26 มิ.ย. 2023 เวลา 13:22 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] PLOY - Valentina Ploy

พลอยเม็ดงาม
-ถ้านึกถึง “ห้องน้ำ” ทุกคนคิดว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่สามารถอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่สะสมเชื้อโรคจากการถ่ายหนักหรือถ่ายเบา แม้กระทั่งในบ้านเราก็คงไม่มีกิจอะไรนอกจากเล่นมือถือหรืออ่านหนังสือระหว่างระบายถ่ายท้อง แต่ในอีกมุมนึง ห้องน้ำคือห้องปลดทุกข์ที่ปลดเปลื้องจากความเหนื่อยล้า ความป่วยไข้ อ้วกความสำมะเลเทเมา ไปจนถึงการระบายความสุขและความเศร้าโศกเสียใจ
-การที่เริ่มเกริ่นด้วยห้องน้ำก็ไม่ใช่อะไร จุดเริ่มต้นของ พลอย–วาเลนติน่า จาร์ดุลโล ศิลปินสาวลูกครึ่งไทย-อิตาเลี่ยนคนนี้เริ่มที่ “ห้องน้ำ” นั่นเอง ถ้าสังเกตบนปกเดบิวท์อัลบั้ม เธอนอนลงบน bathtub ภาพโปรโมทอัลบั้มก็เป็นโลเคชั่นห้องน้ำบ้านๆ เพื่อเป็นการคารวะพื้นที่ส่วนตัวที่ทำให้เธอคิดเพลงได้ออกไปจนถึงการเป็นสตูดิโอส่วนตัวในการฝึกร้อง-เล่นที่เธอมองว่า personal ที่สุดและได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนกลับมาเป็น self-reflection เป็นการเข้าใจความรู้สึกตัวเองได้ดีที่สุดด้วย
-ตอนที่ผมได้สัมภาษณ์เธอเมื่อปีที่แล้ว ผมถามด้วยความแปลกใจว่า ปกซิงเกิ้ลแรก Bla Bli Blu ทำไมเธอเลือกที่จะถ่ายในห้องน้ำสีชมพู คำตอบที่ได้เป็นสิ่งที่ผมถอดความในข้างต้นเนี่ยแหละ ซึ่งผมกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นอะไรที่ปลายจมูกจริงๆ ทุกคนต้องมีการจับฝักบัวร้องเพลงในห้องน้ำบ้าง เป็นการผูกพันโดยไม่รู้ตัว และเธอเลือกที่จะตั้งชื่อเดบิวท์อัลบั้มง่ายๆ ไม่ต้องครีเอท เอาจาก Thai Nickname เธอแหละ ซึ่งก็ทำให้ค้นพบความ hidden gem ของจริง ไม่เน้นเปล่งประกายอย่างหวือหวา แต่งดงามและลึกซึ้งทางความคิดพอสมควร
สามารถดูสัมภาษณ์ Valentina Ploy ย้อนหลังได้ที่นี่ >>> https://fb.watch/llgeI8UBvr/?mibextid=v7YzmG
-ภายใต้ความเรียบง่าย ไม่หวือหวา กลับทำให้ผมไม่รู้สึกเฉยชาหรือรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย ด้วยคอนเทนท์ coming of age ที่ไต่ระดับความสุขไปจนถึงโศกเศร้าได้อย่างเป็นลำดับความ ประหนึ่งเราได้เห็นการเติบโตของสาวรอยยิ้มสวยที่มักจะมีมุมมอง positive thinking มาแชร์อยู่เรื่อยๆในโซเชี่ยล แต่ก็ไม่เสมอไปเมื่อได้มาฟังผลงานชุดแรกที่นำเสนอคอนเทนท์แห่งความสุขและโศกอย่างละครึ่ง แทนที่เธอจะถนัดในการมอบความสุขรัวๆ ที่ไหนได้พาร์ท emotional ก็แอบขมขื่นเอาเรื่องอยู่
-เปิดด้วยโหมดเพลงรักเพียวๆก็มี Bla Bli Blu ที่เธอตั้งใจรังสรรค์ศัพท์บอกรักเฉพาะ ซิงเกิ้ลแรกที่เป็นเหมือน fan service ที่เป็นน้ำจิ้มจริงๆ Again and Always เป็นอคลูสติคป็อปที่โรแมนติกน่ารักชิวล์ๆ You’ve Always Been There เริ่มแตะความ emotional ที่เต็มไปด้วยความคิดถึงคุณแม่ของพลอยที่เป็นคนไทยซึ่งก็มีบางเวลาที่ต้องไกลห่าง
-Nobody’s Perfect เป็นอิเล็กทรอนิกส์ป็อปที่ให้จังหวะ upbeat ฮึกเหิมที่สุด เป็นการมอบพลังบวกให้อย่าท้อใจกับความสัมพันธ์ที่ต่างคนก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสียทั้งหมด ในขณะที่ Berlin ที่มาด้วยจังหวะบีททุ้มๆฟังดูกุ๊กกิ๊ก แต่แอบ contrast กับความคิดความอ่านที่เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ อ่านใจคนรักไม่ถูกเหมือนมีกำแพงกั้นบางอย่างขึ้นมา และน่าจะเป็นความพยายามที่ไม่ได้ผลซักเท่าไหร่ ปล่อยให้เราทุบกำแพงอยู่คนเดียวเสียมากกว่า
-พอเธอได้ทุบกำแพงเบอร์ลินปุ๊บก็เข้าสู่โหมดแห่งความ emotional ขมขื่นเลย ซึ่งผมอินพาร์ทครึ่งหลังนี้มากๆ อาจจะเป็นเพราะความขี้เหงาและเจอความผิดหวังส่วนตัวด้วย ผมเลย relate ได้โดยอัตโนมัติ Shoreditch Road เป็นป็อปคนเมืองเหงาๆ มีอิทธิพลความเป็น Taylor Swifts สูงมาก ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่เธอได้ไปลอนดอนแล้วอยู่ดีๆก็มีความทรงจำรักครั้งเก่าแว๊บเข้ามา เลยทำให้ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ต่อให้รีบสานสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า กลับไม่ช่วยลืมเลือนคนเก่าได้เลย
-Camera Roll ที่มาแบบอคลูสติคเรียบๆ แต่แอบบาดลึกด้วยความรู้สึกเสียดายของคนในภาพถ่ายที่กลายเป็นอดีต ถึงจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยด้วยม้วนฟิล์มหรือโปรแกรมในไอโฟนก็ตาม แต่ความเป็นจริงมันไม่เหมือนเดิมเหมือนในรูปนั้นแล้ว
-I’m OK ชื่อเพลงดูไม่มีอะไรมาก แต่โคตรจริงในแง่ของคนตรอมใจที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ มันเลยทำให้เพลงเหงาๆอย่าง I Miss My Friends ที่ฟีทกับ Phum Viphurit กลายเป็นเพลงเหงาโหมดอบอุ่นในทันที เมื่อเทียบกับ 3 เพลงก่อนหน้านี้ที่ hurtful อาลัยอาวรณ์เหลือเกิน สำหรับเพลง I’m OK นั้นพลอยระบุว่าเป็นเพลงที่ personal ที่สุดและทำใจลำบากในการจะร่ำร้องออกไป
-To Myself เป็นเพลง self-love ที่ฟังยังไงก็แอบเหงาเชิงน้อยใจมากกว่าเสริมแรงฮึกเหิม ในเมื่อให้เธอไปทุกสิ่งอย่างแล้ว ถึงเวลาที่จะมอบกลับคืนให้ตัวเองได้แล้วนะ ปิดท้ายด้วย Left Unsaid ที่เป็นการทิ้งท้ายแบบ wrap up ความเศร้าทั้งหมดทั้งมวล เจ็บที่สุดคือการบอกลาโดยไม่บอกกล่าวกันซักคำ เหมือนสำนวน silence is violent ถ้าเพลง To Myself คือเรียนรู้ที่จะเจ็บเพื่อรักตัวเอง แต่สำหรับ Left Unsaid มันเป็นความเหงาที่ต้องรับมือกับความสูญเสีย โดยที่เวลาผ่านไปรวดเร็วโดยเสมอ
Silence can be louder sometimes
And the echo
Can last for lifetimes
Oh what a crime
To only realize
When we're running out of time
Left Unsaid
-เป็นการเปิดตัวที่เรียบง่าย อบอุ่น แต่ก็ไม่ได้เป็น heart warming ที่ให้มิติเดียวจนแบนราบซะทีเดียว สกิลการถ่ายทอด emotional ของพลอยทำได้เก่งขึ้น การฮัมลากหางเสียงต่างๆนาๆกลับช่วยเพิ่มแรงขยี้ดราม่าได้อย่างธรรมชาติโดยที่ไม่เน้นอาศัยลูกเล่นดนตรี เลยทำให้ความรู้สึกสุขและเศร้าไม่ถูกกลบด้วยซาวนด์ภายนอกจนเกินไป
-อีกอย่างเรื่องของการใช้แค่มนุษย์ถ่ายทอดในบริบทของอคลูสติคนั้นเป็นการยากมากที่ทำให้คนฟังคล้อยตามได้โดยไม่อาศัยตัวช่วยซาวนด์สังเคราะห์หรือออโต้จูน(ที่ใครๆก็ใช้กัน) แต่สำหรับสาวพลอยกลับรู้มุมขยี้ได้ดีพอสมควร ไม่เน้นความฟูมฟาย ขยี้แค่บางๆก็ทำให้ซึมได้โดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน
-นี่คือ coming of age บทแรกที่ซื้อใจผมได้ด้วยแง่มุม realistic ของสาวไทย-อิตาเลี่ยนที่ชื่นชอบการเขียนไดอารี่เป็นกิจวัตรประจำวัน มักจะแจก quote และมุมมองชีวิตอยู่ร่ำไป โดยที่ไม่ลืมมอบความจริงเพื่อให้ได้ขบคิดและเรียนรู้ที่จะปรับตัวไปกับความขมขื่นในโลกแห่งความจริง
แค่อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา