25 มิ.ย. 2023 เวลา 08:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ภาพลวงตาของ Passive Income

ณ ปัจจุบันเราจะได้ยินคำว่า Active Income กับ Passive Income อยู่บ่อยๆครั้ง และด้วยคำแนะนำที่ไม่ว่าจะเป็นกูรูหรือสื่อ Social Media ต่างๆ มักจะบอกไปในทางเดียวกันว่าให้ทุกคนสร้าง Passive Income เป็นของตัวเองให้ได้ ไม่งั้นมีโอกาสที่ยากมากที่จะร่ำรวยขึ้นมาได้
ในความเห็นของผม คำกล่าวนี้ถูกส่วนหนึ่ง แต่มักมีจุดที่ตัวผมเองมองว่ามีการละเลยไปบางส่วน บทความนี้จะมาอธิบายด้วยความเห็นของตัวผมเองครับ
ว่าด้วยภาพลวงตาของ "Passive Income"
เกริ่นคร่าวๆสำหรับความหมายของ 2 คำหลักที่จะพูดถึงในบทความนี้
[ Active Income ] : รายได้ที่ต้องใช้แรงและเวลาของตัวเองแลกมา เช่น การทำงานประจำ งาน Part-time กิจการคนเดียว( ที่ทำเองทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ไม่มี Leverage )
[ Passive Income ] : รายได้จากการเป็นเจ้าของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของระบบธุรกิจ ลิขสิทธิ์ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุน หรืออื่นๆที่สามารถสร้างรายได้ให้เราโดยไม่ต้องใช้แรงและเวลาเข้าแลก
จากนิยามแล้ว เห็นได้ชัดๆ ว่า Passive Income นั้นดีกว่า Active Income เป็นไหนๆ เพราะเราไม่ต้องเอาเวลาและแรงไปแลกเหมือน Active Income แต่ก็มีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ แต่สิ่งนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาและสร้าง Misconception ที่ผิดๆเกิดขึ้นได้ครับ
ณ ที่นี้ผมมองว่ามี 2 ประเด็นที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดของผู้คน
2
[ ประเด็นแรก ] : เมื่อทุกคนไป Focus กันแค่ที่ผลลัพธ์รายได้ Passive Income ว่ามีรายได้แบบสม่ำเสมอหรือมีเงินเข้ามาตลอด แต่หลายๆคนไม่ได้โฟกัสที่ "ที่มา" ของรายได้ว่าสร้างมาได้ยังไง
ซึ่งต้องยอมรับว่า การสร้าง Passive Income ยากกว่าการเอาเวลาแลกเงินอย่างเห็นได้ชัด เช่น
- การสร้างระบบธุรกิจขึ้นมานั้นมีความเสี่ยงที่มากเป็นปกติอยู่แล้ว และถึงสร้างมาได้ก็ต้องดูว่าเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนพอที่จะสร้าง Passive Income ได้หรือไม่
- การซื้อหุ้นปันผลและนอนรอรับปันผลไปชั่วชีวิต ฟังดูง่ายตอนรับเงิน แต่ยากมากในการวิเคราะห์หุ้นที่เราสามารถถือได้ยาวจริงๆ ต้องวิเคราะห์ทั้งธุรกิจ ราคาหุ้นว่ามี margin of safety ไหม จะกระจายความเสี่ยงยังไง และที่สำคัญก็คือ จะหาเงินก้อนใหญ่มาจากไหนที่จะสามารถสร้าาง passive income ได้
- การเป็นเสือนอนกินอสังหาริมทรัพย์ก็คล้ายๆกับตลาดหุ้นเช่นกัน แถมน่าจะแอบยากกว่า เพราะมีทั้งเรื่องภาษี ผู้เช่า การหาทำเลที่ข้อมูลมักจะมีน้อยและเป็นข้อมูลเชิง inside แต่ละพื้นที่
- ลิขสิทธิ์ก็เช่นกันครับ เพราะเป็นตลาดที่ผู้เล่นเยอะมาก เช่นตลาดการเขียนหนังสือ ซึ่งมีผู้ที่จะร่ำรวยได้จริงๆเพียงหยิบมือเดียว
[ ประเด็นที่สอง ] : ทุกคนไม่ได้โฟกัสไปที่ "งานแฝง" ของ Passive Income นั่นคือการดูแลหรือการบริหารจัดการ Passive Income ของตัวเอง
เพราะถ้าเกิดสินทรัพย์ที่เราเป็นเจ้าของหรือกำลังสร้าง Passive Income ของเราเกิดมีปัญหาอะไรขึ้น นั่นอาจหมายถึงรายได้ที่สูญหายไปเลยไม่ต่างจากกับการตกงานของ Active Income จึงอาจจะจำเป็นต้องมีการ Monitor ตรวจสอบดูแลเป็นระยะตลอดเวลา เช่น
- การตรวจสอบ Portfolio ของเราว่ามีการรับความเสี่ยงที่มากเกินไปหรือไม่ หุ้นบริษัทที่ถืออยู่เกิดปัญหาอะไรหรือไม่จนไม่จ่ายเงินปันผล
- ระบบธุรกิจของตัวเราเองเกิดปัญหาที่ทำให้ตัวเราเองนั้นต้องลงมือไปตรวจสอบดูแลด้วยตัวเอง
- ประเด็นหรือปัญหาสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลงานลิขสิทธิ์ของตัวเอง
จาก 2 ประเด็นที่กล่าวมาเป็นแค่ข้อ Concern ที่ผมตกผลึกมาได้จากการอ่านอะไรมาหลายๆอย่างที่เกียวกับ Active Income และ Passive Income ครับ
สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ แม้ผมจะเขียนในเชิงที่ดูเป็นแง่ร้าย แต่สำหรับผมแล้วก็ยังคิดว่า Passive Income นั้นดีกว่า Active Income เพราะตัวผมเองให้คุณค่ากับ "เวลา" มากกว่า "เงิน" และสนับสนุนทุกคนในการสร้าง Passive Income ให้กับตัวเองเช่นกัน
ทั้งนี้ที่เขียนก็เพื่อคอยเป็นการเตือนใจตัวเองในการอ่านและซึมซับข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อมีวิจารณญาณเป็นของตัวเอง มีสติ ไม่โลภ และไม่โดนหลอกลวงจากข้อมูลที่จงใจหลอกตาเรานั่นเองครับ
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา