22 มิ.ย. 2023 เวลา 00:09
ศัตรู..ศัตรูที่แท้จริงของคนเราก็คืออารมณ์ ..เรามีความยินดีในอารมณ์ ที่ให้ความอยาก ความทะเยอทะยาน ..อารมณ์พอใจไม่พอใจ ..อารมณ์ที่เราพากาย ..ไปยึดไปกระทำสิ่งนั่นสิ่งนี้ กายที่เคลื่อนที่ไป วิญญาณทั้งหก ก็ไปสัมผัสเรื่องนั้นเรื่องนี้
เมื่อมีการสัมผัสแล้ว มันก็มีฝุ่นผง เข้ามา ติดไปตามวิญญาณทั้งหก เหมือนเราคลุกบ่อโคลน ..เรากระโดดลงบ่อโคลน ..คือ .ตัวเราก็มีอารมณ์ คนอื่นก็มีอารมณ์ มีอารมณ์โลภโกรธหลง เหมือนเป็นไฟบรรลัยกัลป์ คุกรุ่นอยู่ภายในกาย มันเป็นไฟ ..ที่คอยลุกขึ้นมาแผดเผาเรือนกาย
.เช่น เวลาโกรธโมโห ..งอน..น้อยอกน้อยใจ ..สาระพัดอารมณ์เสียๆ ที่มันเกิดขึ้น มีความหงุดหงิด..ไม่ได้ดังใจ..พอมันเกิดขึ้น ..ความไม่สบายตัว ..ไม่สบายกายมันก็เกิดขึ้น .. หากร่างกายเจ็บป่วย ..ไปเจอะเจอคนมีอารมณ์โกรธ ..คนป่วยก็มีอารมณ์โกรธ ..มันก็ยิ่งกระพือโรคภัยให้เจ็บปวดมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น
..เรื่องราวของอารมณ์ มันมีอยู่ในกายกันทุกคน ..เมื่อมีการใช้กาย วาจา ใจไปตามอารมณ์ เราก็ไม่เคย ..นำมาสังเกตอารมณ์นึกคิดของเราเอง ไม่เคยทบทวน ใคร่ครวญ พิจารณาเรื่องราวของอารมณ์ แล้วสิ่งที่เราใช้
เช่น เราว่าเค้า ไม่ชอบใจ โมโหโกรธ ติเตียน ทั้งที่คนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร ให้เราเดือดร้อน ..นั่นก็คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก ตาเห็น หูได้ยิน มันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง แล้วทำไมต้องเกิดอารมณ์ แล่วไม่ให้มันเกิดขึ้นได้มั้ย ..เคยสังเกตตัวเองมั้ย แล้วคนเราจะไม่เป็นโรคแปลกๆ ซึมเศร้าไปได้อย่างไร ก็มันหมกมุ่นชอบอยู่อย่างนั้น ยึดถืออย่างนั่นเอง สารเคมีในสมองมันก็ไม่ปกติ ต้องไปกินยาปรับสมดุล ..แล้วมันหายจริงหรือ ในเมื่อไม่มีการปรับเปลี่ยนนิสัยอารมณ์ พฤติกรรมที่ใช้ นิสัยที่ยึดถือสิ่งนั้นสิ่งนี้ ..นั่นก็เวรกรรมทำเอง
..ยิ่งในยุคที่การสื่อสารดิจิตอล มันก็มีทั้งตัวดีตัวร้าย นำเสนอออกมา ..เราเห็นภาพเสียงที่ ตาเห็นหูได้ยิน บางก็เกิดไม่พอใจ ไม่ขอบ ..เราก็ไม่เคยสังเกตตัวเอง ในอารมณ์ที่เกิด มันเป็นไฟที่ไหล ไฟโลภโกรธหลง..ไหลกระพือเข้าไปสู่จิต มากมายก่ายกอง
มันก็เหมือนเราสะสมผงเศษผงธุลีไปในกายในจิต มีความยึดถือจดจำสิ่งนี้ดีสิ่งนี้ไม่ดี เกิดอุปทานอุปโลกน์ด้วยอารมณ์ของตัวเองมากมาย ก็เรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวตน เค้าว่า ยุคสมัย ..เค้าส่งไฟบรรลัยกัลป์ ไฟโลภโกรธหลง สู่กายสู่จิต ..ไม่มีหยุดหย่อนเลย ..ส่ง..ไปทำไม ..ก็เพื่อทำลายจิตใจให้ร้อนรุ่ม ..จมอยู่ในกองไฟบรรลัยกัลป์ นั่นเอง
เวลาร่างกายแข็งแรงดี เราก็สนุกสนานร่าเริงแจ่มใส พอกายมันเจ็บปวดเจ็บป่วย ..มันก็เริ่มหมดสนุก ..ยิ่งเคลื่อนไหวกายลำบาก ก็ทุกข์ทรมาน ..เราก็เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่พอกายเรามันป่วย มันใช่การไม่ได้ดังใจ สิ่งได้มาครบสามสิบสอง ค่อยๆจากเรือนกายนี้ไป ..ก็ยังไม่ดูว่า นี่เค้าเตือนแล้วน่ะ โลกนี้ไม่เที่ยง เวลาจะหยุดลมหายใจ ใกล้มาแล้ว สมควรจะทำอะไรให้เป็นคุณแก่จิตที่ต้องเดินทางออกจากกายที่จะหยุดทำงาน .จะมีใครบ้างคิดเรื่องราวเหล่านี้
เรื่องอารมณ์นั้น พอ..เราสะสมสิ่งเหล่านี้มากขึ้นๆ มันก็หนาแน่นมากขึ้น หนาแน่นด้วยอารมณ์ ทับถมกายทับถมจิตมากขึ้น ..จิตใจมันอ่อนล้า ซึม..ไปไม่ปลอดโปร่ง ..ไม่สามารถ..จะเอาฝุ่นผงออกไปได้ มีแต่สะสมไปเรื่อยๆ มองไม่เห็นว่า ..ตัวเองค่อยๆสะสมกรรมไปเรื่อย สะสมอารมณ์ไปเรื่อยในเรือรกาย ..แล้วร่างกาย ก็ค่อยแสดงความเจ็บความป่วยเกิดขึ้นมา สิ่งเรานี้จะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเราไม่เคย จับผิดอารมณ์ในกายในใจที่เป็นศัตรูของจิตเลย ..ก็อยู่กับกายอารมณ์ไปจนหมดลม ..ยินดีอยู่กับอารมณ์กรรมของตัวเอง หมดเวลาไปชาติหนึ่ง
เรื่องกาย อารมณ์ จิต เราก็ควรเรียนรู้จัก ..จับตนค้นตนในสิ่งที่จิตเราอาศัยอยู่ เรือนกายนี้ มีอะไร..อารมณ์เป็นศัตรูของจิต ..จริงๆหรือ.. จึงมีคำพูดว่า เราอยู่กับอารมณ์ ก็ไม่รู้จักอารมณ์ จริงหรือ..อยู่กับกรรม ก็ไม่รู้จักคำว่า กรรม จริงหรือ .ทุกคนก็มีปัญญา .กลั่นกรองกันได้ เพียงแต่จะใช้สติปัญญาของตนกลั่นกรอง .เหตุผล ..จับอารมณ์มันหงายขึ้นมาดู..แต่ต้องทำในขณะที่กายมันนิ่ง จิตมันนิ่งได้ ..เราจะได้กลั่นกรองได้ละเอีอดละออ ..ป้องกันอารมณ์ไม่ให้เค้ามาอุปโลกน์หลอกจิตของเราเอง
.. เมื่อไม่รู้จักกรรม..ทุกข์ก็คือ ..กรรม ..เราไม่คิดแก้ไขทุกข์ แก้ไขกรรม ที่เราจมอยู่กับอารมณ์ที่เป็นกรรม .บ้างหรือ.. นั่นก็ล้วนเป็นเรื่ิองของแต่ละคน .จะพิจารณาใคร่ครวญ ..อารมณ์ในกายในจิตของตนเอง .คำว่า โมฆะบุรุษ โมฆะสตรี เค้าหมายถึงอะไรกัน ..มันอยู่ที่ไหน โมฆะบุรุษโมฆะสตรี .ต้องถามใจตัวเอง ค้นหาที่กายวาจาใจ ตามอารมณ์กรรมการกระทำของตนเอง นำไปหาทุกข์ หรือสุข..ต้องตรวจสอบ ค้นหากันเอง .ไม่มีใครค้นหาได้ เพราะเราเป็นผู้อาศัยเรือนกายที่เกิดอารมณ์ขึ้น จะควบคุมอารมณ์ หยุดยั้ง ก็อยู่ที่จิตเราเองทั้งนั้น
โฆษณา