6 ก.ค. 2023 เวลา 03:09 • ความคิดเห็น
เมื่อประธานบริษัทหัวเว่ย เขียนบรรยายถึงความผูกพันระหว่างเขากับพ่อแม่ เราจะได้เห็นชีวิตอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีท่านนี้
ในนาทีนี้ ถ้าจะพูดว่าสายตาของคนทั้งโลกกำลังจับจ้องอยู่ที่ประธานบริษัทหัวเว่ย นาย เยิ่น เจิ้ง ฟุย ก็คงไม่ผิด เขาเกิดในปี 1944 ปีนี้อายุ 75 ปี ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยในปี 1987 ในฐานะของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคนหนึ่ง ความชาญฉลาดและความมีวิสัยทัศน์ของเขา ย่อมเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปโดยไม่ต้องสงสัย แต่นักธุรกิจใหญ่คนนี้ กลับเป็นคนเรียบง่าย ไม่ได้วางตัวเหมือนเศรษฐีหรือคนดังทั่วไป ไม่มีเครื่องบินส่วนตัว ไม่มีเรือยอร์ช ไม่มีการวางมาดแบบคนรวย
วันที่ 4 เมษายน 2016 ในวัย 72 ปีของเขา มีชาวโซเชียลแอบถ่ายภาพเขาได้แถวสนามบินในนครเซี่ยงไฮ้ ในขณะนั้นเขากำลังลากกระเป๋าเข้าแถวเพื่อรอขึ้นรถแท็กซี่ นั่นคงไม่ใช่เป็นการสร้างภาพ เพราะก่อนหน้านั้นหลายปี ก็มีผู้คนจับภาพเขาได้บนรถบัสขนถ่ายผู้โดยสารระหว่างเครื่องบินไปยังตึกผู้โดยสาร ทั้งๆที่สายการบินได้จัดรถพิเศษส่วนตัวต้อนรับเขาโดยเฉพาะ แต่เขาปฏิเสธด้วยการเลือกที่จะขึ้นรถบัสคันใหญ่ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่หัวเว่ยคนอื่นๆที่เดินทางกลับมาพร้อมกันในเที่ยวบินนั้น
การวางตัวที่เรียบง่ายของเขา บ่งบอกคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่น่ายกย่องในตัวเขา และหากลองมาอ่านข้อความที่เขาบรรจงเขียนด้วยลายมือของเขาเอง บรรยายถึงความผูกพันระหว่างเขากับพ่อแม่ เราอาจจะได้สัมผัสถึงจิตวิญญาณบางอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับนี้ หรืออาจเป็นเพราะสาเหตุนี้กระมัง จึงทำให้บริษัทหัวเว่ยเจริญก้าวหน้ามาได้ถึงเพียงนี้
*******************
“พ่อแม่ของผม”.......โดย “เยิ่น เจิ้ง ฟุย”
วันสุดท้ายของศตวรรษที่แล้ว ผมรู้สึกละอายใจยังไงบอกไม่ถูก หลังจากเสร็จงานทุกอย่างแล้ว ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินจากปักกิ่งบินสู่คุนหมิงโดยตรง เพื่อไปเยี่ยมแม่โดยเฉพาะ
หลังจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินเสร็จ ผมไม่ได้โทรบอกแม่ ผมรู้ว่าถ้าลองผมโทรไป แม่ก็จะวุ่นวายทันทีตลอดบ่ายวันนั้น ไม่ว่าผมจะถึงกี่ทุ่มกี่ยาม แม่ก็จะเตรียมของกินที่ผมชอบตั้งแต่สมัยผมยังเด็กให้ผม
ผมต้องรอกระทั่งขึ้นนั่งบนเครื่องบินแล้ว ถึงได้โทรบอกแม่ และกำชับแม่ว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด ไม่ต้องเอารถที่บ้านมารับ เดี๋ยวผมขึ้นแท็กซี่กลับเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะได้อยู่กับแม่อย่างเต็มที่สักที
