4 ก.ค. 2023 เวลา 12:00 • ธุรกิจ

กรณีศึกษา 60 ปีก่อน เราใช้เงิน หลักล้าน เก็บเพลงแค่ 1 เพลง

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1956 บริษัท IBM ได้พัฒนาหน่วยความจำที่เรียกว่า ฮาร์ดดิสก์ ออกมาขายเป็นรุ่นแรกของโลก
ซึ่งฮาร์ดดิสก์ในตอนนั้น มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับตู้เย็น 2 ตู้ มัดรวมกัน
แต่มีความจุเพียง 5 MB (เมกะไบต์) ซึ่งเทียบง่าย ๆ ว่าเก็บข้อมูลได้แค่ประมาณ เพลง 1 เพลง เท่านั้น
2
นอกจากนั้น ตู้ฮาร์ดดิสก์ที่ว่า ยังคิดค่าเช่าในการเก็บข้อมูล เป็นมูลค่ากว่า 1,200,000 บาทต่อปี เพราะต้นทุนในการสร้างขึ้นมาตอนนั้น มันยังสูงมาก
ต่างจากปัจจุบัน ที่เราสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า 10 กิกะไบต์ (มากกว่าในตอนนั้นเป็นพันเท่า)
ผ่าน Google Drive โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทเลย
การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรม”
แล้วเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ?
BrandCase สรุปให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ
โลกของเรามีการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ ๆ เกิดขึ้นมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1
เริ่มจากในปี 1776 เจมส์ วัตต์ วิศวกรชาวอังกฤษ ประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
ทำให้จากเดิม ใช้แรงงานคนทอผ้า 1 ผืน เป็นเวลาหลายวัน ก็เปลี่ยนไปใช้เครื่องจักร ที่ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2
นักประดิษฐ์ ได้เริ่มคิดค้น สิ่งอำนวยความสะดวกสบายขั้นพื้นฐานขึ้น นั่นคือโทรศัพท์ หลอดไฟ และรถยนต์
นอกจากนี้ เครื่องจักรที่ถูกพัฒนาขึ้น ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ก็ถูกต่อยอดมาสู่ การใช้สายพานลำเลียงในการผลิต
ทำให้ Ford สามารถผลิตรถยนต์ได้มากถึงปีละ 300,000 คัน ตั้งแต่ปี 1914
ต่อมา เมื่อไฟฟ้า และระบบสื่อสาร ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ
จนสุดท้าย ก็ถูกพัฒนาเป็นอุปกรณ์ขยายสัญญาณที่มีขนาดเล็ก ซึ่งเราเรียกว่า “ทรานซิสเตอร์”
เมื่อเริ่มมีการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนสูงขึ้น ระบบทรานซิสเตอร์ก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น
เกิดเป็น “แผงวงจรรวม”
และในทศวรรษ 1970s วิศวกรจาก Intel ก็ได้คิดค้นการนำแผงวงจรหลาย ๆ แผง มารวมกัน กลายเป็น ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) หรือที่เรียกว่า “ชิป”
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3
ในช่วงเวลานั้น ชิป ก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยจำนวนแผงวงจรที่สามารถวางลงในชิป 1 ตัว เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในทุก ๆ 1 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ ชิปก็ยังถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง แต่สามารถเก็บข้อมูลได้ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
และมาถึงไฮไลต์สำคัญของเรื่องนี้
คือรู้หรือไม่ ? ว่าก่อนที่จะเริ่มพัฒนาชิป
IBM ก็เคยได้พัฒนาหน่วยความจำ หรือฮาร์ดดิสก์ ออกขายเป็นรุ่นแรกของโลกมาก่อนในปี 1956
แต่ฮาร์ดดิสก์ในตอนนั้น มีขนาดเท่ากับตู้เย็น 2 ตู้ ทว่ามีความจุเพียง 5 เมกะไบต์ ซึ่งเทียบง่าย ๆ ว่าเก็บข้อมูลได้แค่ประมาณ เพลง 1 เพลง เท่านั้น
โดยตู้ฮาร์ดดิสก์ ถูกคิดค่าเช่าในการเก็บข้อมูลกว่า 1,200,000 บาทต่อปี
ต่อมาในปี 1998 IBM พัฒนาฮาร์ดดิสก์ชื่อว่า Microdrive ขึ้นมา
ซึ่งถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็ก เท่ากับ Memory Card ในปัจจุบัน แต่ยังเก็บข้อมูลได้แค่ประมาณ 1 GB (กิกะไบต์)
ซึ่งราคาก็ลดลงมาเหลือเพียงราว ๆ 10,000-20,000 บาท
แต่เทียบกับสมัยนี้ เราสามารถหาซื้อ Memory Card ที่เก็บข้อมูลได้ 512 GB ได้ในราคาไม่ถึง 2,000 บาท เท่านั้นเอง
- มาถึงปัจจุบัน เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
ในยุคนี้ เรามีตัวละครสำคัญคือ หุ่นยนต์ หรือปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ ที่เรารู้จักกันในชื่อ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI (Artificial Intelligence)
ปัญญาประดิษฐ์ที่ว่านี้ ทำให้เกิดนวัตกรรม อย่างเช่น
- หุ่นยนต์ในโรงงาน ที่ทำงานแทนคนได้อย่างแม่นยำ
- หุ่นยนต์บาริสตา หรือหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร ตามร้าน MK และสุกี้ตี๋น้อย
- หรือแม้กระทั่งแช็ตบอต ที่สามารถคิดงาน หรือเสนองานแทนเราได้ อย่าง ChatGPT
และสุดท้ายก็ย้อนไปที่ชื่อเรื่องของเรา.. ว่ามันคือผลพวงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้
คือจากเมื่อ 60 กว่าปีก่อน ที่เราต้องใช้เงินหลักล้านบาท เก็บเพลงแค่ 1 เพลง
1
วันนี้ เราสามารถเก็บข้อมูลในระดับที่เยอะกว่านั้นมาก ได้แบบฟรี ๆ
โดยไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาทเดียว..
References
- หนังสือเรื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ โดย เคลาส์ ชวาบ
- หนังสือเรื่อง เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี โดย ลงทุนแมน
- หนังสือเรื่อง Branding The Nation สร้างแบรนด์ แทนประเทศ โดย ลงทุนแมน
โฆษณา