20 มิ.ย. 2023 เวลา 02:03 • ปรัชญา

การปะทะกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ (1)

ตอนที่ 1 การเรืองอำนาจในเวลาอันสั้นของมนุษย์
มนุษย์มีอำนาจมาก และมากขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น นั่นแหละคือปัญหา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนปรับให้เข้าสิ่งแวดล้อม และปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการดำรงชีพและขยายพันธุ์ของตน แต่ไม่มีชนิดไหนทำได้รวดเร็วเหมือนมนุษย์
ตัวอย่างเช่น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่มีวิวัฒนาจากแบคทีเรียเมื่อราว 3.4 พันล้านปีมาแล้ว มันต่างจากแบคทีเรียอื่นตรงที่สามารถสังเคราะห์แสง เปลี่ยนแสงแดดและน้ำให้กลายเป็นพลังงาน พร้อมกับปล่อยออกซิเจนอิสระออกมา เปลี่ยนบรรยากาศโลกจากมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก เป็นมีออกซิเจนมาก แต่มันต้องใช้เวลาราว 500 ล้านปี จึงจะสร้าง “มหาเหตุการณ์ออกซิเดชัน” ขึ้น
การเรืองอำนาจของมนุษย์เป็นไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์สมัยใหม่อุบัติขึ้นมาเมื่อราว 2-3 แสนปีมาแล้ว เรืองอำนาจขึ้นครั้งแรกเมื่อราวหนึ่งหมื่นปีมาแล้ว โดยการรู้จักทำการเกษตรในยุคหินใหม่ อีกราวห้าพันปีมาจึงรู้จักสร้างอาณาจักรมีเมืองเป็นศูนย์กลาง
การเรืองอำนาจใหญ่อีกครั้งของมนุษย์เกิดขึ้นในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก รู้จักสร้างและใช้เครื่องจักรไอน้ำเมื่อราวสองสามร้อยปีมานี้เอง และเอาเข้าจริงแล้วผู้คนทั้งหลายคิดว่าตนเข้าใจและสามารถควบคุมธรรมชาติ เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองไม่ถึงร้อยปีมานี้เอง ก่อนหน้านั้นและแม้จนถึงทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากยังเคารพสุริยะเทพ เทพแห่งสายฟ้า เทพแห่งน้ำและดิน เจ้าป่าเป็นต้น
1
การเรืองอำนาจอย่างรวดเร็วของมนุษย์ แสดงออกใน 4 ประการด้วยกันคือ
1) การปรากฎไปทั่ว มนุษย์เป็นสปีชีส์เดียวที่สามารถไปตั้งถิ่นฐานได้ทั่วโลกในเวลาอันสั้น ในขณะนี้กล่าวได้ว่าใครก็ได้สามารถไปพักในโรงแรมที่ทำด้วยน้ำแข็งหรือเดินทางท่องอวกาศได้
ที่มนุษย์ทำได้เช่นนั้น เพราะมีความสามารถหลายอย่าง เช่น การประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย ตั้งแต่รองเท้าไปจนถึงหมวก การรู้จักสร้างที่อยู่อาศัยที่มั่นคงหลากหลาย มีเฟอร์นิเจอร์รวมถึงเครื่องปรับอากาศ การผลิตและขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการมีที่พักโรงแรม ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล เป็นต้น ในที่ต่างๆทั่วถึง ส่วนสัตว์และพืชต้องอาศัยการค่อยๆปรับตัวอย่างช้าๆ เพื่อไปที่ใหม่ กว่าจะถึงก็อาจกลายพันธุ์เป็นคนละสปีชีส์กันได้
2) การดัดแปรได้ทั่ว มนุษย์ไม่ว่าไปอยู่ที่ใด ก็จะดัดแปรสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัย ทำมาหากิน พักผ่อนบันเทิง ลิ้มรสสุนทรียภาพและความรู้สึกที่ละเอียดลึกซึ้ง และศรัทธาต่างๆ ที่สำคัญได้แก่การสร้างเมือง โครงสร้างพื้นฐาน เช่นท่าเรือและถนน การสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างอื่นจำนวนมาก
จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ประมาณกันว่า มนุษย์ที่มีชีวมวลเพียงน้อยนิด ได้สร้างสิ่งก่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ทั้งรวมกันมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมกัน (ชีวมวลเกือบทั้งหมดของโลกเป็นพืชและต้นไม้ รองลงไปได้แก่แบคทีเรีย)
การดัดแปรสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ได้ขยายตัวทั้งในด้านขนาดที่ใหญ่ เช่นเขื่อนยักษ์ ตึกระฟ้า ไปจนถึงสิ่งที่มีขนาดเล็กและซับซ้อนมาก เช่นการดัดแปรยีน ที่ขณะนี้ใช้กับพืชและสัตว์ในเชิงการเกษตรเป็นสำคัญ แต่สามารถใช้ในกิจการด้านอื่นได้อีก และกำลังคืบหน้ามาสู่การดัดแปรยีนมนุษย์ โดยข้ออ้างเรื่องการแพทย์นำหน้า นั่นคือมนุษย์สามารถดัดแปรพันธุกรรมของตนได้อย่างรวดเร็วกว่าวิวัฒนการตามธรรมชาติ
การดัดแปรนี้มองในด้านการสร้างสรรค์ก็ได้ มองในด้านการทำลายก็ได้ เช่นการแปรผืนป่าให้กลายไร่ปลูกถั่วเหลือง และทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ปรากฏในป่าแอมะซอน การทำลายที่สำคัญและเป็นที่กังวลทั่วไปในขณะนี้คือ การทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนไป โดยส่งแก๊สเรือนกระจก มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นต้นสู่ชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเป็นต้นมา ทำให้โลกร้อนและลมฟ้าอากาศสุดขั้ว
3) การควบคุมได้ทั่ว อำนาจนี้มีแหล่งกำเนิดส่วนที่ลึกของจิตมนุษย์ ที่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่ประจักษ์ได้เป็นส่วนหนึ่งของ “ตัวเรา” และ “ของเรา” ผลักดันให้แสวงหาทรัพย์สิน ความมั่งคั่ง และอำนาจ การแพร่ขยายตนเอง เกิดวัฒนธรรมและการพัฒนาของมันอย่างไม่หยุดย้ั้ง จนกระทั่งเกิดอาณาจักร จักรวรรดิ และอาณานิคมหรือดินแดนที่อยู่ในอำนาจของจักรวรรดิ
การขยายอาณานิคมไปทั่วโลก เกิดในยุคแห่งการสำรวจ ที่หลายประเทศในยุโรปเดินทางทางเรือไปหาเส้นทางการค้าเครื่องเทศกับตะวันออก ในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 17 ในเวลาไม่นานมหาอำนาจตะวันตกได้เข้าควบคุมโลกทั้งหมด อังกฤษได้สร้างจักรวรรดิอันไพศาลที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน
แม้ลัทธิอาณานิคมแบบเก่าจะสิ้นสุดลง ก็เกิดอาณานิคมแบบใหม่ ขณะนี้เกิดโลกหลายขั้วอำนาจ ประเทศที่มีอำนาจทั่วโลกต่างแย่งกันเป็นใหญ่ แสดงความเป็นเจ้าของ ไม่เพียงในโลก แต่ยังในห้วงอวกาศ ไปจนถึงดวงจันทร์และดาวอังคาร สหรัฐไปปักธงที่ดวงจันทร์ รัสเซียนำโลหะธงชาติของตนไปฝังไว้ที่มหาสมุทรอาร์คติก ขั้วโลกเหนือ จีนมีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติสร้างที่พักบนดวงจันทร์ ส่วนอังกฤษคิดจะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่นั่น
การควบคุมโลกนี้เป็นอย่างสมบูรณ์จากการตั้งถิ่นฐาน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และวิทยาการต่างๆ ตั้งแต่วิชาภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา สังคมวิทยา ภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา และทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นต้น
4) การรู้ทั่ว ความรู้ของมนุษย์แต่เดิมนั้นก็รับรู้ ประมวลผล และเก็บไว้ในสมองของตนเป็นสำคัญ ความรู้จึงมีจำกัดอยู่ในการผลิตไม่กี่อย่าง และจารีตธรรมเนียมอีกจำนวนหนึ่ง ผู้คนอยู่แบบครอบครัวและชนเผ่า แต่เมื่อมีภาษาเขียน สร้างรัฐและอาณาจักรขึ้น ผู้คนอยู่หนาแน่น ข่าวสารและความรู้สามารถบันทึกลงในดินเหนียว แผ่นศิลา และในสมุดหนังสือ ความรู้ของมนุษย์ได้ขยายตัวมีความหลากหลายขึ้นมาก
ยิ่งเมื่อเกิดแท่นพิมพ์และเครื่องจักร มีการใช้ไฟฟ้า มีวิทยุ โทรเลข และโทรศัพท์ ข่าวสารความรู้ของมนุษย์ยิ่งพอกพูน เก็บรักษาและแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังมีความจำกัด กล่าวกันว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมโครงการสร้างระเบิดปรมาณูของสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ยังคงคำนวณตัวเลขต่างๆ โดยใช้สมองของตนกับกระดาษและดินสอเท่านั้น
การแปรเป็นดิจิทัล ด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้เกิด “การระเบิดทางความรู้” ของมนุษย์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ข่าวสารความรู้กลายเป็นสิ่งที่ผลิตง่าย เก็บรักษา แพร่กระจายง่าย และมีราคาถูกลงมาก จนทำท่าจะกลายเป็นมลพิษไปจากข่าวปลอม ข่าวลวง ข่าวสร้างกระแสต่างๆ
ที่การแปรรูปภาพ ตัวอักษร เสียง และอื่นๆให้กลายเป็นดิจิทัล ทรงพลังมากนั้น เพราะว่ามันเป็นสิ่งต่อเชื่อมความรู้ทั้งหลายของมนุษย์เข้าด้วยกัน ความรู้และสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากในอดีต จากวัฒนธรรมและอารยธรรมทั้งโลก เชื่อมสมองของมนุษย์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
การรู้ทั่วของมนุษย์ขณะนี้แสดงออกที่เทคโนโลยีล่าสุดของเขา คือปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์นี้ทำงานได้คล้ายเซลล์สมองของมนุษย์ โดยการกรองเอาแบบรูปหรือแพทเทิร์นจากข้อมูลจำนวนมาก ปัญญาประดิษฐ์กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นเทคโนโลยีท้ายสุด และมันอาจเป็นเทคโนโลยีสุดท้ายของมนุษย์ เพราะว่าพวกเขากำลังเข้าปะทะกับธรรมชาติอย่างดุเดือด
ภาพประกอบบทความโดย กันต์รพี โชคไพบูลย์
โฆษณา