3 ก.ค. 2023 เวลา 12:13 • อาหาร

คุณบิ๊ก Fat in Peace

Fat in Peace โรงรถเก่าของคุณพ่อ มาเป็นร้านแนวบิสโตรและคาเฟ่ เมนูได้มีการรังสรรค์จากความชอบของตัวเองและคนรอบข้าง จนมาเป็นเมนูยอดฮิตของหนุ่มสาวชาวคอนโด
แนวคิดของ Fat in Peace
คุณบิ๊ก: คอนเซ็ปท์เดิมที่คิดไว้จะเป็นคาเฟ่และแกลลอรี่ ผมต้องการนำเสนอผลงานของศิลปินภาพถ่าย รวมไปถึงศิลปินแนวกราฟิก ความตั้งใจของร้านคือเราจะไม่มีเมนูอาหาร แต่เมื่อลูกค้าลองได้เขามานั่ง การถามถึงอาหารก็เพิ่มมากขึ้น เราจึงเริ่มต้นด้วยการจัดใส่อาหารจำพวกแซนด์วิชและเบอเกอร์ เราต้องการให้ 2 เมนูนี่แตกต่างจากร้านอื่น โดยการทำขนมปังเอง ซึ่งก็ถูกใจลูกค้าหลายคน แต่แล้วก็มีการเสนอต่อมาว่า ถ้ามีเมนูข้าวด้วยก็คงจะดีไม่น้อย นั้นจึงทำให้เรารู้ว่าลูกค้ามีความชื่นชอบในอาหารค่อนข้างมาก
จากแนวคิดเดิมจึงเปลี่ยนเป็นร้านบิสโตรและคาเฟ่ แต่เรายังคงมีการจัดแสดงภาพถ่ายและภาพวาดของศิลปิน
1
เริ่มต้นการเรียนรู้
คุณบิ๊ก: ผมจบปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ทำงานอยู่ 4ปี ในไทย ด้วยความที่ผมเป็นเด็กเกเรจึงโดนส่งไปอเมริกา ผมไปเรียนภาษาอังกฤษอยู่ 1 ปี ในระหว่างนั้นผมก็ทำงานในร้านอาหาร เริ่มจากการเป็นพนักงานล้างจานและเสิร์ฟ
ตอนนั้นหลักสูตรใกล้จะจบแต่ผมต้องการจะอยู่ต่อจึงได้เข้าเรียน Hospitality Management ภาควิชาหลักจะเป็นการเรียนวิธีการบริหารเงินและองค์กร ส่วนวิชารองจะมีการเข้าครัวเรียนอาหารคาว อาหารหารหวานและเบเกอรี่ อีกหนึ่งโอกาสที่ได้รับคือการทำ Internship กับร้านอาหาร ทั้งหมดนี้ใช้เวลา 3ปี
เมื่อเรียนจบพี่เขยและพี่สาวก็ได้ส่งโปรเจค ‘ร้านอาหารในปั๊มน้ำมัน’ มาให้ผมได้ลองโชว์ฝีมือ ซึ่งไอเดียที่ผมเสนอคือแนวร้านอาหารตามสั่งแบบในไทย ในการคุ้มงบก็คือไม่จ้างพนักงานและไม่ซื้อจาน ทุกอย่างจะใส่กล่อง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องซื้อเครื่องล้างจาน
ในช่วงหกเดือนแรกลูกค้าน้อยเพราะเราไม่เคยทำการตลาด ผมจึงตัดสินใจเอาเมนูของร้านไปฝากไว้กับเชฟผู้สอน โดยหนึ่งในเชฟเป็นบล็อกเกอร์อาหาร เขาเดินทางมาร้านเพื่อลองชิม ทางผมได้คำติชมไปในเชิงบวก เขาจึงขอทำการรีวิว โดยก่อนโพสต์เขาได้มีการโทรมาบอกเราตอน 9โมง ภายใน 11โมง ในร้านไม่มีที่ยืน จนล้นออกมาข้างนอก พอบ่าย 2 ของหมด ร้านนี้จึงเป็นความสำเร็จแรกในธุรกิจร้านอาหารของผม
ผมมีโอกาสอยู่อเมริกา 7ปี จุดเปลี่ยนคือแม่ผมไม่สบาย เราปรึกษากันในครอบครัว ผลสรุปคือให้ผมกลับมาดูแลแม่ ส่วนร้านอาหารพี่สาวผมจะทำต่อ
เมื่อกลับมาไทยประสบณ์การที่ยังขาดคือการบริหาร ผมโชคดีมากได้งานที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดีในตำแหน่ง canteen management อยู่ 3ปี หลังจากนั้นก็ได้ออกมารับงานที่ปรึกษาให้กับร้านอาหาร ทำได้สักระยะก็คิดว่านี้ไม่ใช่ทางของเรา ในช่วงนั้นผมได้หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารอิซาคายะที่ขอนแก่น ซึ่งร้านนี้ยังคงเปิดอยู่
ตอนนั้นผมคิดว่าอยากเปิดร้านใกล้บ้านแถวลาดกระบังแต่เมื่อปรึกษากับทางบ้าน เขาแนะนำให้ทำตรงที่เราอยู่ปัจจุบัน
สมัยก่อนตรงนี้พ่อไว้ใช้ซ่อมรถยนต์ แต่เมื่อพ่อเลิกกิจการจึงกลายเป็นโรงรถเก่าๆ มีไว้เก็บขยะและของเก่า เราเลยคิดว่าอยากเอาที่ตรงนี้มาทำให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ก็เลยมาเป็นโปรเจค Fat in Peace
ผมทำร้านนี่ให้เหมือนโรงเรียน พนักงานส่วนใหญ่ที่เรารับมาจะไม่มีความรู้เรื่องอาหาร ทุกคนเริ่มจากศูนย์ เวลาเราใส่ข้อมูลให้พนักงานเขาก็จะเหมือนเป็นโคลนนิ่งของเรา ผมตั้งใจให้ออกมาแบบไหน ก็ใส่ข้อมูลไปแบบนั้น ผมจึงออกแบบระบบครัวให้เชฟสามารถทำงานได้คนเดียว การคัดเลือกพนักงานของร้านไม่จำเป็นต้องเคยทำเกี่ยวกับอาหารมาก่อน แต่สิ่งที่สำคัญคือวินัย ความสะอาดและทัศนคติ ซึ่งเราจะมีการทดลองงาน 3 เดือน
สำหรับสูตรอาหารต่างๆ ของทางร้าน ผมได้มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Google Yotube และปรึกษาเพื่อนที่มีความรู้ด้านเบเกอรี่ หลังจากนั้นก็ทดลองและปรับสูตรให้ได้แบบที่เราต้องการ
การสร้างคอมมิวนิตี้
คุณบิ๊ก: ส่วนมากลูกค้าจะมาจากคอนโด เขาจะลงมานั่งทานข้าว นั่งดื่ม ดูฟุตบอล พอมากันเป็นกิจวัตรจากที่เป็นลูกค้าก็เริ่มเป็นเพื่อน มีความสนิทกันมากขึ้น ลูกค้าประจำจะชวนเพื่อนมา เมื่อลูกค้าเข้ามาในร้านเราจะไม่ได้ทำให้ลูกค้ารู้สึกห่างเหินจนเกินไป ลูกค้าประจำบ้างคนก็จะมีสั่งอาหารที่ไม่ได้มีในเมนู ถ้าเรามีของก็จัดให้ไม่มีปัญหา (หัวเราะ) ข้าวต้มหมูก็เคยมีมาแล้ว
เมนูแนะนำจาก Yeast Incubator และ คุณบิ๊ก
เราขอแนะนำเป็นชีสเบอเกอร์เนื้อออสเตรเลียซอสทรัฟเฟิลเสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์ ทางร้านจะนำเอาเนื้อแพดตี้ที่มีการปรุงรสชาติเฉพาะของเชฟไปว่างทับหัวหอมบนกระทะร้อน ตัวหัวหอมจะ caramelized ทำให้มีความหอมหวานและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อแพตดี้ สำหรับตัวขนมปังเบอเกอร์จะมีการอบสดทุกวัน ส่วนตัวซอสทรัฟเฟิลจะเป็นการปรุงสด ซอสจะมีความเปรี้ยวเพื่อตัดความเลี่ยน
คุณบิ๊ก: ผมอยากจะแนะนำเมนูข้าวหน้าเนื้อย่างซอสน้ำจิ้มแจ่ว สำหรับเมนูนี้เราใช้เนื้อสันนอกออสเตรเลีย ไอเดียของข้าวหน้าต่างๆ มาจากดอนบูริของญี่ปุ่น แต่เราเอามาปรับให้เป็นรูปแบบและรสชาติอาหารไทย เรามีเมนูที่มาโดยบังเอิญนั้นก็คือข้าวผัดมันเนื้อ เรามีเศษเนื้อเหลือจากเมนูอื่น ผมเลยลองเอามาทำกินกับพนักงานและเพื่อน กลายเป็นว่าอร่อย ผมเลยปรับจานนี้มาใส่ในเมนูข้าวหน้าเนื้อ
ติดตาม Fat In Peace: https://www.facebook.com/fatinpeacebkk
ติดตามสาระและความรื่นรมย์แบบยีสต์ๆ ได้ที่
Facebook 📍 ยีสต์คอมมูนิตี้: https://www.facebook.com/groups/1738623019923886/
โฆษณา