ทุกตัวละครมาอยู่ในสถานที่เดียวกันและเผชิญ point of no return ในเหตุการณ์ร่วมกันและพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงแม้ทุกอย่างจะเป็นเรื่องแต่งที่แสดงบนเวทีแต่ก็จริงอย่างถึงที่สุด เพราะว่าถ้าใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปแล้ว hyperreality ก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ในใจผู้ชมอย่างง่ายดาย
ประโยคที่เป็นหัวข้อนั้น หากได้รับชมภาพยนตร์มาแล้วก็จะรู้ทันทีว่ามีการย้ำถึงประโยคนี้มากๆ เหมือนกับพยามทำให้บทสรุปของทุกอย่างเป็นไปดังประโยคนี้ กลายเป็นว่าต้องมานั่งคิดทบทวนว่าผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไร บางทีอาจจะไม่ต้องคิดมากเพราะจริงๆมันเป็นเพียงคำตอบที่ตัวละครหลักของเรื่องกำลังตามหาอยู่ก็เท่านั้น เสน่ห์ของ hyperreality ก็คือถึงแม้ว่า art direction จะดูมีความห่างจากความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน วิธีการเล่าเรื่องที่เป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์ และละครเวที ก็จะทำให้ทุกอย่างที่เห็นดูเกิดขึ้นจริงได้ทั้งหมด
ภาพยนตร์แนวนี้กับอนิเมชั่นมีส่วนที่เหมือนกันก็คือ story board ที่ชัดเจนจะทำให้กระบวนการสร้างมีความสมบูรณ์แบบและควบคุมได้ และการที่ระหว่างดูภาพยนตร์แล้วในขณะเดียวกันก็นึกถึงการสร้างเบื้องหลังที่มีความเฉพาะตัวก็เป็นเสน่ห์ที่มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่สามารถให้ผู้เขียนได้จริงๆ เพราะกระบวนการสร้างภาพยนตร์ก็เป็นหนึ่งในความสนใจของผู้เขียนด้วย เพราะสิ่งที่ยากกว่าการสร้างภาพยนตร์ ก็คือการสร้างภาพยนตร์และยังมีคนแนะนำให้ดูในอีกหลายทศวรรษข้างหน้าจนกลายเป็นที่จดจำในทางที่ดี
สิ่งที่ผู้กำกับได้พัฒนาขึ้นมาเทียบกับผลงานก่อนหน้า ก็คือการทำให้ตัวละครมี moment ในชั่วขณะหนึ่งเป็นของตัวเอง การสื่อสารผ่านทางอารมณ์มีส่วนช่วยในการเข้าใจตัวละครเมื่อเทียบกับการมีแต่การกระทำออกมา สิ่งนี้ผู้เขียนอาจจะนึกไปเองก็ได้ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ โดยเฉพาะตัวละครของผู้เป็นพ่อที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในผู้กำกับในตำนาน ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนอย่างมากทั้งในช่วงของละครเวทีและฉากเบื้องหลัง