จำได้ว่าบ่อยครั้งที่ไปเยี่ยมแม่ พอลงจากเครื่องก็จะถูกเจ้าหน้าที่ของหัวเว่ยที่คุนหมิงรับตัวไปทันที ต้องตระเวนเยี่ยมลูกค้าที่สำคัญๆ แต่ละรายจำต้องไปเยี่ยมถึงที่ทำงาน รายทีสำคัญจริงๆอาจต้องร่วมทานข้าวด้วย ยุ่งจนไม่มีเวลาอยู่บ้าน สุดท้ายได้เวลากลับบ้านก็เพื่อไปร่ำลาแม่ แล้วรีบหยิบสัมภาระบึ่งตรงไปสนามบินเพื่อให้ทันเที่ยวบิน
แม่เพียรเฝ้ารอเวลาที่ลูกชายมาเยี่ยม รอวันรอคืนรอจนได้เห็นหน้าลูกชาย หวังว่าจะได้มีโอกาสพูดคุยกันตามภาษาแม่ลูก แต่ก็ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเช้าของวันที่แสนธรรมดาวันหนึ่ง แม่หิ้วกับข้าวสองถุงเล็กๆออกจากตลาด แล้วก็โดนรถยนต์ชนเข้าอย่างจังจนบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นผมอยู่อิหร่าน พอได้รับข่าวก็รีบบินกลับบ้าน ต้องต่อเครื่องหลายทอดระหว่างทางบินกลับบ้าน ตอนรอต่อเครื่องที่ดูไบก็ปาไปหกชั่วโมงครึ่ง ใจคอร้อนรนเกินบรรยาย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังเจอพายุฝนถล่มสนามบินดูไบ จนเครื่องต้องออกช้าไปอีกสองชั่วโมง พอเครื่องมาถึงกรุงเทพก็ปรากฏว่าต่อเครื่องไม่ทันเสียแล้ว เพราะช้าไปสิบนาที กว่าจะกลับถึงคุนหมิงได้ก็เป็นยามวิกาลแล้ว
ผมรีบตรงไปหาแม่ สภาพที่เห็นจึงทำให้รู้ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว หัวของแม่ถูกกระแทกจนเละไปหมด การเต้นของหัวใจและการหายใจล้วนต้องใช้เครื่องช่วย ไม่มีใครยอมบอกสภาพความเป็นจริงให้ผมทราบตอนแจ้งผมทางโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าผมจะรับสภาพไม่ไหวระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมเห็นแม่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่มีสีหน้าแห่งความกังวล ไม่มีความทุกข์ร้อน ดูเหมือนทั้งชีวิตของแม่ ไม่เคยได้มีโอกาสพักผ่อนเต็มที่แบบนี้มาก่อนเลยก็ว่าได้
ผมเสียใจมากที่ไม่ได้โทรหาแม่สักครั้งตอนอยู่อิหร่าน เพราะไม่ว่าผมจะเดินทางไปไหน ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ เวลาโทรหาแม่ แม่ก็จะพูดว่า "ลูกต้องเดินทางอีกแล้วเหรอ" "ดูแลสุขภาพด้วยนะ สงสัยลูกจะแข็งแรงสู้แม่ไม่ได้" "อายุแค่นี้ก็มีสารพัดโรคมารุมเร้า แย่จัง" "งานเลี้ยงเยอะแยะ ระวังตัวเลขเบาหวาน
จะพุ่งกระฉูด" ตอนนั้นผมแค่กังวลว่าสภาพในอิหร่านค่อนข้างไม่เอื้ออำนวย หากผมโทรหาแม่ แม่ต้องยิ่งกังวล แล้วก็จะบ่นนี่เตือนนู้น ไหนๆก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมแม่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เลยไม่ได้โทร นี่เป็นสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต ถ้าหากผมโทรหาแม่ในตอนนั้น อาจทำให้แม่ออกจากบ้านช้าไปสักนาทีสองนาที แม่อาจจะรอดพ้นจากเคราะห์กรรมในครั้งนั้น ความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ มันยากที่จะลบเลือนจากใจผม
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าแม่ แล้วแม่ที่เหนื่อยล้ามาทั้งชีวิตก็จากผมไปอย่างสงบ
********************
ในปี 1995 พ่อได้ซื้อเครื่องดื่มที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกที่วางขายตามฟุตบาทในคุนหมิง เมื่อดื่มแล้วก็เกิดอาการท้องเสียอย่างต่อเนื่อง กว่าจะถึงมือหมอก็ปรากฏว่าร่างกายพ่อขาดน้ำอย่างรุนแรง จนทำให้พ่อต้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา
คุณพ่อ เยิ่น โม๋ ชวิน เป็นครูประจำหมู่บ้านมาทั้งชีวิต คุณแม่ เยิ่น เหวี่ยน จาว เป็นคนสวนที่แสนธรรมดาคนหนึ่ง ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญและยากจนมากๆ
พ่อเดินทางมาสู่หมู่บ้านนี้ในฐานะทหารของกองทัพปลดแอก แล้วก็ได้ร่วมกันสร้างโรงเรียนมัธยมให้กับหมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยแห่งนี้ เมื่อสร้างเสร็จก็ได้ปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายสิบปี พ่อกลายเป็นครูประจำหมู่บ้าน ลูกศิษย์ลูกหาของพ่อมีไม่น้อยที่กลายเป็นสมาชิกระดับบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์ มีบางคนกลายเป็บุคคลสำคัญในวงการศึกษาระดับประเทศ แต่พ่อผมก็ยังเป็นครูจนๆที่แสนต่ำต้อยเหมือนเดิม
ตอนกำลังจะเข้าสู่ยุควัยรุ่น ความจำที่ฝังแน่นอยู่กับผมมากที่สุด ก็คือเหตุการณ์ที่ต้องฝ่าฟันวิกฤตภัยแล้งติดต่อกันสามปีซ้อนพร้อมกับพ่อ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ความอดอยากความหิวโหยที่แสนทรมานตลอดช่วงสามปีนั้น มันยากที่จะถูกลืมเลือน ทุกวันนี้พอนึกถึงทีไรก็ยังมีความประหวั่นใจไม่เคยลด
เรามีพี่น้องด้วยกันเจ็ดคน รวมพ่อแม่ก็เป็นเก้าคน ทั้งหมดก็ต้องพึ่งพารายได้อันน้อยนิดจากพ่อแม่ ไม่มีทางที่จะหารายได้อย่างอื่นมาเสริม เพราะหมู่บ้านที่แสนจนแห่งนี้ไม่เอื้อให้ทำมาหากินพิเศษอะไรได้เลย แท้จริงชีวิตก็ยากลำบากอยู่แล้ว แล้วลูกๆก็โตวันโตคืน เสื้อผ้าก็ทั้งคับทั้งสั้นลงไปทุกวัน แต่ที่บ้านส่งให้
ทุกคนไปเรียนหนังสือ ถึงค่าใช้จ่ายทั่วๆไปจะสูง แต่พ่อแม่ก็กัดฟันทน แม้ค่าเล่าเรียนจะแค่สองสามหยวนต่อคนต่อเทอมก็ตาม แต่พอถึงเวลาจ่ายค่าเทอม แม่จะมีสีหน้ากังวลทุกครั้ง ผมเห็นแม่ต้องเที่ยวไปขอยืมเงินจากคนอื่น บ่อยครั้งที่ผมเห็นแม่เดินไปตั้งหลายบ้าน แต่ยืมเงินไม่ได้สักแดง
แม้จะเรียนจบมัธยมปลายไปแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยได้มีโอกาสใส่เสื้อเชิ้ตเหมือนชาวบ้านสักที เสื้อผ้าของผมก็เหมือนของพ่อ คือไปนำเอาชุดทหารเก่าๆมาตัดดัดแปลงเป็นเสื้อคลุมหลวมๆ ถึงอากาศจะร้อนแค่ไหน แต่ผมก็ยังต้องใส่เสื้อคลุมหนาๆของผมทุกวัน เพื่อนๆยุให้ผมไปขอให้แม่ซื้อเสื้อเชิ้ตให้สักตัว แต่ผมไม่กล้า เพราะผมรู้ว่านั่นจะเป็นการสร้างภาระอันใหญ่หลวงให้
ที่บ้าน จนกระทั่งผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่มอบเสื้อเชิ้ตใหม่ให้ผมสองตัว ผมรับเสื้อจากมือแม่ ไม่ได้ดีใจ แต่กลับอยากร้องไห้ เพราะผมรู้ว่าเพราะเสื้อเชิ้ตสองตัวนี้ จะเป็นเหตุที่จะทำให้น้องๆของผมมีชีวิตที่ยากลำบากยิ่งๆขึ้น
ตอนนั้นบ้านเราใช้ผ้าห่มร่วมกันสองสามคนต่อผืน เบาะที่นอนของเราคือฟางหญ้าแห้ง ผมต้องย้ายไปอยู่หอตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมต้องมีผ้าห่มติดตัวไปหนึ่งผืน นั่นคือปัญหาใหญ่ของที่บ้าน แม่เลยคิดหาวิธีด้วยการไปเก็บผ้าห่มเก่าๆที่นักเรียนอยู่หอทิ้งไปหลังเรียนจบมัธยมแล้ว แม่เอามาตัดต่อและเย็บเป็นผืนใหม่ พอซักเสร็จก็พอใช้งานได้ ผ้าห่อผืนนั้นอยู่กับผมเป็นเวลาห้าปีตลอดเวลาที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย
ตอนนั้นในบ้านเราเองก็ต้องมีระบบควบคุมอาหารการกินอย่างเคร่งครัด ทุกคนมีข้าวกินพอเหมาะ อาจจะกินกันไม่อิ่มแต่ไม่อดตายแน่นอน หากไม่ทำเช่นนั้น ผมเชื่อว่าต้องมีน้องๆผมตายไปสักคนสองคนเพราะหิวตาย ทำให้เข้าใจคำว่า "ชีวิตต้องอดทน" ได้อย่างลึกซึ้ง
ตอนใกล้จบมัธยมปลาย บางครั้งตอนทบทวนบทเรียนอยู่ในบ้าน ผมหิวจนทนไมไหว ต้องไปหยิบเอาแกลบมาปั้นกับใบผัก นำไปปิ้งแล้วกินประทังความหิว พ่อแอบเห็นการกระทำของผมหลายครั้ง ผมรู้ว่าพ่อสงสารผม แท้จริงที่บ้านผมจนเสียจนไม่มีตู้เก็บเสบียงอาหารที่สามารถล็อกได้สักใบ เสบียงอาหารทั้งหมดวางอยู่ในหม้อ แต่ผมก็ไม่กล้าคิดที่จะแอบไปหยิบเอามากินแก้หิวเลยสักครั้ง
ก่อนสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยสามเดือน ตอนเช้าแม่มักจะแอบยื่นพายข้าวโพดชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งมาให้ผม แม่บอกให้ผมตั้งใจเตรียมตัวสอบให้ดี จนสุดท้ายผมก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ผมหมายมั่นจนได้ ต้องขอบคุณบุญคุณของพายข้าวโพดที่แม่หยิบยื่นให้
เพราะถ้าไม่มีพายข้าวโพดในวันนั้น ก็อาจจะไม่มีบริษัทหัวเว่ยในวันนี้ ผมอาจจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเลี้ยงหมู หรือบนฟุตบาทที่ไหนสักแห่งอาจมีช่างซ่อมรองเท้าเพิ่มขึ้นอีกคน พายข้าวโพดชิ้นเล็กๆชิ้นนั้น เป็นเสบียงที่ผมหยิบมาจากปากของพ่อแม่และน้องๆของผมทุกคน ผมต้องตอบแทนบุญคุณทุกคนให้ได้
ผมยังจำที่พ่อเคยสอนผมไว้ว่า "จงจำไว้ ความรู้คือพลัง คนอื่นไม่เรียน แต่เราต้องเรียน ไม่ต้องไปตามกระแส" "อีกหน่อยถ้ามีความสามารถก็ต้องช่วยเหลือน้องๆ" ภาระอันใหญ่หลวงที่ผมแบกไว้ ทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ คณิตศาสตร์ที่ผมต้องทวนแล้วทวนอีก ตรรกวิทยา ปรัชญา ภาษาต่างประเทศ ผมตั้งหน้าตั้งตาหาโอกาสขวนขวายหาทางเรียนด้วยตัวผมเองตั้งแต่ตอนอยู่มัธยมปลาย เพราะผมตั้งปณิธานของผมไว้ว่าผมต้องสอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยที่ผมมุ่งมั่นให้จงได้
ตอนนี้มาหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาทั้งหมด ผมรู้สึกระอายใจต่อพ่อแม่ ตอนยังไม่มีฐานะก็ยังไม่มีปัญญาดูแลท่าน แต่พอตอนมีฐานะดีแล้วก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่กับท่าน
คุณพ่อคุณแม่ครับ แม้ลูกจะตะโกนกู่ร้องเรียกท่านอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้ท่านคืนมา
ผู้ที่เสียชีวิตก็ได้จากไปแล้ว แต่ผู้มีชีวิตที่ยังอยู่อย่างผม จะต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้ท่านผิดหวัง ผมสัญญา
โฆษณา