพื้นฐาน 4 หุ้นเด่น เมื่อภาคส่งออกไทยกำลังผ่านจุดต่ำสุด

การส่งออกเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของไทย แม้ในปี 2566 จะมีความเสี่ยงที่การส่งออกไทยจะติดลบจากปีก่อน ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์คาดว่าการส่งออกกำลังจะผ่านจุดที่แย่ที่สุด และค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น จากดัชนีภาคส่งออกของจีนและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งออกไปยังเกาหลีใต้ค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะเดียวกันภาครัฐยังมีแผนจะขยายตลาดใหม่ โดยเน้นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกามากขึ้น
โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เริ่มเห็นความเป็นไปได้ที่ภาคการส่งออกไทยจะผ่านจุดแย่ที่สุดและฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากดัชนีชี้นำกาคส่งออกไปยังจีน 2 ส่วน คือ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่ปัจจุบันเห็นสัญญาณฟื้นตัว
อีกทั้งยอดลงทุนอสังหาฯ ที่กำลังได้ประโยชน์จากกระแสจีนกลับมากระตุ้นภาคอสังหาฯ นอกจากนี้ ในส่วนสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังมีภาพบวกจากยอดส่งออกสินค้าจากเกาหลีใต้ฟื้นตัวติดต่อกัน 2 เดือน บ่งชี้ว่าช่วงเวลาระบายสินค้าผ่านพ้นไปแล้ว
ขณะเดียวกัน กรมการค้าระหว่างประเทศ ยังมีแผนผลักดันการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเน้นประเทศซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกา เช่น เคนยาและแอฟริกาใต้ โดยมองการเติบโตระดับ 20% ด้วยกลุ่มสินค้า ผลไม้ ข้าว อาหารแปรรูป รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าแฟชั่น ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มที่จำหน่ายสินค้าดังกล่าว เช่น CPF GFPT ที่คาดเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาพปัจจุบันที่มีสัญญาณดีขึ้น
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังเน้นหุ้น HANA ที่ลุ้นรับผลบวกจากวงจรดอกเบี้ยผ่านจุดเร่ง รวมถึงโครงสร้างสินค้าลุ้นรับประโยชน์ทั้งกระแสแห่งอนาคต AI และ EV รองลงมาเป็น KCE ที่ราคายัง Laggard HANA แต่ลุ้นรับภาพบวกวงจรส่งออกผ่านจุดแย่เช่นกันและ CPF ที่ธุรกิจลุ้นกลับมามีกำไรปกตินับจากไตรมาส 2/66 และ Price to Book Value ยังต่ำกว่า 1 เท่า
ดังนั้นจากแนวโน้มการส่งออกที่น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับการขยายตลาดใหม่ๆ Wealthy Thai จึงมีข้อมูลที่น่าสนใจของ 4 หุ้น ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากปัจจัยข้างต้นมาฝาก
สำหรับ HANA นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดไตรมาส 2/66 จะมีกำไรปกติ 370 ล้านบาท ทรงตัวถึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เพราะแนวโน้มยอดขายต่ออัตราการใช้กำลังการผลิตต่ออัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ในโรงงานอยุธยาฟื้นตัวเล็กน้อย
ส่วนธุรกิจเกี่ยวกับกลุ่มรถยนต์น่าจะยังทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ค่าเงินบาทที่ทรงตัวดีกว่าในไตรมาส 1/66 ที่ค่าเงินบาทแข็งค่า โดยรวมจึงคาดว่า GPM ในไตรมาส 2/66 จะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/66 ขณะที่ยอดขายและ SG&A คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า
ฝ่ายวิเคราะห์คงแนะนำ Reduce และลดราคาเป้าหมายเหลือ 36 บาท จากเดิม 38 บาท เนื่องจากปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลงจากเดิม 4% มาอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 19% จากปีก่อน และกำไรจะฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2567 ที่ 1.9 พันล้านบาท พร้อมคง P/E เป้าหมายที่ 17 เท่า เพราะกังวลอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และรถยนต์อาจได้รับผลกระทบด้านลบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และธุรกิจ silicon carbide มีการฟื้นตัวช้ากว่าคาด
ถัดมา KCE นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2566-2567 ลง 17% และ 29% เป็น 1.7 พันล้านบาท และ 1.9 พันล้านบาท ตามลำดับ ปัจจัยหลักมาจาก 1. การปรับลดสมมติฐานรายได้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จากเติบโต 5.3% เป็นติดลบ 8.5% ซึ่งคาดว่าความเสี่ยง Recession ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกชะลอคำสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น
และ 2. ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566-2567 จาก 22.5% และ 25% เป็น 21.8% และ 22% ตามลำดับ จากการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพชดเชย Scale ที่หายไปทำได้ช้ากว่าคาด
ทั้งนี้ผลของการปรับลดประมาณการทำให้ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ปรับลดลงเป็น 36 บาท โดยประมาณการปัจจุบันต่ำกว่าประมาณการของตลาด 26% ซึ่งคาดว่าตลาดมีแนวโน้มต้องปรับลดประมาณการในระยะถัดไป
ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงปรับลดคำแนะนำเป็น ขาย แม้ราคาหุ้นปรับลดลงมาต่อเนื่องแต่หุ้นยังมี Downside เชิงกลยุทธ์คาดหุ้นตอบสนองเชิงลบก่อนการประชุมและหากแนวโน้มการประชุมไตรมาส 2/66 ไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นมีโอกาส underperform ไปอีกระยะ ดังนั้นไม่ต้องรีบเข้าลงทุน ควรรอการปรับลดประมาณการของตลาดในราคาหุ้นอีกระยะ
CPF นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 เบื้องต้นคาดจะยังมีผลประกอบการขาดทุน แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ยหมูในไทยและเวียดนามเริ่มฟื้นตัว ขณะที่จีนได้ประโยชน์จากการบริโภคที่ดีขึ้นหลังเปิดประเทศ
โดยประเมินว่าผลประกอบการของ CPF จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นในครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป หลังมองว่าราคาหมูในประเทศมีโอกาสปรับสูงขึ้น จากสถานการณ์ราคาปัจจุบันที่ทำให้เกษตรกรรายย่อยบางส่วนออกจากตลาด ทำให้ Supply หมูลดลง, อากาศที่ร้อนกว่าปกติทำให้หมูกินอาหารได้น้อยลง กระทบน้ำหนักตัวของหมู
อีกทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลงชัดเจนขึ้น หลังผลผลิตถั่วเหลืองในสหรัฐฯ และบราซิลออกมามากกว่าคาดการณ์ของตลาด และเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศรอบใหม่
ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลง 67% เป็น 1.4 พันล้านบาท ลดลง 87.1% จากปีก่อน ซึ่งผลของการปรับประมาณการลง ทำให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ถูกปรับลดลงเป็น 20.50 บาท โดยคงคำแนะนำ เก็งกำไร ในเชิงกลยุทธ์ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุน โดยให้รอสถานการณ์ราคาหมูในไทยกลับมาเป็นทิศทางขาขึ้นหรือราคาหมูในจีนปรับขึ้นชัดเจน
และ GFPT นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 เบื้องต้นคาดกลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากปริมาณขายส่งออกที่สูงขึ้นและแนวโน้มราคาต้นทุนที่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลง แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน คาดยังลดลงจากฐานที่สูง
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงมุมมองลบต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2566 ของ GFPT ที่คาดกำไรจะชะลอลงจากฐานที่สูงในปีก่อน โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 1.33 พันล้านบาท ลดลง 35.8% จากปีก่อน อย่างไรก็ตามราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER เพียง 10.6 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13-14 เท่า
ดังนั้นจึงมองว่าราคาปัจจุบันสะท้อนกำไรไตรมาส 1/66 ที่อ่อนแอไปแล้ว คงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 13 บาท และคงคำแนะนำ ซื้อ เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวของผลประกอบการในไตรมาส 2-3/66
โฆษณา