5 ก.ค. 2023 เวลา 06:15 • ธุรกิจ
เอาเป็นว่า
ผมขอแชร์ประสบการณ์ตรงของผมดังนี้ครับ
1) “Love what you do”
ผมเองเคยทำงานเป็น
เด็กเสริฟ
ในร้านอาหารมาก่อน
แต่ก่อนหน้านั้น ผมเป็นคนที่ชอบศึกษาเรื่องรถยนต์ และเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยความฝันว่า
วันหนึ่งผมจะไปเที่ยวงานแสดงรถยนต์ที่กรุงโตเกียว และจะได้ใช้ทักษะภาษาญี่ปุ่นเพื่อความอยู่รอดที่นั่น
ผมเรียนและสอบใบประกาศนียบัตรวัดระดับภาษาญี่ปุ่นมาได้ 3 ใบ แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยได้ไปญี่ปุ่นเลย
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมต้องหารายได้มาจ่ายค่าเข้าห้องและค่าอาหาร
ผมเลยไปสมัครงาน part-time เป็นพนักงานเสริฟ
แต่ด้วยความที่ผมผูกพันกับ soft culture ของชาวญี่ปุ่นในสมัยที่ผมเรียนภาษาญี่ปุ่น ผมจึงเจาะจงสมัครร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีทีมงานเป็นชาวญี่ปุ่นแท้ๆ
การทำงานที่นั่นในวันแรก เมื่อผมเดินเข้าไปในร้าน
มีสุภาพสตรีมาดขรึมท่านหนึ่ง ยืนอยู่ในครัวและเธอทักทายผม จากนั้น
เธอก้มลงโค้งคำนับผมในแบบที่
ผมสัมผัสได้ว่า
เธอทำด้วยความเคารพและ
ให้เกียรติด้วย
ความจริงใจ!
เธอแนะนำตัวเองประมาณว่า เธอคือหนึ่งในทีม staff ที่คอยต้อนรับลูกค้า
เธอขยันขันแข็ง และสอนงานผมด้วยความสุภาพ, เมตตา และให้เกียรติ จนผมอดขนลุกไม่ได้
อยู่มาวันหนึ่ง มีจดหมายเข้ามาที่ร้าน และผมเป็นคนรับจดหมายฉบับนั้น ที่จ่าหน้าซองด้วยชื่อ ของสุภาพสตรีท่านนั้น
และแล้วผมก็ถึง
บางอ้อ!
เพราะนามสกุลของเธอ เป็นนามสกุลเดียวกันกับนามสกุลของ หนึ่งในทีมผู้บริหารของร้าน
กล่าวโดยสรุปคือ
เธอคือภรรยาของหัวหน้าใหญ่ของผม!
คุณคิดดูสิครับ
ว่า “ชาวญี่ปุ่นบางคน” เขาปฏิบัติต่อ “ลูกจ้างต่างชาติ” อย่างผม ด้วยการให้เกียรติเพียงใด!
• หลังจากนั้น เธอยังวางตัวเหมือนเดิม และผมนับถือเธอเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง
และผมบอกกับตัวเองว่า
ผมจะอุทิศตัวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความเจริญรุ่งเรื่องของร้านนี้
No matter what!
2) “The Devil is in the details”
ครับ ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่คุณรัก
คุณจะเหนื่อยน้อยลงและเจ็บปวดน้อยลงกับงานที่คุณทำอยู่
การที่ผมมีความรู้พื้นฐานภาษาญี่ปุ่น มันทำให้ผมอ่านและทำความเข้าใจ
เมนูอาหารญี่ปุ่น
ได้ง่ายมากขึ้น!
เป็นต้นว่า
ika = squids
tako = octopus
และแม้แต่ชื่อ “เหล้าสาเก” (Sake) ที่ฉลากเขียนด้วยอักษร Kanji ผมก็พออ่านและจดจำได้บ้าง
และไม่เพียงแค่ระบบในร้าน
แม้แต่ลูกค้าซึ่งเกินกว่า 99.99% คือชาวตะวันตกที่ผมต้องสื่อสารกับพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ
ผมยอมรับว่า ผมโชคดีมากที่ได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้น
ถึงแม้ว่านี่เป็นเพียงแค่งานของพนักงานเสริฟ แต่ผมเรียนรู้อะไรเยอะมาก ทั้งๆที่ผมมีพื้นฐานมาจากสายงานเทคโนโลยีที่ส่วนใหญ่ผมมักนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน แบบไม่ค่อยมี
human interaction
กับใคร!
ผมกลับได้
- เห็นโลกของชาวญี่ปุ่น และชาวตะวันตก จากมุมมองของชาวไทยอย่างผม
- เรียนรู้งานขาย และ people skills ในภาคปฎิบัติ
- เพิ่มพูนความเชื่อมั่นและความมั่นใจในการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ที่พวกเขาไม่พูดภาษาไทยกับผม! และมีสถานะทางสังคมสูงกว่าผม!
3) “Be inspired!”
