ศัพท์นี้ปรากฏในหนังสือ Soft Power: the Means to Success in World Politics เขียนโดย “โยเซฟ ไนย์ จูเนียร์ (Joseph Samuel Nye Jr.)” นักรัฐศาสตร์สำนักอเมริกาชื่อดัง (เพราะหนังสือเล่มนี้) ในปี 2004 โดยไนย์ได้อธิบายซอฟต์เพาเวอร์ไว้ในหน้าที่ 5 ความว่า
อีกคำถามตามมาที่น่าสนใจคือ ในปัจจุบันมีการใช้คำว่าซอฟต์เพาเวอร์กันอย่างดาษดื่น เรียกได้ว่าอะไร ๆ ก็จับยัดลงเป็นซอฟต์เพาเวอร์ได้ทั้งนั้น ตรงนี้แม้แต่ไนย์เองก็ยังเอือมระอา ถึงขนาดเขียนงานที่ชื่อว่า The Future of Power ออกมาเพื่อหนุนเสริมทฤษฎีของตน ในปี 2011 โดยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
หรือก็คือ ไทยนั้นเป็นแบบ “Critical Theory without Criticism” คือรับมาแล้วปรับแปรมาใช้เลยโดยไม่ได้นำมาคิดใคร่ครวญ ตกผลึก หรือวิพากษ์ตามขนบที่ทำกัน โดยธเนศได้ชี้ให้เห็นกระบวนการย่อยวาทกรรมในไทยด้วยกระบวนการดังนี้
ประกอบกับ Critical Theory without Criticism ที่กล่าวไปในข้างต้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทีนี้การที่จะปรับความเข้าใจเรื่องซอฟต์เพาเวอร์จึงเกิดยากขึ้นเป็นเงาตามตัว
หรือที่ เด็บบี้ ลาร์สัน (Deborah Welch Larson) เสนอไว้ในหนังสือ The Origins of Containment: A Psychological Explanation คือถ้าอยากให้เหตุผลแบบ A ไป B ได้อย่างประจักษ์แจ้งจริง ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง “ลงมือค้นเอกสารในชั้นจดหมายเหตุ (archival research)” อย่างจริงจัง
หรืออาจจะไปให้สุดด้วยการเสนอว่า “ไม่ต้องไปใช้เพราะไม่เคยมีอยู่จริงตั้งแต่แรก” อย่างที่ ชานีซ แมตแทร์ง (Janice-Bially Mattern) เสนอไว้ในบทความ Why ‘Soft Power’ Isn’t So Soft: Representational Force and the Sociolinguistic Construction of Attraction in World Politics ความว่า
“รัฐในเวทีการเมืองโลกที่มีลักษณะเป็นอนาธิปไตยจะไม่สามารถสร้างความดึงดูดใจได้อย่างสมบูรณ์ … ความดึงดูดใจไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง เพราะถ้าหากความดึงดูดใจสามารถเกิดขึ้นได้เอง ไนย์คงไม่จำเป็นจะต้องคิดค้นแนวคิด soft power เพราะคงจะมีสิ่งที่เรียกว่าความดึงดูดใจตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กับที่เพื่อดึงดูดตัวแสดงอื่น ๆ ไปแล้ว”