2 ก.ค. 2023 เวลา 04:21 • การศึกษา
โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์

ชีวิตวัยมัธยม เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด?

หลายๆคนคงคุ้นเคยกับคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตวัยรุ่นมีความสุขที่สุดแล้ว" เป็นความจริงหรือไม่อย่างไรนั้น คงแล้วแต่มุมมองของทุกคนที่ต่างกันออกไป
สำหรับวันนี้เราจึงอยากจะมาเปิดประสบการณ์ชีวิตในรั้วโรงเรียนมัธยม 6 ปี มีความเครียดหรือความกดดันมากน้อยขนาดไหน เพื่อเป็นแนวทางให้กับทุกคน ปัญหาที่พบเจอผ่านมาได้อย่างไร สุดท้ายแล้วมันมีความสุขที่สุดจริงหรือไม่?
  • มัธยมศึกษาปีที่ 1 (ให้คะแนน 3/5)
ม.1 นับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับชั้นมัธยม สำหรับเรามันเป็นชั้นปีที่ต้องใช้การปรับตัวเป็นอย่างมาก เพราะได้เจอกับเพื่อนใหม่ๆ เจอบทเรียนใหม่ๆมากมาย งานเยอะขึ้น หรือบางคนอาจได้ไปเป็นเด็กกิจกรรม เช่น ได้เป็นนักดนตรีในวงโยธวาทิต เป็นนางรำชมรมนาฏศิลป์ เป็นต้น ส่วนตัวเราได้เข้าไปอยู่ในวงโยธวาทิต ต้องตื่นเช้าขึ้นและเลิกเย็นเกือบทุกวัน
สิ่งแรกที่ครอบครัวเป็นกังวลเกี่ยวกับตัวเราคือ "กลัวจะเสียการเรียน" และเราเชื่อว่าหลายๆคนคงพบเจอปัญหาเดียวกัน อันดับแรกต้องทำความเข้าใจก่อน ว่าการที่เราได้มาเป็นเด็กกิจกรรม อาจจะได้ไปแข่งบ้าง หรือมีกิจกรรมที่ต้องขอเวลาเรียนไปซ้อม อาจมีเวลาเรียนน้อยลง มีเวลาเคลียร์งาน/การบ้านน้อยลง สิ่งที่เราต้องมีนั่นคือ "การแบ่งเวลา" และ "ใช้เวลาว่างอย่างคุ้มค่า"
การแบ่งเวลาและใช้เวลาว่างอย่างคุ้มค่า อย่างเช่น หลังเลิกเรียน-18:00 น. เป็นเวลาที่ซ้อมดนตรี+เผื่อเวลาเดินทางไปอีก 1 ชม. สำหรับคนบ้านไกล พอถึงบ้านเราจะมีเวลาในช่วงค่ำๆถึงช่วงดึกในการทำการบ้าน พักผ่อน และอ่านหนังสือสอบบางวิชา เราอาจจะต้องตั้งใจอ่านมากขึ้นเพราะในเวลาที่จำกัด หรืออ่านล่วงหน้าสัก 1-2 วัน พยายามทำการบ้านให้เร็วขึ้น หรือในคาบพักถ้าว่างจริงๆอาจนำการบ้านมานั่งทำได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาว่างในการพักผ่อนช่วงค่ำๆมากขึ้น
*** เราอาจจะต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นแต่ผลลัพธ์ที่ได้คือเราจะมีวินัยในตัวเองมากขึ้น และสามารถดูแลผลการเรียนให้ดีควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมได้ (พ่อแม่จะได้ไม่เป็นห่วงด้วยนะ)
  • มัธยมศึกษาปีที่ 2 (ให้คะแนน 4/5)
สำหรับเรา ม.2 เป็นระดับชั้นปีที่สบายที่สุด อาจเป็นเพราะเริ่มคุ้นชินกับการปรับตัวมากขึ้น ได้มีเพื่อนกลุ่มที่สนิท เนื้อหาที่เรียนจะเริ่มยากขึ้นมากกว่าตอนแรก งานและการบ้านเยอะขึ้น กว่าม.1 ต้องอาศัยการแบ่งเวลาเช่นเดิม
สำหรับในระดับชั้นนี้ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆมากขึ้น ถือว่าได้ผ่อนคลายความเครียดจากการสอบเก็บคะแนน การสอบกลางภาคปลายภาคใดๆ สิ่งที่สำคัญคือการทำงานกลุ่มร่วมกันกับเพื่อนจะต้อง "พยายามแบ่งงานให้เท่าๆกัน" และ "จะต้องรับผิดชอบทำงานในส่วนของตนเองให้ดี" เพื่อที่งานจะได้ออกมาเป็นที่น่าพอใจให้กับคุณครูผู้น่ารักของเรา คะแนนจะได้น่ารักไปด้วย😹 พยายามประคับประคองผลการเรียนไปเรื่อยๆจนจบม.2
*** อย่าลืมรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ จะได้ไม่ส่งผลกระทบกับการเรียน และสามารถเรียนได้อย่างเต็มที่
  • มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ให้คะแนน 2.5/5)