และแล้วก็มาถึงวันที่ผมต้องรับบท
team leader
จากประสบการณ์ที่ผมต้อนรับลูกค้ามาสักระยะเวลาหนึ่ง
ผมได้สร้างกลุ่มลูกค้าประจำขึ้นมา ซึ่งพวกเขาและผมรู้จักกันเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่ผมจำชื่อเขา และชื่อสมาชิกในครอบครัวหรือสมาชิกในที่ทำงานของเขาได้อย่างแม่นยำ
และเมื่อพวกเขาเข้ามาที่ร้าน ผมจะรับบททวนเมนูที่เขาสั่งเป็นประจำให้ฟัง และพวกเขาเพียงแค่ยืนยันว่าจะสั่งตาม orders เดิมนั้นหรือไม่!
และแน่นอนว่า
พวกเราสนทนากัน
ด้วยการเรียกชื่อจริง/ชื่อเล่น
ของแต่ละฝ่าย
ได้อย่างแม่นยำ!
• เมื่อถึงจุดนี้
เวลาที่ผมต้อง train พนักงานใหม่ ทั้งที่เป็นชาวญี่ปุ่น และชาวตะวันตก
ฐานข้อมูล
ที่ผมมีนั้น มันกว้างใหญ่พอที่ผมจะทำหน้าที่
Support
ลูกทีมของผมได้ และพนักงานใหม่ทุกท่านก็รู้สึกอุ่นใจ ที่มีผมทำงานอยู่เคียงข้าง!
เพราะพวกเขารู้ดีว่า ผมรู้จักและสนิทสนมกับลูกค้าเป็นอย่างดี
และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
ผมสามารถช่วยเข้าไป
clear
ให้ได้!
จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นคือ
มีน้องพนักงานใหม่ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ผมขอใช้นามสมมุติว่า “Minami”
วันหนึ่ง “Peter” ซึ่งเป็นลูกค้าประจำในระดับ
High Profile
พาเพื่อนๆผู้สูงอายุของเขา เข้ามาที่ร้านเหมือนเช่นเคย
ผมทักทายกลุ่มของ Peter แต่ตอนนั้นผมติดลูกค้าประจำอีกหลายท่านที่กำลังชวนผมคุยอย่างสนุกสนานอยู่
ผมรู้ดีว่า Peter ชอบสั่งอะไรแปลกๆนอกเมนูปกติ
และผมควรจะเป็นคนที่เข้าไปรับ order ด้วยตัวของผมเอง
แต่ Minami เข้าไปแล้ว เพราะ Peter กำลังเร่งรีบ ทั้งๆที่เขาอยากสั่งจากผมเหมือนเช่นเคย
ผมก็
fingers crossed
ได้แต่ภาวนาว่า Minami จะสามารถ
handle
สถานการณ์นี้ได้ด้วยตัวของเธอเอง!
หลังจากที่ผมเสร็จธุระกับโต๊ะอื่น ผมก็รีบตรงปรี่เข้าไปทักทายทีมของ Peter และพูดคุยกันตามประสาคนรู้จักกัน
แต่ทันทีที่ผม “เหลือบไปมอง” kitchen counter ซึ่งเป็นจุดที่เชฟ นำ orders ที่ทำเสร็จแล้วมาวางพร้อมให้ผมกับ Minami นำไปเสริฟที่โต๊ะลูกค้า
วินาทีนั่นเอง ผมก็อุทานในใจกับตัวเองว่า
Holy Shit!
WTF
is
that!
สิ่งที่ผมเห็นคือ “Temura Prawn” จำนวน 6 ชุด วางเรียงกันพร้อมเสร็จสรรพ!
ผมรีบเข้าไปตรวจสอบว่า โต๊ะไหนสั่งบ้าง
หลังจากสอบถามจากเชฟ ผมก็ได้ความว่า ทั้ง 6 ชุด มากจากโต๊ะของ Peter!!!
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้! ที่ผู้สูงอายุสามท่านจะสั่งเมนูนี้มากขนาดนี้!
ผมจึงหายใจลึกๆหายใจออกยาวๆ แล้วเดินไปถาม Peter ว่า คุณได้สั่งเมนูนี้ 6 ชุด จริงหรือไม่!
Peter ชี้แจงว่า
ปกติ Tempura Prawns หนึ่งชุด จะมีกุ้งสี่ตัว
เขาอยากได้ กุ้ง 6 ตัว เพื่อแบ่งกับเพื่อนๆ คนละสองตัว
เขาเลยบอก Minami ให้สั่งกุ้ง 6 ตัวให้ แต่เธอ คงเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า Peter ต้องการกุ้ง 6 ชุด (24 ตัว!)
สุดท้าย
ผมก็ต้องใช้
interpersonal skills
บวกกับ
personal relationships
ที่ผมสะสมมายาวนานกับ Peter และฝองเพื่อนของเขา ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ และผมก็วิ่งไปขอโทษทีมเชฟในครัวด้วย!
และทุกอย่างก็จบลงด้วยดี หลังจากที่ผมได้ให้ความช่วยเหลือ Minami ในการจัดการกับบทเรียนครั้งนี้!
โฆษณา