วิวแสนสวย ของนอยชวานสไตน์ จากสะพานที่โด่งดังไปทั่วโลก กรณีสองสาวถูกโยนลงจากสะพาน

เที่ยวไปทั่วกับหมอเฉลิมชัยในทริปนี้ อาจเรียกชื่อเป็นการเฉพาะครั้งนี้ว่า “ทริปหอยทาก”
เนื่องจากเป็นทริปที่วางแผนการท่องเที่ยวในแต่ละจุด แบบใช้เวลามากเป็นพิเศษ เพื่อต้องการซึมซับอรรถรสของสถานที่ในแต่ละจุด อย่างชนิดเต็มอิ่มและเต็มที่ อย่างที่ใจปรารถนา
ทริปหอยทาก ดื่มด่ำ ช้าช้า
แต่หอยทากซึ่งเดินทางแบบเชื่องช้าตัวนี้ ก็มีความขยันขันแข็งมากคือ ออกเดินตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับถึงโรงแรมก็ค่ำมืดดึกดื่นเกือบทุกวัน
ทริปหอยทากครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปเที่ยวสามประเทศในยุโรปแสนสวยและโรแมนติก ตามลำพังกันเองเพียงสองคน
สถานที่หอยทากแวะไปเยือน
โดยมีการกำหนดการท่องเที่ยวไว้นานถึง 15 วัน เป็นการเจาะลึกเทือกเขาแอลป์แสนสวยของยุโรป
ในส่วนของเยอรมนีตอนใต้ ออสเตรีย และอิตาลีตอนเหนือเน้นโดโลไมต์
1
โดยการเช่ารถขับเอง 11 วันเต็ม และเมื่อเดินทางมาถึงมิวนิค จึงใช้ขนส่งสาธารณะต่ออีก 4 วัน
เราเริ่มเดินทางด้วยสายการบินเอมิเรตส์ เพราะเวลาและค่าใช้จ่ายลงตัวพอดี
ตัดสินใจเดินทางในชั้นประหยัดเพราะทราบข้อมูลรายละเอียดของเครื่อง A-380 ว่ามีระยะห่างทั้งด้านข้างกับผู้โดยสารคนอื่น และด้านหน้า มากพอที่จะทำให้นั่งได้สะดวกสบาย
เครื่อง A 380 ใหญ่ที่สุดในโลก
โดยมีเกร็ดที่สำคัญคือ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกไม่มากนัก เลือกชั้นประหยัดที่อยู่ชั้นบน (Upper Deck) ของตัวเครื่อง และเลือกแถวริมหน้าต่าง
1
จะมีที่นั่งเพียงสองที่นั่ง ไม่ต้องมีคนอื่นมานั่งข้างๆเราเลย มีช่องให้เก็บของริมหน้าต่างเหมือนที่นั่งชั้นธุรกิจทุกประการอีกด้วย
ชั้นบนริมหน้าต่าง จะนั่งเพียงสองแถว
โดยเป็นการเดินทาง 2 ช่วง ช่วงละ 6 ชั่วโมง พักประมาณ 3-4 ชั่วโมงที่ดูไบ ถือว่ากำลังดีทีเดียว
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินมิวนิก เราก็ไปรับรถที่จองไว้ล่วงหน้าคือ เบนซ์
แต่หนุ่มบริษัทรถเช่าเยอรมนีอารมณ์ดีแนะนำว่า ไม่ควรเช่าเบนซ์หรือบีเอ็ม แม้เป็นยี่ห้อดังของเยอรมันก็ตาม
เนื่องจากทราบว่า เราจะต้องไปขับรถในอิตาลีหลายวัน
ก็เลยถามว่า รถทั้งสองยี่ห้อดังกล่าวไม่เหมาะอย่างไร
ได้รับคำตอบจากหนุ่มเยอรมันใจดีว่า แบรนด์ทั้งสองเป็นรถหรู เสี่ยงต่อการถูกทุบกระจกขโมยข้าวของ และมีกรณีเกิดขึ้นหลายรายแล้ว
รถที่ได้รับคำแนะนำ
แนะนำให้เราใช้รถคุณภาพดีเยี่ยม แต่ยี่ห้อไม่เตะตาคนร้าย นั่นก็คือ SKODA ซึ่งทราบว่าเป็นของ เช็กโกสโลวะเกียเก่า แต่ถูกซื้อมาโดยโฟล์คของเยอรมัน
1
หนุ่มอารมณ์ดี บรรยายว่ารถดีสารพัดอย่าง ว่าอย่างนั้นเถอะ ได้รถขนาดใหญ่ขึ้นมานิดนึง ที่สำคัญคือใหม่เอี่ยม
โดยเราจะใช้เป็นคนแรก เหมือนขับรถป้ายแดง ยังไง ยังงั้นเลย สารพัดเหตุผลดังกล่าว คำตอบจึงชัดเจนว่า เอาก็เอา
ค่าเช่าบวกค่าประกันภัยชั้นหนึ่งรวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติมใดใดอีกแล้ว คิดเฉลี่ยตกวันละ 5000 บาท ถือว่าไม่ถูก แต่ก็ไม่แพง
ใบรับรถ พร้อมประกันภัย และกุญแจ
เมื่อได้รถแล้ว ก็มีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อย นอกจากจะไม่คุ้นเคยในการขับ เพราะจะต้องปรับการขับรถจากชิดซ้ายเป็นชิดขวาเป็นวันแรกแล้ว
ตอนรับกุญแจรถจากหนุ่มเยอรมันรถเช่า หนุ่มก็ได้เขียนตำแหน่งที่จอดรถซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่งว่า รถหมายเลขทะเบียนอะไร จอดอยู่ที่ชั้นไหน ล็อกที่จอดที่เท่าไหร่ บนกระดาษเปล่าแผ่นเล็กๆ
เราทั้งสองก็ลากกระเป๋าใบใหญ่และใบเล็ก รวมทั้งต้องสะพายกล้องพะรุงพะรัง ไปยังรถเช่า
แบรนด์ SKODA
รถ SKODAนี้ต้องถือว่าหน้าตาใช้ได้เลยทีเดียว ภายในกว้างขวาง วางกระเป๋าได้สบายสบาย
พอจะออกจากที่จอดรถ ก็พบปัญหาคือ เครื่องควบคุมการเข้าออกอัตโนมัติบอกให้เราเสียบ Ticket ก่อนจะนำรถออกไปได้ ซึ่งเราไม่มีและไม้กระดกก็ไม่ยอมเปิดให้เราออกด้วย
นอกจากนั้นเครื่องยังดับสนิท สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ยอมติด
คนใกล้ตัวต้องลงไปบอกรถคันหลังที่มาต่อคิวจากเราว่า ให้ไปเข้าช่องอื่น เพราะรถของเรามีปัญหา
จึงได้ทราบว่า เค้าเองก็ได้บัตรกระดาษเล็กๆเขียนบอกตำแหน่งที่จอดรถเช่าเหมือนกับเรา
แต่โชคดีที่เขาได้พลิกข้างหลัง แล้วเห็นว่ามีบาร์โค้ดอยู่ จึงทราบว่ากระดาษเปล่าที่เราเข้าใจว่าเป็นเศษกระดาษเขียนบอกตำแหน่งที่จอดรถนั้น จริงๆแล้วเป็น Ticket ที่จะนำรถออกจากที่จอดรถนั่นเอง
Ticket เจ้าปัญหา
โชคดีมาก ที่ไม่ได้โยนกระดาษดังกล่าวทิ้งไป เพราะตอนที่เราเจอรถแล้วนั้น ความคิดแวบหนึ่งคือ จะทิ้งกระดาษดังกล่าวไป เพราะไม่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว
จึงสามารถนำรถเช่าออกจากที่จอดรถมาได้เป็นที่เรียบร้อย
นี่ถ้าโยนทิ้งกระดาษดังกล่าวไป คงต้องเดือดร้อน ไปรื้อค้นในถังขยะกันให้วุ่นทีเดียว
เราขับรถออกจากสนามบิน ตรงไปที่พักโรงแรม Muller ซึ่งได้วางแผนจองล่วงหน้ามาเป็นการเฉพาะเจาะจง
เพราะจะสามารถทำให้เราได้ถ่ายภาพปราสาทแสนสวย นอยชวานสไตน์ (Neuschwanstein) แบบไม่มีผู้คนเกะกะในภาพได้
ปราสาทที่ถือกันว่างดงามที่สุดในโลก
กล่าวคือ Muller เป็นโรงแรมสวยน่ารักมาก แต่คนไม่ค่อยจะพักกัน และคนไทยไม่ค่อยรู้จัก โดยอยู่ใกล้กับปราสาทนอยฯมาก
ในระหว่างทางที่ขับรถไปตามถนนสาย 17 นั่นเอง เราได้เลือกเส้นทางที่เป็น Backroad แบบชนบทบ้านบ้าน
ถนนเส้นรองในชนบทของเยอรมนี
ทำให้ได้เห็นบรรยากาศท้องทุ่งเขียวขจี ที่เต็มไปด้วยดอกหญ้าและดอกไม้ป่าหลากสีสัน ต้นไม้ หมู่บ้านและภูเขา ในช่วงฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน สวยงามจับตาจับใจมากทีเดียว
ดอกหญ้าและดอกไม้ป่าบานสะพรั่งไปทั่ว
ได้เห็นวิวสองปราสาทและหนึ่งโบสถ์อยู่ในเฟรมเดียวกันด้วย
จึงพยายามหาที่จอดรถข้างทางที่ปลอดภัยด้วยความยากลำบาก เพราะเป็นถนนขนาดเล็กในชนบทของเยอรมัน
หาที่จอดริมทางแบบปลอดภัยสำเร็จ
เมื่อโชคดีหาที่จอดรถข้างทางได้แล้ว ก็ลงไปถ่ายรูปทั้งด้วยกล้องและโทรศัพท์มือถือ จนเป็นที่พอใจ
ครบทุกซอกทุกมุมของปราสาททั้งสองคือ ปราสาทนอยชวานสไตน์ และประสาทโฮเฮนชวานกา (Hohenschwangau) ส่วนโบสถ์ที่อยู่ในเฟรมเดียวกันนั้นคือ St.Coloman ซึ่งสวยงามมาก
ภาพปราสาทสวย จากริมทางถนนชนบท
เมื่อถ่ายรูปจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ขับรถขยับต่อมาอีกไม่ไกลนัก พบซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างทางเล็กๆ จึงแวะลงไปซื้อผลไม้และอาหารสดบางอย่าง
เมื่อกลับออกมาขึ้นรถ ก็ต้องประหลาดใจถึงขั้นร้อง WOW เพราะวิวเฟรมเดียว แต่มีสองปราสาทและหนึ่งโบสถ์นั้น สามารถเห็นได้โดยง่ายดายจากหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่เอง
ร้านริมทาง ที่เห็นวิวปราสาททั้งสองและโบสถ์เช่นกัน
หลังจากนั้นเราก็ขับรถต่อ อีกไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่พัก
โรงแรม Muller ดังกล่าวนี้ คนใกล้ตัวเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าและกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีแล้ว
Muller โรงแรมน่ารักที่เราเลือก
จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงคืออยู่ใกล้กับสองปราสาทเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นการเลือกพักที่โรงแรมแห่งนี้ ทำให้ประหยัดค่าจอดรถ เพราะถ้าพักที่โรงแรมอื่นแล้วขับรถมาจอดบริเวณที่จะขึ้นรถบัสไปชมปราสาทนอยฯ จะต้องเสียค่าจอดรถ
ที่ตั้งของโรงแรมที่เราพัก สดวกมาก
แต่เมื่อเราพักที่ Muller Hotel เราไม่ต้องเสียค่าจอดรถ เพราะแขกของโรงแรมจะจอดรถที่โรงแรมนี้ฟรี แล้วเราสามารถเดินไปขึ้นรถบัสได้เลย เพราะอยู่กันใกล้กันมาก
เมื่อออกมาที่ระเบียงหน้าห้องพัก ทางซ้ายจะเห็นปราสาทนนอยฯ ส่วนทางด้านหลังจะเป็นปราสาทโฮเฮนฯ
ปราสาททั้งสองแห่ง
และยังอยู่ติดกับทะเลสาบ Alpsee อีกด้วย ราคาก็ไม่แพง สถาปัตยกรรมภายนอกและการตกแต่งภายในล้วนสวยงามจับใจ
ทั้งห้องพัก ล็อบบี้ และห้องอาหาร
บรรยากาศสวยงามน่ารักของโรงแรม
นอกจากนั้นที่สำคัญมาก โรงแรมนี้จะทำให้เราสามารถขึ้นไปถ่ายรูปปราสาทนอยฯจากสะพานมาเรียได้เป็นกลุ่มแรก แบบปราศจากผู้คนอีกด้วย
เพราะรถบัสที่จะพานักท่องเที่ยวขึ้นไปยังปราสาทนอยฯนั้น อยู่ติดกับโรงแรมของเราเลย
โดยเราวางแผนตื่นแต่เช้า แล้วไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบก่อน ในหน้าร้อนแบบนี้ ตีห้าฟ้าก็สว่างเรียบร้อยแล้ว
ทางเดินแสนสวยที่จะไปยังทะเลสาบ
ได้พบเหตุการณ์น่าตื่นเต้นที่ทะเลสาบ (จะเล่าให้ฟังในตอนต่อไป) คือมีสาวน้อยเยอรมัน 4 คน มาถอดเสื้อผ้าว่ายน้ำตั้งแต่เช้า
ทั้งทะเลสาบ มีเพียงเธอ 4 คนที่อยู่ในน้ำ และเราอีก 2 คนที่อยู่บนบก อ้อยังมีหงส์สีขาวอีกจำนวนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนในทะเลสาบด้วย
หงส์ขาวที่อยู่เป็นเพื่อนกับ 4 สาวน้อย
เราทั้งสองคน ได้เดินลัดเลาะริมทะเลสาบ ดื่มด่ำกับธรรมชาติแสนสวย เก็บภาพวิวทิวทัศน์รอบทะเลสาบไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ซึ่งไม่มีผู้คนเลย นอกจาก 4 สาวน้อยดังกล่าว
จึงได้มุมภาพที่สวยงาม และไม่มีผู้คนปะปนอยู่ในเฟรมของเราเลย
เรากลับมาที่ป้ายรถบัส เพื่อขึ้นรถเที่ยวแรกสุด ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มักจะพักอยู่ในเมือง Fussen ยังเดินทางมาไม่ถึง
เมือง Fussen
มีผู้โดยสารบนรถเพียง 4 คน ซึ่งรวมเรา 2 คนแล้วด้วย
และโชคดีมาก ที่ 2 คนดังกล่าว ได้แยกลงไปเดินป่าก่อน
ทำให้เรากลายเป็นเพียงสองคนที่จะเดินไปบนสะพานมาเรีย
รถบัสที่จะพาเราไปยังสะพานมาเรีย
สะพานดังกล่าว ผู้เขียนเพิ่งได้เขียนบทความ ซึ่งเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกว่า มีชายอเมริกันวัย 30 ปีเศษโยนหญิงสาววัย 20 และ 21 ปีลงมาจากสะพานดังกล่าว เสียชีวิตหนึ่งราย และบาดเจ็บสาหัสหนึ่งราย
ข่าวโด่งดังเรื่องสะพานมาเรียกับปราสาทนอยฯ
โดยขณะที่เป็นข่าวและเขียนบทความนั้น ผู้เขียนได้วางแผนที่จะมาชมปราสาทนอยฯและสะพานมาเรียอยู่ก่อนแล้วด้วย
เมื่อลงจากรถ เดินไปเพียงเล็กน้อย ก็มาถึงสะพานมาเรียอันโด่งดัง เพราะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาถ่ายภาพปราสาทนอยชวานสไตน์ เนื่องจากเป็นมุมที่จะได้ภาพชัดเจนและสวยงามที่สุด
มุมมองจากสะพานมาเรีย
ในครั้งนี้ ผู้เขียนมีความรู้สึกตื่นเต้นประกอบไปด้วยว่า สะพานดังกล่าวเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้เอง ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ ชายหนุ่มโยนร่างหญิงสาวลงไปถึงสองคน
เมื่อก้มลงไปดูจากสถานที่จริง ก็เห็นว่าน่ากลัวมาก เพราะสูงกว่า 50 เมตร โอกาสที่จะตกลงไปแล้วรอดนั้น เป็นไปได้ยากมากทีเดียว
เก็บภาพสวยสวย อย่างสบายใจ ไม่ต้องเร่งรีบ
เมื่อเราเป็นเพียงสองคนที่ขึ้นมาบนสะพานดังกล่าว จึงสามารถเลือกมุมถ่ายภาพต่างๆของปราสาทนอยฯ โดยที่ไม่มีผู้คนมารบกวนเราเลย
รวมทั้งได้ถ่ายภาพบนสะพานมาเรียได้อย่างสะดวกมากมาก ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนก็ตาม
ภาพที่ได้รับรางวัล Photo of the Day
จนภาพถ่ายของผู้เขียน ได้รับรางวัล Photo of the Day จาก WeatherShot อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยได้รับรางวัลมาแล้วจากทริปของนอร์เวย์
3
อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากลงมาจากรถบัสเที่ยวที่สอง ต่างขึ้นมาเดินเบียดเสียดยัดเยียดกันบนสะพานเต็มไปหมด
ผู้คนแห่กันขึ้นมาถ่ายภาพบนสะพานมาเรีย
นึกในใจว่าโชคดีมากๆ ที่ได้วางแผนเลือกโรงแรมดังกล่าว ทำให้สามารถขึ้นมาถ่ายภาพปราสาท ได้ภาพวิวแห่งความฝัน จากปราสาทที่สวยราวเทพนิยาย โดยที่ไม่มีผู้คนมาปะปนในขณะถ่ายภาพเลย
ในขาลง รถบัสก็มีเพียงสองคนเท่านั้น เพราะยังไม่มีใครเสร็จสิ้นจากการท่องเที่ยว จึงไม่ต้องใส่หน้ากากป้องกันโควิดอีกด้วย
รถว่างมากในขาลงมา
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมแล้วจึงค่อยทานอาหารเช้า แล้วขับรถไปเที่ยวเมือง Fussen แสนสวยต่อไป
โฆษณา