มาถึง ม.3 เป็นระดับชั้นสุดท้ายของมัธยมต้น ในช่วงนั้นทั้งโลกกำลังประสบกับปัญหาโรคโควิด19 กำลังระบาดอย่างหนัก ทำให้โรงเรียนในประเทศไทยมีการเลื่อนการเปิดเทอม มีการเรียนออนไลน์ และสลับกลุ่มเรียน ได้เจอกับเพื่อนน้อยลงและกิจกรรมต่างๆถูกงดไป เป็นระดับชั้นปีที่ต้องมีการตัดสินใจเลือกเรียนสายอาชีพสายสามัญ ให้เข้ากับคณะที่ต้องการศึกษา หรือบางคนอาจมีการวางแผนไปสอบเข้าม.4 โรงเรียนอื่น
ผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ เรารู้สึกได้ว่าตัวเองเรียนไม่ค่อยเข้าใจในบางเรื่อง อาจเพราะเป็นการเรียนออนไลน์ครั้งแรกเลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ในตอนแรกเราต้องการที่จะลองไปสอบเข้าม.4 ที่โรงเรียนอีกแห่ง แต่ด้วยการเดินทางที่ลำบากกว่าเดิมและไกลจากบ้านมากกว่าเดิม ทำให้เราตัดสินใจเรียนที่โรงเรียนเดิม
รวมถึงระดับชั้นม.3 เป็นอีกระดับชั้นที่มีความกดดัน กับการเลือกแผนการเรียน สิ่งที่จะช่วยตัดสินใจนั่นคือ "การรู้ตัวเองว่าชื่นชอบอะไร มีความสนใจในเรื่องใด" หรือบางคนอาจมีอาชีพในฝัน เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกเรียนต่อได้ และต้องมีการประเมินว่าถ้าเราเลือกเรียนต่อ "จะสามารถไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน"
*** ห้าม "เลือกเรียนตามเพื่อน" ควรเลือกจากสิ่งที่เราสนใจเองจริงๆ เพราะถ้าได้เข้าไปเรียนและไม่ชอบหรือไปต่อไม่ได้นั่นจะเป็นผลเสียกับตัวเราเองอย่างมาก
  • มัธยมศึกษาปีที่ 4 (ให้คะแนน 2.5/5)
เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงม.ปลาย เราได้ตัดสินใจเลือกเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ และตัดสินใจออกจากวงโยธวาทิตมา เพราะกลัวว่าพอขึ้นม.ปลายแล้วจะยากขึ้นกว่าเดิมในการจัดการเวลาและตัวเราจะไม่ไหว และใช่มันยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลย ทั้งเนื้อหาที่เจาะลึกทางด้านวิทย์แตกแขนงออกเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะและดาราศาสตร์ เนื้อหาค่อนข้างที่จะเยอะและละเอียดมากๆ รวมถึงคณิตศาสตร์ที่มีทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติม คล้ายกับช่วงม.1 ที่ต้องปรับตัวกับห้องเรียนใหม่และเพื่อนใหม่ที่เพิ่มเข้ามา รวมถึงเนื้อหาใหม่ๆที่มีความยาก
ช่วงแรกๆ เรายังคงได้เรียนออนไลน์ไป 1 ภาคเรียนเนื่องจากโรคโควิด19 ระบาดหนักกว่าเดิม มีการสอบเก็บคะแนนบ่อย แต่ละครั้งมีความกดดันและมีความกลัวคะแนนออกมาไม่ดี
ซึ่งการที่เราไปเครียดกับมันมากๆมันไม่ช่วยให้ดีขึ้นแต่มันกลับแย่ลง ฉะนั้นเราจึงควร "ทำให้เต็มที่ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ให้คิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว" พยายามอย่ายึดติดกับคะแนนมากไป และ "ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น"
อาจลองทำ "สรุปความรู้" สรุปเนื้อหาที่เรียนแต่ละบทเอาไว้อ่านก่อนสอบ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือเยอะในภายหลัง และยังเป็นการทบทวนความรู้ของเราไปในตัวอีกด้วย เพราะม.4 เนื้อหาที่เรียนในแต่ละบทจะต้องนำไปต่อยอดเรื่อยๆในระดับชั้นม.5 และม.6 ต่อไป ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างมาก
*** ในเวลาที่เครียดเรื่องเรียน แนะนำให้ระบายกับเพื่อน ครู หรือพ่อแม่ผู้ปกครองที่เราสะดวกใจจะคุยด้วย ดีกว่าเก็บไว้กับตัวเองคนเดียว หรือออกไปท่องเที่ยวบ้างบางครั้งเพื่อคลายเครียด
*** สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้นั่นคือ "ทุกความผิดพลาดจะทำให้เราเก่งขึ้น!!"
  • มัธยมศึกษาปีที่ 5 (ให้คะแนน 3.5/5)
ในระดับชั้นนี้จะมีการเรียนเนื้อหาที่เยอะที่สุด และมีกิจกรรมที่ม.5ต้องเป็นหลักในหลายๆกิจกรรม เหนื่อยแต่สนุก ต้องจัดการบริหารเวลาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่าลืมหาเวลามาอ่านหนังสือสอบ🥲 และอย่าทิ้งกิจกรรมส่วนที่ต้องรับผิดชอบ
เราได้รับผิดชอบฝ่ายหนึ่งในกิจกรรมกีฬาสี เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานใหญ่ขนาดนี้ ทำให้เราได้รู้ความผิดพลาดของตัวเองว่ามีอะไรที่จะต้องแก้ไขและต้องปรับเปลี่ยน ขอบคุณเพื่อนๆที่คอยช่วยทำงานเต็มที่ทุกคน งานออกมาดีมากๆ
รวมถึงม.5 เป็นช่วงที่หลายๆคนต้อง "ค้นหาตัวเองว่าต้องการจะเข้าคณะอะไร" เพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อมในการเข้ามหาวิทยาลัย ศึกษาระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ระบบTCAS สัดส่วนคะแนนที่ใช้ยื่น ระดับเกรดเฉลี่ยที่สามารถสมัครได้ วิชาที่ต้องใช้สอบและเริ่มเตรียมตัวเก็บเนื้อหาล่วงหน้า "รู้ตัวก่อนได้เปรียบ มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น"
*** กิจกรรมต่างๆที่ได้เข้าร่วมเป็นประสบการณ์ให้เราได้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาหรือเจอเรื่องที่ดี หรือเพื่อนร่วมงานหลายๆแบบก็ตาม
*** การค้นหาตัวเองอาจเริ่มจากสิ่งที่สนใจ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ถนัดหรือสิ่งที่สามารถทำได้ดี มันอาจจะใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจได้ แต่ตอนนี้ต้องเริ่มหาแล้วนะ!!
  • มัธยมศึกษาปีที่ 6 (ให้คะแนน 2/5)
เป็นชั้นปีสุดท้ายของระดับชั้นม.ปลาย ที่ต้องเตรียมตัวอย่างจริงจังกับการเข้ามหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่กดดันมาก คำถามสุดฮิตที่เด็กม.6ทุกคนต้องเจอนั่นคือ "จะเรียนอะไรต่อ"
ในบางครอบครัวต้องการที่จะให้ลูกหลานเรียนในคณะที่ตนคาดหวัง และได้ทำอาชีพที่มั่นคง โดยที่บางคนอาจจะไม่ได้ชอบหรือถูกใจในคณะนั้นๆ จึงอยากให้ทุกคนที่เจอปัญหานี้อยู่ "เปิดใจคุยกันตรงๆ บอกเหตุผลและต้องแสดงให้เห็นว่าเราจริงจัง มีความตั้งใจที่จะเรียน" เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนเป็นห่วงเรา อย่าไปโกรธเลย อย่างน้อยถ้าเราได้พูดเหตุผลไป และเขาได้รับฟังอาจจะเข้าใจเรามากขึ้น
การเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย เป็นช่วงที่ต้องการกำลังใจอย่างมาก และเป็นช่วงที่หมดไฟได้ง่ายมากเพราะเป็นระยะเวลาที่นานมากพอสมควร พยายามใช้เวลาว่างเคลียร์งานและการบ้านให้เสร็จเร็วๆ เพื่อจะได้มีเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบของโรงเรียนและมีเวลามาเก็บเนื้อหาต่อ ลองทำข้อสอบเก่าๆ ถ้าเจอข้อที่ทำไม่ได้อย่าพึ่งเสียใจ ให้ลองศึกษาเฉลยวิธีทำ เดี๋ยวสักวันเราจะทำได้เอง สู้ๆ ฝึกบ่อยๆนะ!! ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ รับพลังงานบวกจากคนรอบข้างเยอะๆ
*** ช่วงม.6 มักจะเป็นช่วงที่ปัญหาหลายๆเรื่องเข้ามากองรวมกัน เหมือนเป็นการวัดว่าสามารถจัดการปัญหาและแยกแยะปัญหาที่เข้ามาพร้อมกันได้มากน้อยแค่ไหน พยายามเรียงลำดับความสำคัญและปล่อยวาง สนใจเรื่องอนาคตของตัวเองให้มากที่สุด
สุดท้ายนี้ ในช่วงชีวิตวัยมัธยมของเรานั้น ไม่ได้มีความสุขที่สุด และไม่ได้มีความทุกข์ที่สุด แต่เป็น "ช่วงเวลาที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด" ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งเวลา การจัดการเรื่องเรียน จัดการตนเอง หาทางออกหรือแก้ไขสำหรับเรื่องที่ผิดพลาดต่างๆนาๆที่เข้ามา เพื่อที่ในอนาคตจะจัดการเรื่องต่างๆให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดีในวันที่เติบโตขึ้นต่อไป
(ณัฐสินี นันทโลหะตระกูล ม.6/3 เลขที่ 31)
โฆษณา