29 มิ.ย. 2023 เวลา 21:36 • การศึกษา
วัดวังหิน ต.พลายชุมพล พิษณุโลก

ทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดี ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ (ตอบคำถาม ๒/๒)

“ทีนี้เวลาเข้าไปเห็น
พอรู้ แล้วก็ไม่เห็นมันวางอะไร
พอรู้ แล้วก็ไม่เห็นมันดับอะไรสักอย่าง
นั่นเป็นเพราะว่าอะไร
เป็นเพราะว่าอุปทานเขาทำงานร่วมกับจิตอยู่ในขณะนั้น มันเข้าไปยึดถืออารมณ์ไว้ พอรู้แล้วก็ไม่ปล่อยไปไหนเลย แล้วก็ปรุงแต่งเป็นความคิดต่อ เป็นความฟุ้งซ่านต่อ เยอะแยะไปหมด เป็นของมันอยู่อย่างนั้น ทีนี้พอเราเข้าใจมัน สังเกตดูมัน เห็นมัน ทำความเข้าใจกับมันได้แล้ว ต่อไปมันจะไม่ยึดถือเอาไว้ ไม่มีเรารู้ ไม่มีเราเห็น ไม่มีเราได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส อะไรทั้งนั้น
มีแต่ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการที่จิตเข้าไปสังเกตดูอารมณ์นั้น เห็นแล้วก็วางลงไปไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำไป บางที รู้ว่ากระทบแล้วก็ดับ กระทบแล้วก็ดับอยู่แค่นั้น ไอ้ความเข้าใจที่บอกว่าละความยินดียินร้ายในโลกเสียได้ ถ้าว่าตามพระสูตรจริงๆ คือละความยินดียินร้ายในกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าจะบอกว่าคือการละผัสสะก็ใช่ เพราะไอ้กาย เวทนา จิต ธรรมนั่นแหละ ที่มันกระทบกันอยู่ ไม่มีเรื่องอื่น พอเรารู้เท่าทันมันก็กลายเป็นผัสสะบริสุทธิ์ขึ้นมา กระทบแล้วก็วาง กระทบแล้วก็วาง ถึงไม่วางมันก็วางของมันเองอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
กระทบแล้วมันก็ดับไป กระทบแล้วมันก็ดับไป
เพียงแต่ว่าเราไม่เห็นความเกิดดับของมันแค่นั้นเอง
เนี่ยสังเกต จิตจะจำอารมณ์นี้ได้แม่นยำเอง ตัว ‘ถิรสัญญา’ ทำงาน
จำอารมณ์ได้แม่นยำเอง ว่าอ๋ออย่างนี้ก็มีอยู่
อะไรที่ไม่เคยเจอมันก็จะเจอไปเรื่อย ๆ จะเห็นความละเอียดลออของตัวสติสัมปชัญญะที่เข้าไปสังเกตเห็นอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นเอง
ค่อยๆ ไปอย่างนี้แหละ แล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาเอง”
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์มหาวิเชียร ชินวํโส เจ้าอาวาสวัดวังหิน พิษณุโลก
โฆษณา