2 ก.ค. 2023 เวลา 04:16 • หนังสือ

✴️ บทที่ 5️⃣ เป็นอิสระด้วยการละวางภายใน ✴️ (ตอนที่ 25)

🍀 ข้ามพ้นโลกแห่งผัสสะ เข้าถึงบรมสุขอันไม่เสื่อมสลาย 🍀
⚜️ โศลกที่ 2️⃣7️⃣➖2️⃣8️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 2) หน้า 617–622
◾รับรู้ว่ากาย พลังชีวิต และจิต เป็นพลังสั่นสะเทือนของพระวาทะแห่งพระเจ้า◾
ความรู้นี้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อจะได้เข้าใจว่า แท้จริงแล้วร่างกาย พลังชีวิต และจิต ซึ่งเป็น สิ่งห่อหุ้มวิญญาณนั้นไม่เป็นอะไรมากไปกว่า #พระดำริของพระเจ้าที่มีแรงสั่นสะเทือนแตกต่างกันไป เมื่อโยคีปฏิบัติ กริยาโยคะ ท่านใช้หลักวิทยาศาสตร์ ถอนจิตจากอินทรีย์หยาบ และหยั่งรู้ว่าจิตและพลังชีวิต (ปราณหรือแสงจักรวาล) เป็นมูลฐานของสสารทั้งหลาย กริยาโยคี ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนจิตและการคิดจากการเห็นกายเนื้อ ไปรับรู้ว่าร่างกายคือแสงกับจิตสำนึกที่สูงไปกว่าการรับรู้ลมหายใจหยาบ
ประสบการณ์ภายในก็เช่นเดียวกับจิตใต้สํานึกยามหลับ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตที่ยึดลมหายใจหายไป กริยาโยคีไม่จําเป็นหรือไม่ปรารถนาจะกลั้นลมหายใจไว้ในปอด แต่จิตท่านสงบมากจนท่านรู้สึกห่างจากลมหายใจ การปฏิบัติกริยาโยคะทําให้ท่านสามารถดำรงภาวะไร้การหายใจไว้ได้ตามที่ตั้งใจ ดำรงชีวิตในกายอยู่ด้วยกระแสเย็นและกระแสอุ่นที่ไหลผ่านไขสันหลัง และที่หยาดมาจากวิญญาณจักษุ
แบตเตอรี่เปียกจะเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ได้ด้วยการเติมน้ำกลั่น★ แต่ถ้าจะเปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่แห้ง ก็ไม่ต้องใช้น้ำกลั่น มันได้พลังจากแหล่งพลังงานของตนเองที่ได้จากการชาร์ทไฟเข้าไป กริยาโยคะ ก็เช่นเดียวกัน ช่วยแบตเตอรี่กาย (ซึ่งอาศัยพลังชีวิตจักรวาล ที่ผ่านเข้าสู่กายทางท้ายสมอง และต้องอาศัยออกซิเจน แสงแดด ของเหลวและของแข็ง) ให้เปลี่ยนไปอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตจักรวาลที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย และนำไปเก็บไว้ที่อ่างเก็บพลังชีวิตในสมองและจักระไขสันหลัง
★ท่านปรมหังสา โยคานันทะ ใช้ความเปรียบนี้ในยุคสมัยที่แบตเตอรี่ต้องเติมน้ำกลั่นเข้าไปแทนที่น้ำกลั่นที่ระเหยไป แต่ในระยะหลัง ๆ มานี้มีการพัฒนาแบตเตอรี่แบบปิด ซึ่งทุกวันนี้ใช้กันทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
คัมภีร์ไบเบิลได้ยืนยันว่าการใช้กริยาโยคะนั้นเป็นสิ่งจริง กายแบตเตอรี่ของมนุษย์สามารถอยู่ได้ด้วยพระวาทะ หรือกระแสสั่นสะเทือนจากพระเจ้า ชีวิตในร่างกายได้รับการบำรุงโดยตรงจากปราณจักรวาลที่ไหลเข้ามาทางท้ายสมอง
แต่มายาทำให้มนุษย์เชื่อว่า เขามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดอาหารและสิ่งภายนอกอื่น ๆ เขาจึงหลงไปพึ่งพาแหล่งพลังงานหยาบ ได้พลังจากออกซิเจน แสงแดด ของแข็ง และ ของเหลว มนุษย์สร้างนิสัยไม่ดีที่ทำให้รู้สึกว่าเขามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดพลังงานที่ได้จากสสาร นี่คือเหตุผลว่า ทําไมจิตที่ตื่นกลัวของมนุษย์ทำให้พลังชีวิตหนีหายไป เพราะเขากังวลเรื่องที่ร่างกายขาดออกซิเจน แสงแดด ของแข็งและของเหลว
.
◾การรำงับกระแสปราณและอปาน: อานันตภาวะไร้ลมหายใจ◾
เมื่อผู้ภักดีเชื่อว่ากริยาโยคะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยแหล่งพลังจักรวาลภายใน เขารู้แจ้งว่าร่างกายเป็นคลื่นในมหาสมุทรชีวิตจักรวาล ด้วยเทคนิคพิเศษของกริยาโยคะ ผู้ภักดีที่สงบล้ำ ได้รับพลังบริสุทธิ์จากออกซิเจนในลมหายใจกริยา และด้วยพลังจักรวาลที่ไหลเข้ามาทางท้ายสมองมากขึ้น จึงหายใจน้อยลงไปเรื่อย ๆ
เมื่อปฏิบัติกริยาโยคะลึกมากขึ้น ชีวิตในร่างกายซึ่งปกติต้องอาศัยพลังชีวิตที่ได้จากแหล่งหยาบภายนอก ก็เริ่มที่จะอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตจักรวาลเท่านั้น แล้วการหายใจ (หายใจเข้า และ หายใจออก) ก็จะหยุด สามล้านล้านเซลล์ในร่างกายก็จะเหมือนแบตเตอรี่แห้งไม่ต้องพึ่งสิ่งใด นอกจาก “กระแสไฟฟ้า” ภายใน ที่ได้รับการเพิ่มพลังจากแหล่งพลังชีวิตจักรวาล
วิธีนี้ทําให้เซลล์กายคงที่อยู่ได้ ไม่เติบโต ไม่เสื่อม เซลล์เหล่านี้ได้รับการหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตชีวาจากแหล่งผลิตพลังชีวิตในสมองและในไขสันหลังโดยตรง เมื่อเซลล์หยุดการเติบโต เซลล์เหล่านี้ก็ไม่ต้องอาศัยพลังชีวิตจากออกซิเจน เมื่อร่างกายไม่มีความเสื่อม เซลล์ทั้งหลายก็ไม่ปล่อยของเสียเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่จําเป็นต้องหายใจออก เพื่อขับคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อหัวใจไม่ต้องสูบฉีดเลือด ที่มีทั้งออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เข้าและออกจากปอด หัวใจก็สงบ
ลมหายใจกับการหายใจเป็นนิสัยของพลังชีวิต กริยาโยคะฝึกพลังชีวิตเสียใหม่ ให้มันจำว่า มันอยู่ได้ด้วยแหล่งพลังจักรวาลเท่านั้น ปราณายามะ หรือ กริยาโยคะ จึงหมายถึงสิ่งเดียวกัน คือการใช้จิตควบคุมพลังชีวิตในร่างกาย ไม่ให้มันพึ่งพาออกซิเจน แสงแดด ของแข็ง และของเหลว แต่อยู่ได้ด้วยแหล่งชีวิตจักรวาลภายใน
กริยาโยคะ ปราณายามะ ถอนพลังชีวิตจากการทำงานของหัวใจและของเซลล์กาย ด้วยการทําให้กิจกรรมเหล่านั้นหมดความจําเป็น แล้วรวมปราณกายกับพลังชีวิตจักรวาล จึงเห็นกันว่าการที่มนุษย์เป็นทาสลมหายใจนั้นเป็นมายา เมื่อโยคีที่เชี่ยวชาญปราณายามะ สามารถสลัดพลังชีวิตพ้นจากแอกของออกซิเจน หรือสิ่งอื่นๆ ท่านทำให้พลังชีวิตนั้นเป็นอมตะด้วยการรวมกับชีวิตจักรวาล
คีตาโศลกนี้เน้นให้เห็นว่าจำเป็นต้องทำให้กระแสปราณและอปาน “นิ่ง” ซึ่งทําได้ด้วยการปฏิบัติกริยาโยคะ ซึ่งเพิ่มพลังให้กับเซลล์กายด้วยชีวิตจักรวาลภายใน ทำให้การหายใจเข้าหายใจออกนิ่งไปได้ หมายความว่า ทำให้มันหยุด เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่จําเป็น
ชีวิต จิต และพุทธิปัญญากระฉับกระเฉงอยู่ในร่างกายและในอินทรีย์ เมื่อกระแสชีวิตไหลออกผ่านประสาทนำเข้าและประสาทนำออก อันเป็นผลจากการไหลลงของกระแสอปาน กระแสไหลออกนี้ “ไม่นิ่ง” มันฟุ้งซ่านและผิดพลาดไปตามการกระทบของอารมณ์ที่เข้า-ออกศูนย์ประสาททั้งหลาย เป็นแรงกระตุ้นที่เปลี่ยนไปมาทั้งขณะหลับและตื่น
แต่เมื่อกระแสชีวิตถูกถอนเข้าไปสู่ไขสันหลังและสมอง การนำเข้าสู่ภายในนี้จะทำให้พลังชีวิตเป็นอิสระจากการปลุกเร้าของผัสสารมณ์ กระแสปราณ และอปาน ที่ไหลในไขสันหลังจึงสงบนิ่ง ทำให้เกิดพลังอย่างมหาศาลและเป็นสุขอย่างยิ่ง
.
◾รวมชีวิตและจิตเข้ากับแสงจักรวาลและจิตจักรวาล◾
ยิ่งทำสมาธิลึกลงไป กระแสอปาน ที่ไหลลงข้างล่าง กับกระแสปราณ ที่ไหลขึ้นบน จะรวมกันเป็นกระแสไหลขึ้นกระแสเดียว กลับไปสู่แหล่งเกิดของมันในสมองใหญ่ ลมหายใจนิ่ง ชีวิตนิ่ง ผัสสารมณ์และความคิดทั้งหลายสลายไป แสงทิพย์แห่งชีวิตและจิตที่ผู้ภักดีหยั่งรู้ในจักระสมองร่วมไขสันหลังรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจักรวาลและจิตจักรวาล
การได้อำนาจหยั่งรู้นี้ ทำให้โยคีสามารถถอนจิตจากการผูกโยงกับกาย พ้นจากการเป็นทาสของความอยาก (การที่กายยึดติดและอยากเสวยสุขผัสสะ) ความกลัว (คิดไปว่าสิ่งที่อยากจะไม่ได้รับการตอบสนอง) และความโกรธ (ปฏิกิริยาทางอารมณ์เมื่อมีอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ได้สิ่งที่อยาก) อำนาจที่ทิ่มแทงทั้งสามนี้ เป็นศัตรูร้ายต่อความเกษมแห่งวิญญาณ เป็นสิ่งที่ผู้ภักดีที่หวังเข้าถึงพระเจ้าต้องทำลาย
พลังชีวิตเป็นทั้งตัวเชื่อมและตัวตัดความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสสารกับบรมวิญญาณ ระหว่างมนินทรีย์กับจิตวิญญาณ คนทั่วไปไม่รู้วิธีที่จะได้ปราณกายมาโดยตรง พลังชีวิตจึงทำงานไปอย่างอัตโนมัติ เพื่อทำให้กายกับอินทรีย์มีชีวิต โดยมีลมหายใจเป็นตัวยึดความสนใจของมนุษย์ให้ผูกอยู่กับการดำรงอยู่ทาง กายภาพเพียงอย่างเดียว
แต่เมื่อใช้กริยาโยคะ ผู้ภักดีเรียนรู้ที่จะดึงพลังชีวิตจากลมหายใจ และรู้วิธีควบคุมปราณ เมื่อควบคุมปราณได้ ก็สามารถกำหนดจิตเปลี่ยนพลังชีวิตจากทางเดินของอินทรีย์ทั้งห้า นำกลับเข้าสู่ภายใน เป็นการหันเหความสนใจของวิญญาณจากการรับรู้ปรากฏการณ์ทางวัตถุ ไปสู่การรับรู้บรมวิญญาณ
ด้วยการก้าวไปตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้ โยคีก้าวออกจากอินทรีย์ไม่ใช่แค่ด้วยการคิดเอา ท่านสามารถตัด จิต ความคิด และ ความสนใจจากร่างกาย ด้วยการตัดพลังชีวิตจากอินทรีย์ทั้งห้า ท่านเรียนรู้หลักวิทยาศาสตร์ที่จะผันกระแสชีวิตจากอินทรีย์ทั้งห้าไปสู่ไขสันหลังและสมอง แล้วรวมจิตของท่านกับบรมสุขแห่งการหยั่งรู้จิตวิญญาณในจักระทั้งเจ็ด
เมื่อท่านสามารถอบอาบอยู่กับทิพยสุขแม้ขณะทำการงาน ท่านจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความอยากเสวยสุขจากวัตถุภายนอก เมื่อเอิบอิ่มอยู่กับความสงบแห่งการหยั่งรู้ตน ท่านไม่หวั่นไหวไปกับความกลัว ความโกรธที่พุ่งขึ้นมาเมื่อสิ่งอยากได้ไม่ได้รับการตอบสนอง ท่านพบว่าวิญญาณของท่านไม่ผูกอยู่กับสสารอีกต่อไป หากแต่รวมกับความเกษมสุขแห่งบรมวิญญาณตลอดไปนิรันดร์
โยคีเช่นนี้ ผู้ใช้หลักวิทยาศาสตร์ถอนจิตและพุทธิปัญญาจากอินทรีย์ ได้เห็นบรมวิญญาณด้วยตาทิพย์ที่ไม่มีวันกระพริบ นี่แหละคือมุนีที่แท้ คนทั่วไปมองภาพยนตร์ในเทศะอันจำกัด แต่มุนีหรือโยคีผู้สำเร็จแล้ว ผู้สามารถเห็นทุกสิ่งด้วยตาทิพย์ ย่อมเห็นแสงแห่งการรังสรรค์ที่ค้ำจุนภาพยนตร์จักรวาลทั้งจักรวาลกายภาพ จักรวาลทิพย์ และจักรวาลเหตุ
.
