26 มิ.ย. 2023 เวลา 15:21 • การตลาด

ทำไม Push & Pull Strategy

ถึงเป็นกลยุทธ์ที่ต้องใช้คู่กัน
หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า Push & Pull Strategy ซึ่งมักจะได้ยินกันบ่อยๆ ในการทำตลาดสินค้าแต่ละตัว ที่ต้องผสมผสานทั้ง Push และ Pull ให้ได้อย่างลงตัว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการสร้างยอดขายในแต่ละครั้งที่ทำ
ซึ่งหลายครั้ง Push และ Pull Strategy กลายเป็นกลยุทธ์ที่ต้องทำคู่กันแบบแยกไม่ออก เรียกได้ว่า มี Push ก็ต้องมี Pull ให้เห็นเสมอ
เมื่อมองมาที่ความหมายของ Push Strategy พบว่า มันคือการใช้วิธีการผลักดันให้สินค้าเข้าไปหาผู้บริโภค โดยจะทำผ่าน “คนกลาง” ที่เป็นร้านค้า ตัวแทนจำหน่าย หรือพนักงานขาย รวมถึงการออกงานแสดงสินค้าก็ได้ การผลักดันนี้ อาจจะมีการให้รางวัลการขายแก่ร้านค้า ในกรณีที่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย
ขณะเดียวกัน การทำ Push Strategy อาจจะมีเป้าหมายอยู่ที่การขยายฐานหรือ Penetrate ให้ตลาดสินค้านั้น มีการเติบโตมากขึ้น
โดยมองถึงการผลักดันให้สินค้าเข้าถึงการใช้ของกลุ่มผู้ใช้หน้าใหม่ๆ อย่างเมื่อในอดีต แชมพูแพนทีน ของค่ายพีแอนด์จี ที่วางตัวเองเป็นแชมพูพรีเมียมในช่วงของการเข้าตลาดใหม่ๆ ก็เลือกใช้วิธีนี้
ทำผ่านการออกสินค้าไซส์เล็กขนาด 90 มล. พร้อมผลักดันเข้าร้านค้าโชห่วย โดยใช้รูปแบบของกลยุทธ์การปรับราคาสินค้าให้เหลือเพียงขวดละ 20 บาท เพื่อทำให้ลูกค้าสามารถควักซื้อได้ง่าย
ผลที่ตามมาหลังจากนั้น ทำให้สินค้าประเภทแชมพูในไซส์ขวด 20 บาท กลายเป็นไซส์หลักในช่องทางร้านโขห่วยที่เข้ามาแทนที่สินค้าในไซส์แบบซองที่เคยเป็นสินค้าหลักของตลาดมาก่อน
การใช้กลยุทธ์ Push Strategy จะเข้ามาเป็นตัวช่วยทำให้การใช้ Pull Strategy มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในความหมายของ Pull Strategy ก็คือ การดึงให้ลูกค้าสนใจ หรือวิ่งเข้ามาหาสินค้าของเรา อาจจะทำผ่านทั้งการโฆษณา หรือการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง
รวมถึงการทำรายการส่งเสริมการขาย และกลยุทธ์เรื่องราคา เพื่อดึงให้ลูกค้าเข้ามาหาสินค้าของเรา ซึ่งทั้ง Push & Pull Strategy ต้องทำให้สอดคล้อง และไปในทิศทางเดียวกันในแต่ละแคมเปญ โดยเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะได้ผลไม่เต็มที่นัก
2
อ่านเพิ่มเติม https://brandage.com/article/35587
#BrandAgeOnline #Strategy #กลยุทธ์ #Push #Pull
โฆษณา