4 ก.ค. 2023 เวลา 05:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะพื้นฐาน 7 หุ้นเด่นรับผลบวก “ธนาคารโลก” ฟันธงเศรษฐกิจไทยโต 3.9%

เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลัก และยังมีอุปสงค์จากจีนเข้ามาช่วยสนับสนุน แม้ระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอาจได้รับปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัว แต่ภาพรวมยังคงมีการเติบโตอยู่ ทำให้ล่าสุดธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 2566 เป็น 3.9% จากเดิมที่คาดจะขยายตัว 3.6%
ทั้งนี้นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยของ World Bank ถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ คาดปี 2566 โตเพียง 1.1% และ ยุโรป ที่คาดโต 0.6% รวมถึงยังสูงกว่าคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจในประเทศ เช่น Krungsri Research คาด GDP ไทยปีนี้ขยายตัว 3.3%, ธนาคารแห่งประเทศไทยคาด 3.6%, กระทรวงการคลังคาด 3.6% และ สภาพัฒน์คาด 3.2%
โดยตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักมาจากการท่องเที่ยวและการฟื้นตัวจากกำลังซื้อจีน ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์จึงประเมินเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นไทยและหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำ AOT, MINT, ERW และหุ้นที่เชื่อมโยงธุรกิจจีน เช่น HANA, KCE, IVL, PTTGC
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหุ้นรับผลบวก
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานของ AOT บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรสุทธิปี 2566 (ต.ค. 65 - ก.ย. 66) ที่ 8.9 พันล้านบาท ฟื้นจากขาดทุน 1.11 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 (ต.ค. 64 - ก.ย. 65) ตามการฟื้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคาดปี 2566 (ปีปฏิทิน) ที่ 30.6 ล้านคน (คิดเป็น 77% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19) และปี 2567 ที่ 39.8 ล้านคน (100% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19)
อย่างไรก็ตามมองราคาหุ้น AOT ฟื้นมาที่ 93% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 สะท้อนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานแล้วเช่นกัน จึงแนะนำเพียง เก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 78 บาท ตามข่าวการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
ถัดมา MINT บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดกำไรปกติเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ฟื้นตัวดีขึ้นทั่วโลก และเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าเช่นเดียวกัน หลังโรงแรมในยุโรปเข้าช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
โดยฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการปี 2566-2567 คาดกำไรปกติที่ 6.4พันล้านบาท โต 219% และ 8.4 พันล้านบาท โต 31% ตามลำดับ คงคำแนะนำ ซื้อ อิงราคาเหมาะสมที่ 43.50 บาท ซึ่งเลือก MINT เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยวจากแนวโน้มผลประกอบการที่ยังแข็งแกร่งและหุ้นซื้อขายบน Valuation ที่ไม่แพงเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในอดีตและเทียบกับกลุ่มโรงแรมในปัจจุบัน
ต่อกันที่ ERW บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า ประเมิน RevPar ในเดือนเม.ย.- พ.ค. 66 จะสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ 36% โดยคาดว่า ERW จะรายงานกำไรปกติในไตรมาส 2/66 ที่ 70 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนปกติในไตรมาส 2/65 และสูงกว่ากำไรปกติในไตรมาส 2/62
รวมถึงคาดการณ์กำไรปกติปี 2566 ที่ 502 ล้านบาท สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19อยู่ 3% โดยอิงกับ RevPar ที่เติบโต 45% หรือสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ 4%
ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น ERW ปรับตัวลดลง 11% underperform SET ที่ลดลง 8% และมองว่าช่วงโลว์ซีชั่นที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/66 ประกอบกับแนวโน้ม upside ของกำไรจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น จึงให้เรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ ERW ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 5.5 บาท และเลือก ERW เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยว
ขณะที่ HANA บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดการณ์กำไรปกติปี 2566-2567 ที่ 1.8 พันล้านบาท ลดลง 24% และกำไรปกติ 2.2 ล้านบาท โต 19% ตามลำดับ โดยประมาณการกำไรของฝ่ายวิเคราะห์มี Downside Risk หากการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังไม่เกิดขึ้น
โดยโอกาสดังกล่าวจะเกิดขึ้นหากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในอุตสาหกรรม Technology ทั่วโลก ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ ขาย และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 35 บาท ในเชิงกลยุทธ์หุ้นขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น จังหวะของการฟื้นตัวคาดอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังที่ราคาหุ้นรับผลกระทบของ Recession ไปมากแล้ว
ส่วน KCE บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2566 ลง 17% เป็น 1.7 พันล้านบาท ลดลง 25% จากปีก่อน ปัจจัยหลักมาจาก 1. ปรับลดสมมติฐานรายได้ในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จากเติบโตเป็นติดลบ เพราะคาดว่าความเสี่ยง Recession ที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกชะลอคำสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น
1
และ 2. ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 จาก 22.5% เป็น 21.8% จากการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพชดเชย Scale ที่หายไปทำได้ช้ากว่าคาด พร้อมปรับลดราคาเหมาะสมสิ้นปีนี้เป็น 36 บาท แม้หุ้นปรับลดมาบ้างแล้วแต่ยังมี Downside แนะนำ ขาย
ด้าน IVL บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกําไรไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณขาย PET ที่ดีขึ้นหนุนจากหน้าร้อนและภาคการท่องเที่ยว แต่มองบวกมากขึ้นต่อภาพรวมครึ่งปีหลัง เพราะปริมาณขาย IOD ในกลุ่มโซลูชั่นการเกษตรเพาะปลูกปลายนํ้าจะฟื้นตัวขึ้น
ส่วนธุรกิจเส้นใยจะได้อานิสงส์จากการเคลื่อนที่ในจีนที่ปรับดีขึ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2.48 หมื่นล้านบาท ลดลง 19% จากปีก่อน พร้อมคงคําแนะนํา ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 43 บาท ฝ่ายวิเคราะห์ชอบ IVL เพราะกําไรมั่นคง สินค้า 60% มีกันชนต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
และสุดท้าย PTTGC บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 2/66 อาจปรับตัวลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาอุปทานปิโตรเคมีล้นตลาด และความต้องการใช้ยังฟื้นตัวแบบช้าๆ ทำให้อัตรากำไรของธุรกิจโอเลฟินส์ปรับตัวดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีต้นน้ำโดยเฉพาะโรงกลั่นจะลดลงจากไตรมาส 1/66 อย่างมีนัยสำคัญตามทิศทาง Crack Spread น้ำมันดีเซลที่ปรับฐานลง จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จากขาดทุน 8.7 พันล้านบาทในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คาดหวังจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจโอเลฟินส์อย่างมีสาระสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 50 บาท ในเชิงกลยุทธ์มองว่ายังไม่ต้องรีบเข้าซื้อ อาจรอดูสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดปิโตรเคมีที่ชัดเจนอีกครั้ง
โฆษณา