◾เส้นทางสากลสู่การหลุดพ้น : ขึ้นไปทางไขสันหลัง◾
วิธีการที่จะทำให้วิญญาณหลุดพ้นมีหลายวิธี แต่การหลุดพ้นแท้ที่จริงด้วยการขึ้นไปทางไขสันหลังนั้นเป็นวิธีสากล ไม่ว่าด้วยการสวดภาวนาด้วยศรัทธา (ภักตะ) หรือด้วยปัญญา (ญาณ) หรือด้วยการกระทำอย่างไม่ยึดถือตัวตน (กรรมโยคี) เหล่านี้ทำให้จิตบริสุทธิ์ และตั้งมั่นขึ้นสู่พระเจ้าโดยผ่านช่องทางไขสันหลัง ช่องทางที่มันเคยลงมาสู่เนื้อหนังนั่นเอง
หลักการกริยาโยคะจึงไม่ใช่สูตรพิธีกรรมของนิกายหนึ่งนิกายใด แต่เป็นศาสตร์ที่ปัจเจกบุคคลสามารถนำไปปฏิบัติ ที่ทำให้เขารู้ได้ว่า วิญญาณลงมาสู่กายเขาอย่างไร และมันยึดโยงกับอินทรีย์อย่างไร และจะถอนวิญญาณจากอินทรีย์กลับไปรวมกับบรมวิญญาณโดยวิธีสมาธิตามหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร เส้นทางการลงและการขึ้นนี้ เป็นเส้นทางสากลเส้นทางเดียวที่ทุกวิญญาณต้อง เดินทางไป
แรกสุดกริยาโยคะสอนให้ถอนจิตจากอารมณ์ด้วยการควบคุมตน จากนั้นใช้หลักวิทยาศาสตร์ตัดจิตและปัญญา (มนัส กับ พุทธิ) จากอินทรีย์ ด้วยการตัดพลังชีวิตจากทางเดินของอินทรีย์ทั้งห้า จากนั้นนำอหังการ จิต และพุทธผ่านจักระทิพย์ทั้งห้าในไขสันหลัง ผ่านจักระที่หก (ท้ายสมอง ซึ่งมีกระแสแม่เหล็กเชื่อมโยงกับวิญญาณจักษุที่กลางหน้าผาก) และสุดท้ายไปรวมกับจักระที่เจ็ดที่กลางสมองใหญ่
กริยาโยคีที่หยั่งรู้ว่าอหังการคือวิญญาณ และพบว่า อหังการ พุทธิ และจิตของท่าน สามารถสลายกลับสู่ความเกษมแห่งวิญญาณได้ เมื่อนั้นแล้วท่านย่อมรู้ได้ว่าจะนําวิญญาณให้พ้นไปจากกรงขังของกายหยาบ กายทิพย์ และกายเหตุได้อย่างไร เพื่อรวมวิญญาณกับบรมวิญญาณ
เมื่อมองด้วยตาเนื้อ ก็เห็นแต่สสารซึ่งอยู่ตรงหน้า ส่วนวิญญาณจักษุผู้รู้แจ้งนั้น เห็นได้อย่างไร้ขอบเขต เผยให้เห็นจักรวาลทิพย์และจักรวาลดำริทั้งหมด ในตอนแรก เมื่อโยคีสามารถส่งจิตไปที่ตาทิพย์ ท่านจะเห็นกายทิพย์ของท่าน เมื่อก้าวหน้าต่อไป ท่านจะเห็นจักรวาลทิพย์ทั้งหมดที่ร่างกายของท่านเป็น เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
ถ้าไม่เข้าถึงวิญญาณจักษุ (ตาทิพย์) บุคคลไม่รู้ว่าจะนำพลังชีวิตและจิตผ่านเข้าไปในกระต่าง ๆ ในไขสันหลังได้อย่างไร เมื่อเข้าถึงวิญญาณจักษุแล้ว เขาผ่านไปทีละขั้น ๆ จากการเห็นกายหยาบ เห็นตาทิพย์ เห็นกายทิพย์ เห็นช่องทิพย์บนสมองร่วมไขสันหลัง กับจักระทิพย์ (หรือประตูกล) ทั้งเจ็ด ผ่านกายเหตุเข้าสู่การหลุดพ้นในที่สุด
การจะตีความกริยาโยคะนั้นต้องอธิบายกันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่ในแง่ศิลปะแล้วง่ายมาก★ เมื่อปฏิบัติกริยาโยคะลึกลงไป ลมหายใจจะสลายสู่จิต จิตสู่สหัชญาณ สหัชญาณสู่การหยั่งรู้วิญญาณอันเกษม วิญญาณสู่บรมสุขในบรมวิญญาณ เมื่อนั้นแล้วโยคีจะเข้าใจว่าวิญญาณลงมาสู่สสารอย่างไร และวิญญาณที่ประพฤติตัวดีแล้วจะถูกนําไปจากสสารกลับสู่ปราสาทสัพพัญญู รับการเลี้ยงฉลองกลับสู่บ้านแห่งญาณปัญญาอย่างเกษมสุขอยู่ที่นั่น
★คำสอนอย่างละเอียดเกี่ยวกับเทคนิคที่ถูกต้องของ 'กริยาโยคะ' จะมอบแก่นักศึกษาผู้เรียนบทเรียน เซลฟ์ อะไลเซชั่น เฟลโลว์ชิพ และได้ผ่านข้อกำหนดเกี่ยวกับวินัยทางจิตวิญญาณเบื้องต้นแล้ว อ่านหน้า 1203
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
บุคคลผู้เข้าถึงบรมวิญญาณด้วยวิธีสากลแห่งกริยาโยคะได้ชื่อว่าเป็นกริยาโยคีผู้สําเร็จ หรือ มุนี เมื่อเข้าถึงภาวะมุนีแล้ว เขาสามารถทำงานอยู่ในโลกอย่างฤษี มุนีคือผู้ที่ยินดีสลายอหังการไว้ในพระเจ้าด้วยโยคะศาสตร์ ฤษีคือมุนีที่หลุดพ้นแล้ว ดำรงชีวิตเป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก ให้พวกเขาเห็นถึงประสิทธิภาพของโยคะ ว่าเป็นศาสตร์เลิศที่นําไปสู่การหลุดพ้น
กริยาโยคะศาสตร์ ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อมนุษยชาติใน ภควัทคีตา มหาคัมภีร์ฮินดู พระเจ้าได้ประทานกริยาโยคะให้แก่พระมนู หรืออดัม มนุษย์คนแรก จากนั้น พระมนูได้มอบต่อให้พระชนก และราชฤษีท่านอื่น ๆ ศาสตร์นี้สูญหายไปในยุควัตถุ กริยาโยคะได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งในศตวรรษที่สิบเก้า โดยมหาวตาร บาบาจี คุรุของท่านลาหิริ มหัสยะ
ทุกวันนี้ ศาสตร์โบราณแห่งการล้างบาปนี้ได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก (อ่านบทที่ 4:1-2) กริยาโยคะแตกต่างจากคำสอนอื่น ๆ ตรงที่ กริยาโยคะไม่ได้ชี้ทางหลวงสากลที่จะนำวิญญาณขึ้นสู่บรมวิญญาณ แต่ได้มอบ เทคนิคที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันให้ผู้ภักดีได้ปฏิบัติ และด้วยความช่วยเหลือของคุรุ ผู้ภักดีที่ปฏิบัติอาจได้กลับคืนสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้า ทฤษฎีคำสอนนั้นจะนำไปสู่ทฤษฎีอื่นต่อ ๆ ไป แต่ผู้ปฏิบัติกริยาโยคะอย่างแท้จริง จะพบว่านี่เป็นทางสั้นที่สุด เร็วที่สุด ที่จะนำเขาไปสู่อาณาจักรแห่งบรมวิญญาณ
(((มีต่อ)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา