Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
neverdry
•
ติดตาม
13 ก.ค. 2023 เวลา 11:32 • ท่องเที่ยว
เกาะอิชิกากิ
เคยเป็นกันไหมว่าอยากไปไหนสักที่แบบไม่มีจุดมุ่งหมาย แค่ไปใช้ชีวิตนิ่งๆคนเดียว
ทริประยะสั้นนี้จึงเกิดขึ้นบนเครื่องบินไปที่โซล เกาหลีใต้ ขณะที่กำลังมองแผนที่แสดงระยะทางการบิน แล้วก็เหลือบไปเห็นประเทศญี่ปุ่นว่าจริงๆมันก็ไม่ไกลจากเกาหลีเลยนี่นา และด้วยเราไม่ได้ไปญี่ปุ่นมาหลายปีตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิท ก็เลยคิดว่า ได้เวลาแล้วล่ะ
คำถามถัดมาคือ เราจะไปไหนล่ะ เวลาก็ไม่ได้เยอะมาก แพลนก็ไม่ได้แพลน อะไรที่ไม่ได้ลำบากชีวิตจนเกินไป ก็เลยนั่งดูแผนที่ญี่ปุ่น แล้วก็เลือกจากเมืองที่มีสนามบินไปลง คิดอยู่นานว่าจะขึ้นเหนือไป Hokkaido หรือลงใต้ไป Okinawa ดี แล้วเราก็ได้ค้นพบว่านอกจาก Naha แล้ว เกาะสุดท้ายที่สามารถบินไปได้ของที่ญี่ปุ่นคือ เกาะ Ishigaki ที่อยู่เกือบจะถึงไต้หวันอยู่แล้ว
ที่จริงแล้วมีอีกหนึ่งเกาะที่สุดท้ายจริงๆชื่อ Yonaguni ที่เป็นจุดหมายในฝันของเราเช่นกัน เพราะที่นั่นมีปิระมิดใต้น้ำอยู่ เพียงแต่ว่า มันจะต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ที่มีวิ่งแค่สัปดาห์ละสองวันหรือเครื่องบินเล็กต่อไปอีกหนึ่งต่อ รอบนี้เวลาเราไม่พอ เดี๋ยวรอบหน้าค่อยกลับไปแก้มือใหม่ (มารู้ทีหลังว่าเหมือนจะมี Peach air/JAL บินจากโตเกียว)
โดยปกติเวลาที่ไปเกาะห่างไกล เรามักจะบินไปด้วยเครื่องบินเล็กหรือเครื่องบินใบพัด แต่กับที่ Ishigaki นี้มีไฟลท์เครื่อง โบอิ้ง 777 บินทุกวัน และหลายสายการบิน ทั้ง ANA, JAL, Peach และอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นขนาดของเกาะและจำนวนคนได้ไม่ยาก เนื่องจากที่ Ishigaki เป็นจุดศูนย์กลางของการเดินทางเชื่อมต่อบริเวณหมู่เกาะ Yaeyama ผมเลือกที่จะแวะโตเกียวใช้เวลาเกือบๆสามชั่วโมงเพราะอยากไปแวะเดินเล่นและหาอะไรกินเพราะไม่ได้ไปมาหลายปี แต่จริงๆแล้วสามารถบินมาลงที่ Okinawa แล้วต่อเครื่องมาที่นี่ได้ซึ่งจะใช้เวลาสั้นกว่ามาก
อย่างที่บอกว่าทริปนี้ไม่ได้แพลนและไม่คิดจะมีแพลนก็เลยกดจองตั๋วมา จองที่พักเป็นสไตล์ Hostel ไว้นอนเฉยๆ จากสนามบิน Ishigaki domestic terminal เดินออกมาเลี้ยวซ้ายก็จะเจอกับจุดจอดรถบัส ให้ขึ้นตรง station A นะครับ ลองถามเค้าว่าไป ที่ Port terminal หรือ City center ขึ้นรถแล้วก็รับตั๋วก่อน ลงที่ไหนค่อยจ่ายเงินทีหลัง ที่นี่สามารถต่อเรือไปเกาะบริเวณนี้ได้อีกหลายเกาะเลยแหละ ค่ารถ 540 เยน เตรียมมาให้พอดีก็จะง่าย แต่ถ้าไม่มีเค้าก็มีเครื่องแลกเหรียญบนรถอยู่
รอบๆใจกลางเมืองเงียบๆเหงาๆ ได้ไปคุยกับเจ้าของร้านขายของที่ระลึกในตลาด ลุงเกิดและโตที่โอกินาว่าแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายปีแล้ว ครอบครัวมาจากเกาะมาร์แชลใกล้ๆกับฮาวาย ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าไหร่เพราะตามเกาะทั้งหลายเมื่อก่อนมีอเมริกันมาอยู่ค่อนข้างมาก เค้าบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงก่อนวันหยุดยาวของคนญี่ปุ่นก็เลยจะเงียบๆเป็นปกติ และส่วนใหญ่นอกจากนักท่องเที่ยวแล้วก็จะเหลือแต่ผู้ใหญ่ซะส่วนมาก เนื่องจากที่นี่ไม่มีมหาวิทยาลัยทำให้คนหนุ่มสาวย้ายไปเรียนต่อแล้วก็ไม่ได้ย้ายกลับมาอยู่ใช้ชีวิตที่นี่
ตอนกลางวันเมืองก็จะเงียบๆไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ กลางคืนพอมีร้านให้พอคึกคักบ้างตามสไตล์คนญี่ปุ่นที่ชอบมาดื่มกินกัน รวมไปถึงบาร์ที่มีสาวๆมานั่งคุยด้วย มีอยู่หลายร้านจนแอบตกใจเล็กน้อย
ร้านอาหารส่วนใหญ่ที่นี่ต้องจอง และแน่นอน ต้องจองเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมเดินวนอยู่หลายร้าน ส่วนใหญ่จะจองเต็มหมดแล้ว หรือไม่ก็ไม่เปิด เดินไปร้านปิ้งย่างร้านนึง มาสเตอร์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย นั่งจนจะสั่งแล้วเค้าบอก Sheep only สรุปมีแต่เนื้อแกะย่างที่สั่งไม่ค่อยถูก เลยไม่ได้ลอง ขอย้ายร้าน เดินมาอีกร้าน เป็นอารมณ์รสมือแม่ดั้งเดิม เจ้าของน่ารักมาก พยายามสื่อสารด้วยทั้งๆที่ก็พูดไม่ได้ จนได้มาจบที่เซ็ททงคัทสึ ก็กินอิ่มท้องตามมาตรฐานทั่วไป
วันแรกกับ hostel ที่นี่ ไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่ เนื่องจากมันอยู่ในตรอกหลังร้านอาหารและต้องขนกระเป๋าขึ้นบันไดมาที่ชั้นสาม กับอากาศทรอปิคอล พอให้เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ ห้องน้ำมีสองห้องสำหรับชายหนึ่งห้องและหญิงหนึ่งห้อง เช่นเดียวกับห้องอาบน้ำที่มารู้ทีหลังว่าอาบน้ำได้วันละหนึ่งครั้ง
แต่ที่แอบหนักหนาคือ แอร์มีเพียงเครื่องเดียว และแต่ละเตียงมีพัดลมตัวน้อยให้เตียงละหนึ่งอัน ตอนกลางคืนก็ร้อนนิดหน่อย แต่กลางวันไม่ต้องพูดถึง ตอนกลางคืนร้อนจนต้องเดินมาตากแอร์ FamilyMart ที่เช็คจากแอพแล้วว่าเปิดถึงเที่ยงคืน เดินมาถึงพบว่าพนักงานกำลังรูดม่านปิดประตู กลายเป็นร้อนกว่าเดิม
ส่วนเตียงทำจากไม้ มีสองชั้นกั้นเป็นห้องเล็กๆ ทำให้เวลาคนขยับตัวไม้ก็ลั่น คืนแรกนอนแทบไม่หลับเลยเพราะพี่ฝรั่งข้างบนน่าจะเหงา เดินขึ้นเดินลงเป็นระยะ
วันที่สองเรามีนัดดำน้ำกันแต่เช้าแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเมื่อคืนนอนแทบจะไม่ได้อยู่แล้ว รถมารับถึงที่ตั้งแต่ก่อนแปดโมง เป็นสิ่งเดียวที่เราจองมาล่วงหน้านอกจากโรงแรม จริงๆก็ล่วงหน้าแค่สองวันแหละ เนื่องจากเกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องการดำน้ำลึกแบบ SCUBA และมีกระเบนราหูให้ชมกันเกือบทั้งปี
วันนี้แพลนดำน้ำทั้งหมดสามไดฟ์ สองไดฟ์แรกมีปลาการ์ตูน ปลาไหลมอเร่ งูทะเล เต่าตัวใหญ่ ว่ากันตรงๆก็ดำน้ำแถวบ้านเราสวยกว่าเยอะ
ไดฟ์ที่สามเราวิ่งเรือมาไกลหน่อยเป็นจุดดำน้ำชื่อดังของเกาะนี้ชื่อ Kabira Manta Point แน่นอน พวกเรามาลุ้นเจอเจ้ากระเบนราหูกันตามชื่อจุดดำน้ำ
น้ำทะเลบนิเวณนี้เป็นสีฟ้าสด พอให้ชื่อใจว่าได้มาถึงโอกินาว่าแล้วนะ พอเรือยังไม่ทันจอดดี มีโลมาหนึ่งฝูงว่ายวนไปมาต้อนรับพวกเรา ในใจก็แอบคิดว่าทำไมไม่มาแถวนี้ตั้งแต่แรกนะ เมื่อเช้าเราไปทำอะไรกันมา
แต่ก็พอเข้าใจได้ อย่างที่บอกว่าตรงนี้เป็นจุดดำน้ำยอดนิยม เรือจากทั่วทั้งเกาะก็มารอลงดำน้ำที่นี่ และกฎของเค้าคือสามารถลงดำน้ำพร้อมกันได้ไม่เกินห้าลำ พวกเราลอยลำรอเวลากันอยู่ราวๆยี่สิบนาทีถึงได้ลงน้ำ
น้ำทะเลใสกว่าจุดอื่นๆ ปะการังแข็งเป็นแนวสวยงาม แต่ก็มีฟอกขาวและตายไปบ้างแต่ก็ยังมีความสวยงามให้เห็นอยู่ เราว่ายสลับกับรอบริเวณที่คิดว่ากระเบนราหูจะเข้ามาทำความสะอาด ยี่สิบนาทีก็แล้ว สามสิบนาทีก็แล้ว จนเริ่มจะถอดใจ แต่ชั่วครู่เดียว ระหว่างที่ทุกคนกำลังว่ายกลับไปทางเรือ เจ้ากระเบนราหูก็ว่ายมาเงียบเหมือนรถไฮบริด ลอยเข้ามาแทรกระหว่างกลางกลุ่มของพวกเราเข้าสู่ยอดกองปะการังที่มีปลาเล็กปลาน้อยรอทำความสะอาดให้มันอยู่
