Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เด็กอย่างเราก็มีหัวใจ
•
ติดตาม
20 มิ.ย. 2023 เวลา 11:56 • ครอบครัว & เด็ก
เมื่อเราต้องย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ตอนที่ 1
เมื่อเราต้องย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ การย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่เมื่อมีความจำเป็น เช่น เมื่อต้องย้ายตามพ่อ แม่ ในการทำงาน การย้ายโรงเรียนบ่อย ๆ ในวัยเด็กนั้น จะส่งผลกระทบ ต่อจิตใจของเด็ก ซึ่งอันนี้เป็นผลที่กับเราเอง เราจะมาเล่าให้คุณฟัง
ปัจจุบันเราอยู่ในวัยทำงาน วัยเด็กเราเป็นเด็กยุค 90 ที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต การจะมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น ก็คือ การไปเจอเพื่อนที่โรงเรียน หรือเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน แต่ด้วยครอบครัวเราเป็นข้าราชการ ซึ่งพ่อแม่ต้องย้ายที่ทำงานตลอดทุก 2-3 ปี ทำให้เราต้องย้ายโรงเรียนไปเรื่อย ๆ ตอนเด็กที่ยังอยู่ช่วงอนุบาล ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า กำลังจะสนิทกับเพื่อนคนนี้ แต่ก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกแล้ว
การปรับตัวเข้ากับสังคมในแต่ละที่ ก็เป็นความลำบากใจของเด็กชั้นประถมที่เดินเข้าห้องเรียนไปพร้อมครูประจำชั้น แนะนำเราหน้าห้องเรียน แล้วก็ให้เราไปนั่งคู่กับใครไม่รู้ ในห้องเรียนก็จะมีเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มเรียนเก่ง ตั้งใจเรียน กลุ่มเล่นซน กลุ่มสวยงาม กลุ่มแกล้งเพื่อน กลุ่มเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย กับอะไรหรือกับใครทั้งสิ้น
ซึ่งการที่เราไปนั่งกับใครเราก็จะได้อยู่ในกลุ่มคนนั้นไปโดยปริยาย ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นกลุ่มเรียบร้อย ตั้งใจเรียน ตอนประถมต้น เรายังรู้สึกเฉยๆ กับการย้ายโรงเรียน เรายังสามารถพูดคุยกับเพื่อนใหม่ ๆ ได้ แต่หลังจากเราย้ายโรงเรียนตอน ป.5 เราเริ่มรู้สึกว่า การไปโรงเรียนมันไม่สนุกเลย ขอเล่านิดนึงโรงเรียนที่เราย้ายไปตอน ป.5 เป็นโรงเรียนเอกชนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจังหวัด เพราะพ่อกับแม่เริ่มกลัวว่าถ้ายังให้ลูกเรียนที่โรงเรียนต่างอำเภอ ลูกอาจจะสอบเข้าโรงเรียนมัธยมในจังหวัดไม่ได้
พ่อกับแม่เลยตัดสินใจเองด้วยการย้ายโรงเรียนเราอีกครั้งหลังจากที่อยู่โรงเรียนเดิมมาตั้งแต่ ป.1-ป.4 วันแรกที่เราไปโรงเรียนใหม่ เพื่อนในห้องล้วนเป็นนักเรียนเก่าที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล เราเลยเหมือนตัวประหลาดที่เข้าไปอยู่ที่นั้น อีกทั้งเราย้ายมาจากโรงเรียนที่อยู่ต่างจากอำเภอยิ่งเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองไปอีก เพื่อน ๆ ในห้องก็ล้วนแต่เป็นลูกครู ลูกหมอ ลูกพยาบาล ลูกตำรวจ ลูกทหาร ลูกเจ้าของร้านทอง ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเรากับเพื่อน
การปรับตัวเข้ากับเพื่อนในห้องเป็นเรื่องยากมากสำหรับเรา แต่หลังจากเรียนไปได้ 1 เทอมเราก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ เรามีเพื่อนสนิทในห้องอยู่ 3 คน ซึ่งนิสัยคล้าย ๆ กัน เรียนก็พอพอกัน ความขยันใกล้เคียง แต่กว่าจะสนิทกันได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะเรากับเพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ผู้ปกครองมารับช้าที่สุด ก็เลยสนิทกัน แต่กับคนอื่น ๆ ในห้อง ก็คุยบ้าง ไม่คุยบ้าง เราก็สนิทกับเพื่อนกลุ่มนี้จนจบ ป.6
แต่ก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อเราต้องเข้าชั้น ม.1 ซึ่งตอนแรกพ่อกับแม่วางแผนให้เราเรียนโรงเรียนมัธยมในอำเภอเมือง แต่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพ่อกับแม่ต้องย้ายไปอีกจังหวัด ซึ่งกลายเป็นว่าเราต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนมัธยมต่างอำเภอ โรงเรียนที่เราย้ายไปเราไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว คุณลองคิดตามน่ะเด็ก ม.1 ไปโรงเรียนวันแรก ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จักใครแม้แต่คนเดียว แล้วมาจากโรงเรียนเอกชนในเมือง
ตอนแนะนำตัวหน้าห้องเรียนเรารู้สึกเลยว่าเราคงจะถูกเพื่อนในห้องหมั่นใส้ ซึ่งก็จริงจริงเราถูกเพื่อนในห้องไม่ชอบหน้า เพราะมาจากโรงเรียนในเมือง
เรากลายเป็นคนไม่พูด เรียนอย่างเดียวว่างก็ไปห้องสมุดไม่มีเพื่อนคุย เราอยู่แบบนั้นจนสอบกลางภาค พอสอบกลางภาคเสร็จครูประกาศคะแนน เราได้ที่ 1 ของระดับชั้น หลังจากนั้นก็จะมีพวกที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่เข้าใจในเรื่องที่ครูสอนเริ่มมาคุยกับเราหรือกลุ่มเกเร เริ่มมาชวนเราไปกินข้าวด้วยแลกกับการที่เราต้องให้คนพวกนี้ลอกการบ้าน อยู่กลุ่มทำรายงาน ลอกข้อสอบ
ซึ่งตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าเราอยากมีเพื่อนเราก็เลยยอม แต่หลังจากนั้นด้วยความที่นิสัยเรา เราไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร ติดจะหยิ่ง ๆ ด้วยซ้ำ เราก็เริ่มไม่ให้เพื่อนกลุ่มนี้ลอกการบ้าน ไม่ให้ลอกงานต่าง ๆ เราเริ่มโดนเกลียดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรุนแรงมากกว่าตอนที่เราเข้า ม.1 ใหม่ ๆ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักเรามีแต่เพื่อนในห้องที่หมั่นใส้ หลังจากนั้นเราเริ่มโดนแกล้งทั้งเพื่อนในห้อง ทั้งรุ่นพี่ เราเคยโดนรุ่นพี่ ม.3 ห้อง ม.3/1 เกลียดทั้งห้อง ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรให้เขา
เราโดนแกล้งหนักมากทั้งเอาหนังสือเรียนไปซ่อน เอาสมุดการบ้านไปฉีก
แต่ที่หนักที่สุดคือขังเราไว้ในห้องเรียนกับเพื่อนผู้ชายในห้องชื่อปอนด์ ซึ่งตอนนั้นเรากลัวมาก แต่ปอนด์ก็ดี ไม่ทำอะไรเรา เขาบอกเราว่าสงสารที่เราโดนแกล้ง พอเพื่อนในห้องกับรุ่นพี่คุยกันว่าจะขังเราไว้ในห้องกับเพื่อนผู้ชาย เขาเลยอาสาเอง เรานั่งคุยกับปอนด์จนเพื่อนสนิทของปอนด์มาเปิดประตูให้ ปอนด์กับเอ็มคอยช่วยเราตลอดเวลาที่เราโดนแกล้ง แต่จะช่วยออกนอกหน้ามากก็ไม่ได้เพราะจะโดนเกลียดไปด้วย
หลังจากเราโดนขังในห้องครั้งนั้น เราตัดสินใจเล่าให้แม่ฟัง แม่เรามาคุยกับครูที่โรงเรียนทำให้เพื่อนในห้องโดนทำทัณฑ์บนทั้งห้อง เราเลยยิ่งโดนเกลียดมากไปอีก ตอนนั้นเรารู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนเลย เรารู้สึกว่าที่โรงเรียนนั่นไม่ใช่ที่ของเรา เดินไปทางไหนก็มีแต่คนไม่ชอบเรา ครูที่ปรึกษา พ่อแม่ ตายาย ไม่มีใครฟังเราทุกคนคิดว่าเราเรียกร้องความสนใจ เราเริ่มหนีเรียน โดดเรียน ไม่ไปโรงเรียน จนโดนเชิญผู้ปกครองเพราะเราหนีเรียนจนจะหมดสิทธิ์สอบ
วันนั้นเป็นครั้งแรกในการคุยระหว่างพ่อแม่ ครูที่ปรึกษา ครูปกครอง เป็นการคุยที่ทุกคนยอมฟังเราว่าทำไมเราถึงหนีเรียน เราบอกว่าเราไม่อยากมาโรงเรียน เราอึดอัด เราไม่มีเพื่อน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะที่ผ่านมาเราไม่มีเพื่อนสนิทอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เราไม่อยากมาโรงเรียนมากที่สุดคือการโดนแกล้ง การถูกเกลียด แบบไม่มีสาเหตุ เราเล่าทุกเรื่องที่เราโดนแกล้ง วันนั้นแม่เรานั่งร้องไห้โดยที่เขาไม่คิดมาก่อนว่าลูกจะโดนแกล้งมากขนาดนี้
ครูที่ปรึกษาเรียกหัวหน้าห้องกับเพื่อนในห้องมาอีก 2 คน ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หัวหน้าห้องยอมรับว่าเพื่อนในห้องแกล้งเราจริงจริง แต่สาเหตุมันเกิดจากเราที่ไม่ยอมคุย ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาเพื่อน ๆ ในห้อง เราพยายามคุย พยายามทำความรู้จัก แต่ ไม่มีใครคุยกับเราเลย เราก็เลยไม่คุย เราคิดว่าต่างคนต่างอยู่ได้ เราอยู่ได้โดยไม่มีเพื่อน สุดท้ายจบลงที่เราต้องปรับตัวเข้าหาเพื่อนในห้อง แล้วเพื่อนในห้องก็ต้องเลิกแกล้งเรา แต่เรื่องราวมันก็ไม่ได้ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ไว้มาต่อตอนที่ 2 น่ะค่ะ อาจะยาวนิดนึง แต่เราจะค่อย ๆ เล่า แล้วทุกคนจะรู้ว่าเราผ่านเรื่องพวกนี้มาได้ยังไง การบูลลี่ของเด็กสมัยนี้ดูเบาไปเลย
ขอบคุณที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ความรู้
เรื่องเล่า
ไลฟ์สไตล์
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย