11 ก.ค. 2023 เวลา 05:05 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะพื้นฐาน 3 หุ้น ธุรกิจพลังงาน เตรียมได้รับประโยชน์ “Heat Wave” ในสหรัฐ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและความต้องการใช้พลังงานของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศสหรัฐฯ ที่กำลังจะเผชิญกับ คลื่นความร้อน (Heat Wave) แบบฉับพลัน ทำให้มีความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้นในการทำความเย็น
หากดูจากมุมมองดังกล่าวก็อาจทำให้นักลงทุนหลายคนประเมินว่าไม่มีผลต่อบริษัทจดทะเบียนไทยมากนัก แต่ในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็มีมมุมมองการลงทุนที่น่าสนใจและสามารถสอดคล้องไปกับสถานการณ์ดังกล่าว ผ่านมุมมองจากนักวิเคราะห์ที่เราได้เอามาแบ่งปันในครั้งนี้
โดยนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้มุมมองว่า ในประเทศสหรัฐฯได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ โดยอากาศมีปริมาณความร้อนมากกว่าปกติอย่างรวดเร็วในระยะเวลาหนึ่งและอุณหภูมิที่เพิ่มสูง หรือ คลื่นความร้อน (Heat Wave) จึงทำให้มีความต้องใช้ไฟฟ้าในการเพิ่มความเย็นมากขึ้น
1
ขณะเดียวกันก็คาดการณ์จากสถานการณ์ข้างต้นก็มีโอกาสที่ทางฝั่งยุโรปที่เร่งสต๊อกก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเร็วกว่าคาดการณ์เดิมหรือเป็นช่วงก่อนเดือนตุลาคม เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดกว่าปกติ ก็มีโอกาสที่สภาพอากาศของยุโรปที่หนาวจัดจะหนาวกว่าภาวะปกติ ได้เช่นกัน
สำหรับภายใต้สถานการณ์จะช่วยให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็นบริษัทจดทะเบียนไทยที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯและธุรกิจแก๊สธรรมชาติในสหรัฐฯ ซึ่งประกอบไปด้วย BANPU , BPP และ PTTEP
ทั้งนี้ BANAPU บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท นักลงทุนระยะสั้นสามารถเข้าเก็งกำไรตามการรีบาวด์ของราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และถ่านหินรวมทั้งเป็นหุ้นพลังงานที่มีความเสี่ยงจากนโยบายแทรกแซงพลังงานจำกัด
ขณะที่นักลงทุนระยะกลางสามารถทยอยสะสม คาดหุ้นจะฟื้นตัวได้ดีช่วงไตรมาส 4/66 ตามอุปสงค์การ Restocking รองรับอุปสงค์ช่วงฤดูหนาวของยุโรป นอกจากนี้มูลค่าเหมาะสมยังมีอัพไซด์เพิ่มเติมจากการนำหุ้น BKV เข้าจดทะเบียนในตลาด NYSE ซึ่งจะช่วยปลดล็อกมูลค่าให้แก่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่เติบโตสูงในอนาคต (การปรับตัวขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติจะช่วยเพิ่มโอกาสในการ Spin-off)
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/66 คาดจะชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ว่าปริมาณผลิตถ่านหินเหมืองออสเตรเลีย -อินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่เพียงพอต่อการปรับตัวลงของราคาขายถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ จากแรงกดดันอุปสงค์ของภูมิภาคตะวันตกลดลงตามฤดูกาล, ปริมาณสำรองในยุโรปอยู่ระดับสูงและอุปสงค์ในภูมิภาคได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า
ด้าน BPP บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 15.30 บาท เนื่องจากในระยะกลางบริษัทมีประเด็นให้เก็งกำไร อย่างการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาดไม่ต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 2/66-3/66
ทั้งนี้ในเบื้องต้นคาดกำไรปกติไตมาส 2/66 ที่ระดับ 1 พันล้านบาท เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงเป็นจุดสูงสุดของปี ตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ(เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูง) และส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้า SLG ที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า หลังต้นทุนถ่านหินในจีนปรับตัวลงและไม่มีการหยุดจ่ายไฟฟ้าเพื่อซ่อมแซม Grid เหมือนในไตรมาส 1/66
สุดท้าย PTTEP บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 175 บาท แม้ว่าคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 2/66 ที่ 1.81 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 12% และลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 6% ตามปริมาณขายเฉลี่ยและราคาขายเฉลี่ย(Blended ASP) ที่ลดลง จากการเปลี่ยนสัญญาสัมปทานของโครงการบงกชเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิตของโครงการ G2/61 (บงกช)
แต่อย่างไรก็ดี บริษัทจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มปริมาณขายเฉลี่ยและราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปี 2566 โดยมีแรงผลักดันจากการเร่งการผลิตของโครงการ G1/61 ที่ตั้งเป้าจะผลิตให้ได้ถึง 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภายในสิ้นปี และแผนการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก พลัส
โฆษณา