เราลอยตัวดูกันอยู่สักพัก ก็มีอีกหนึ่งตัวว่ายเข้ามาร่วมด้วย ดูพวกมันวนเวียนอยู่วักพักใหญ่ๆก็ได้เวลาขึ้น ระหว่างการพักน้ำ (Safety stop) ก็มีอีกหนึ่งตัวว่ายผ่านพวกเราไปเป็นการอำลาที่เรียกรอยยิ้มได้จากทุกคนบนเรือ
ลืมเล่าว่าไดฟ์ลีดเดอร์ของกลุ่มเราคือกัปตันเรือ หลังจากขับเรือมาถึงแล้วพี่เค้าจะกระโดดลงน้ำไปผูกทุ่นเรือเองใต้ำน้ำ หน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง ประมาณวิน ดีเซลวัยหนุ่มที่ล่ำๆลีนๆสไตล์ชาวเกาะ
กลับมาถึงฝั่ง อย่างแรกที่ทำคือ ย้ายโรงแรม ไปอยู่โรงแรมที่ไม่ใช่โฮสเทล เพราะมานั่งคิดแล้วว่า เรามาเที่ยว เราจะลำบากตัวเองทำไมนะ คืนที่สองเลยได้ที่พักใหม่ชื่อ The Breakfast Hotel ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารเช้า
มื้อเย็นเราสืบมาจากคนที่ร้านดำน้ำแล้วว่า ให้ไปที่ร้าน Sushi Taro ก็ตามเค้าไป ไม่ต้องห่วงเรื่องภาษา เพราะมีหน้าจอให้กดสั่งพร้อมรูปภาพและรายละเอียดภาษาอังกฤษเล็กน้อย รอดไปอีกหนึ่งมื้อ ราคาย่อมเยาว์ รสชาติโอเคเลย ใครมีโอกาสมาก็แนะนำนะ
วันที่สามตื่นแต่เช้ามาลองอาหารเช้าที่ขึ้นชื่อของโรงแรมนี้ ก็ดีสมชื่อมีอาหารหลากหลายไม่แพ้ร้านอาหารดีๆ
พอดีเห็นว่ามีถ้ำเลยแวะไปดูสักหน่อย รถบัสมีวิ่งไม่มาก ส่วนรถเช่าก็ต้องจองล่วงหน้า รวมไปถึง Scooter ไฟฟ้า ก็เลยเรียก taxi ไป ไม่ยากไม่ง่าย เพราะที่นี่ใช้ app DiDi คล้ายๆกับ Grab และ Uber จ่ายเงินสดหรือตัดบัตรได้เลย เรียกอยู่สักพักใหญ่ๆถึงจะได้รถ ค่ารถราวๆ 900 เยน ถามเค้าว่าขากลับจะเรียกรถลำบากไหม เค้าบอกว่าวันนี้มีเรือ cruise มาลงประมาณสามพันคน อาจจะลำบากหน่อยแต่ลองใช้แอพเรียกดูได้
มาถึงถ้ำจ่ายค่าเข้า 1,200 เยน พร้อมพบปะกับมวลชนนักท่องเที่ยวชาวจีนก็พอจะเห็นแวว เดินเข้าถ้ำที่กะว่าจะมาเดินอย่างสงบเงียบ ก็เหมือนได้ฟัง soundtrack ไปตลอดทางพร้อมหยุดเซลฟี่ทุกๆห้าก้าว ใช้เวลาเดินรางๆครึ่งชั่วโมง ตัวถ้ำมีประดับไฟเป็นระยะ ทางเดินง่ายมาก มีน้ำหยดตลอดทางเป็นปกติของถ้ำหินงอกหินย้อย
เดินเสร็จออกมามีร้านขายซอร์ฟเสิร์ฟและของที่ระลึก เปิดดูมือถือ ไม่มีสัญญาณ ยังดีที่มี wifi แต่กดเรียกรถอยู่ราวๆ 20 นาทีไร้วี่แวว เลยเดินออกมาพยายามคุยกับแท๊กซี่ที่คาดว่ามาส่งคนแล้วรอรับกลับ เปิดแผนที่บอกลุงๆว่าจะไป city center ทุกคนส่ายหัวแล้วชีส่งต่อกันไปเรื่อยๆประมาณห้าคัน จนทุกคนมายืนคุยกัน สรุปได้รถคือลุงคนแรกที่ไปถาม รอดตัวไป
กลับเข้ามาถึงเมือง แทบจะเป็นคนละเมืองกันเลย คนมากมายเดินกันขวั่กไขว่ ก็เลยเข้าใจแล้วว่าร้านต่างๆอยู่กันมาได้ยังไง ในทุกๆสัปดาห์จะมีนั่งท่องเที่ยวจากเรือเฟอร์รี่ต่างเกาะ และจากเรือสำราญจากต่างประเทศมาแวะจอดที่เกาะนี้ ทำให้จำนวนคนคึกคักอยู่เป็นระยะ
ช่วงเย็นอยากลองเนื้อที่นี่ที่เค้าว่าดัง เลยเดินหาได้ร้าน Izakaya เล็กๆอยู่นอกเมืองมาหน่อย google translate ช่วยได้เช่นเคย อย่าลืมแวะจิบเบียร์ Orion ที่คนโอกินาว่าภาคภูมิใจด้วยนะ จริงๆก็มีขายทุกที่แหละ
ร้านนี้เชฟหนึ่งคน เสิร์ฟหนึ่งคนที่น่าจะเป็นแฟนกัน ชิลๆสบายๆตามสไตล์คนที่นี่ ก็รออาหารกันนิดนึง จิบเบียร์ไปเพลินๆพอกรึ่มๆ อาหารก็มา เนื้ออร่อยดี ซูชิธรรมดาข้ามไปได้ ร้านชื่อ Smile Kitchen
มาญี่ปุ่นรอบนี้แทบไม่ได้ใช้เงินสดเลย ทุกที่รับบัตรเดบิต เครดิตหมดแล้ว ทั้งแท๊กซี่ ร้านอาหาร ร้านขายของ จะมีบ้างก็ร้านอาหารบางร้านและรถบัสที่ Ishigaki ที่ยังต้องใช้เงินสดอยู่บ้าง แลกมาเผื่อๆหน่อยก็ดี แล้วก็ตู้กดน้ำบนเกาะยังเป็นรุ่นเก่าที่ยังต้องหยอดเหรียญอยู่ แต่ในเมืองก็สามารถเอาบัตรแตะได้เกือบหมดแล้ว
ตอนกลางคืนพยายามจะเดินออกไปดูดาว เพราะคนที่นี่บอกว่าบนเกาะนี้เป็นหนึ่งในจุดดูดาวที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น แต่ว่าจะเป็นการซื้อทัวร์ขึ้นไปดูบนภูเขา ห่างออกไปจากเมืองที่มีแสงค่อนข้างมาก แต่เราพึ่งกลับมาจากแทสมาเนียดูดาวมาทุกคืน เลยไม่ได้อยากจะขึ้นเขาเพื่อนไปดูดาว เลยเดินมาที่ท่าเรือที่แสงค่อนข้างน้อย จากตรงนี้มองดาวไม่ค่อยเห็นมากนัก ก็เลยไปเดินเล่นรอบเมืองเพื่อสั่งลา
ที่นี่ฟ้ามืดราวๆสองทุ่ม ร้านอาหารส่วนใหญ่เปิดตอนประมาณห้าหกโมงเย็น ตอนสี่ทุ่มส่วนใหญ่ก็เริ่มทะยอยปิดกันแล้ว เหลือแต่ร้านกินดื่มที่ยังเปิดอยู่ประปราย และมีคนนั่งสังสรรค์กันอยู่
ตอนเช้ากินอาหารที่โรงแรมเหมือนเคย ลากกระเป๋ามาขึ้นรถบัสไปสนามบิน คนแน่นรถ อาจจะเพราะ รถบัสมีรอบไม่เยอะมาก ใช้เวลาราวๆ 40 นาทีก็ถึงสนามบิน ระหว่างทางคนก็ทะยอยขึ้นมาเพิ่มอีกเรื่อยๆ บนเกาะนี้มีทั้งห้างดองกี้และอิออน อยู่ห่างจาก City center ออกไปสักพักนึง ต้องนั่งรถมา เดินน่าจะไกลเกินไป
ที่สนามบิน เช็คอินเรียบร้อย ตอนเข้าเกทผ่านเครื่อง X-ray ที่นี่ไม่ต้องเทน้ำทิ้งให้เปลือง เค้าให้แยกมาวางไว้ในตระกร้า แล้วจะเอาขวดของเราไปผ่านเครื่องตรวจ ก็นำน้ำผ่านเข้ามาได้
หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้รับอีเมลแจ้งว่า flight delay ไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ซึ่งจะทำให้เราต่อเครื่องที่โตเกียวไม่ทัน ลองติดต่อที่เค้าท์เตอร์เค้าให้ใบเล็กๆเขียนว่า Certificate of Delay มาหนึ่งใบเล็กๆให้ไปติดต่อที่โตเกียว เพราะที่นี่เค้าช่วยอะไรมากไม่ได้
หา Soft serve กินแก้ปวดหัว สรุปได้ชิม Blue bird แล้ว เป็นยี่ห้อของที่โอกินาว่า รสนมสดใส่เกลือ
รอจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง สรุปดีเลย์ออกไปอีก 15 นาที เจ้าหน้าที่ก็บอกเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนใบ Certificate ใหม่ให้ว่าดีเลย์นานขึ้น พร้อมเพิ่มเติมว่า น่าจะตกเครื่องแล้วนะ เพราะว่าเราต้องเปลี่ยน Terminal ด้วย และเป็นด้วยสาเหตุจาก air traffic ทางสายการบินอาจจะไม่ออกค่าโรงแรมให้ ถ้าไม่ได้ไฟลท์วันนี้
ต้องมาเจรจากันต่อที่โตเกียว สรุปว่าเค้าเตรียมเงินใส่ซองยื่นมาให้ 15,000 เยน แล้วบอกว่ายูจองโรงแรมเองนะ ได้ไปไฟลท์แปดโมงเช้า จุดนี้ขี้เกียจเข้าเมืองแล้วเลยหาที่นอนใกล้ๆสนามบินเพราะต้องเช็คอินตั้งแต่เช้า เลยมาได้ที่ First Cabin Terminal 1 เป็น Capsule Hotel มีให้เลือกหลายแบบ แต่เรา Walk-in มาเลยเหลือแต่ห้อง First Class และราคาน่าจะแพงกว่าจองมาล่วงหน้าอยู่พอสมควร 10,000 เยน อยู่ได้ 1 ทุ่ม ถึง 10 โมงเช้า
ที่ Terminal 1 มีร้านอาหารให้เลือกอยู่พอสมควรเลย ร้านสะดวกซื้อก็มี ถือว่าได้นอนเล่นฟรีอีกหนึ่งคืน จบทริป Ishigaki เพียงเท่านี้
สรุปทริปนี้เป็นทริปนิ่งๆ ราบเรียบสมใจอยาก เราเดินทางไปหลายๆที่ ทุกที่มันก็อยู่ในความทรงจำ แต่คงไม่ใช่ทุกที่ ที่เราประทับใจจนอยากจะกลับไปอีกครั้ง ในส่วนของ Ishigaki นั้น คงอยู่ตรงกลางๆ ที่จะกลับมาก็ได้ในวันที่อยากจะพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็คงไม่ได้จะดิ้นรนที่จะต้องกลับมาอีกในเร็ววันนี้
รอบหน้าอยากจะไปเกาะที่ห่างออกไปอีกนิด อยากจะ #ลาออกไปเช็กอิน อีกหลายๆที่เลย
ลาออกไปเช็กอิน
travel
scuba
1 บันทึก
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย