13 ก.ค. 2023 เวลา 13:50 • ดนตรี เพลง

Wham!

Wham!
แฟนเพลงยุค​ 80s​ น่าจะชอบ​ Wham! หนังไบโอพิคของวงดูโอ้ชื่อดัง​ใน​ Netflix​ ที่เขาทำขึ้นมาจาก​บทสัมภาษณ์​ และ​ archive footage ของ​ George Michael กับ Andrew Ridgeley สองหนุ่มป๊อบไอคอนของยุค​ 80s ครับ​ ทุกอย่างคือภาพจริงเสียงจริงทั้งหมด
ทั้งคู่เจอกันตอน​ George อายุ​ 11 ส่วน​ Andrew อายุ​ 12​ ที่​ รร.บุชชี่มีดส์​ ในปี​ 75 George เป็นเด็กเข้าใหม่​ Andrew เลยอาสาดูแล​ George เขาเรียก​ George ว่า​ "ย็อก" (Yog) ส่วน​ George เรียก​ Andrew ว่า​ "แอนดี้"
ทั้งคู่เข้ากันได้ดี​ มักจะพากันหมกมุ่นทำเป็น​ DJ จัดรายการวิทยุ​ พออายุ​ 16​ ก็ตั้งวงดนตรีแนว​ Ska แต่ไปไม่รอด​ แค่ปีเดียววงก็แตกเหลือกันอยู่​ 2 คน​ โดนคนรอบข้างหัวเราะเยาะ​ บางคนนี่ถึงขนาดพูดว่า​ "ไอ้โง่​ 2 คนนี้มันจะไปดังได้ไงวะ?"
ปี​ 81​ ทั้งคู่ไปกินไปดื่มไปเต้นกันที่ผับบีทรูท พอเมา​ได้ที่​ Andrew ก็เต้นแล้วร้องว่า​ "แวม​ แบม" ทั้งคู่รู้ทันทีว่านี่คือโชคชะตา​ และนี่คือชื่อวง​ Duo​​ ของพวกเขา
สองหนุ่มลงทุนทำ​ Demo​ ด้วยเงิน​ 20​ ปอนด์​ เอาแร็ปมาผสมกับดิสโก้​ และป๊อบ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสังคม​ การเมืองทั่วๆไป​ และวิกฤติ​ ศก.ในอังกฤษ​ แต่มีเพลงนึงที่เริ่มต้นจากการที่​ Andrew มีชุด​ chord อยู่ในใจ​ และ​ George มี​ melody อยู่ในใจ ทั้งคู่ช่วยกันใส่เนื้อเพลงจนจบ​ เข้ากันได้ดีจนกลายเป็น​ Careless Whisper ได้ demo ที่มีความยาว​ 4 นาที​ โดยที่ยังไม่รู้​ว่าใครจะร้องแต่รู้ว่าเพลงนี้ขึ้นอันดับ​ 1 แน่ๆ
เด็กอายุ​แค่ 17-18 พากันบุกไปค่ายเพลง​ ลักไก่ว่านัดผู้บริหารไว้แล้ว​ แต่โดนปฏิเสธ​จากทุกค่าย บางค่ายแม่งโยนเทปคาสเซ็ทข้ามโต๊ะคืนมาให้แล้วบอกว่า​ "เสียงดีอยู่​นะ แต่คงไม่ฮิต​หรอก กลับไปแต่งเพลงฮิตมาซะ"
เฮ้ยยยย​ แม่งขว้าง​ Careless Whisper ทิ้งเฉยเลย
สองหนุ่มเสียใจ​ ผิดหวัง​ ดิ่ง​ แต่มีเพื่อนบ้านถนนเดียวกันชื่อ​ Mark Dean​ ที่ทำงานค่ายเพลง​ก็เลยเอางานไปลองเสนอดู ตอนแรกไอ้​ Mark​ มันก็ไม่ฟัง​ demo หรอกเพราะคิดว่าเป็นวงบ้านๆ​ สองหนุ่มเอา​ demo ใส่ตู้จดหมาย​ไว้
demo ที่ว่านั่นมีแค่เสียงของ​ George กับเสียงกีต้าร์ก๊องแก๊ง​เท่านั้น​ แต่พอลองฟังแล้วดันเพราะ​ ไอ้​ Mark​ เลยบอกว่าจะพาไปเข้าค่ายเพลง​ แต่ก่อนอื่นต้องเซ็นสัญญา​กับมันก่อน​ ไอ้​ Mark​ นัดสองหนุ่มไปเซ็นสัญญา​กันที่ร้าน​ The​ Hope เป็นร้านอาหารตามสั่งข้างถนน
จากนั้นไอ้​ Mark​ ก็พา​สองหนุ่มไปเข้าสังกัดค่ายเพลง​ Innervision Records ซิงเกิ้ลแรกที่วางตลาด​คือ Wham​ Rap! Social​ Mix และโดนสื่อตีตราว่าพวกเขาเป็น "วงฟั้งค์เพื่อชีวิต"
ช่วงแรกๆที่ยังกระจอกอยู่​ Wham! เลยต้องออกทัวร์ตามคลับเล็กๆ​ ต้องเจอพวกขี้เมาก่อกวน​ แถมยังโดนค่ายเพลงกดดันให้มีเพลงฮิต​ George เลยแต่ง​ Young Guns และถ้าเพลงนี้ไม่ดังก็จะโดนยกเลิกสัญญา​ ปรากฏ​ว่า​ Young Guns เข้าชาร์ท​อันดับ​ 72 ไต่ไปถึง​ 42 แต่ไปไม่ถึง​ Top​ 40
โห... แบบนี้โดนยกเลิกสัญญา​แน่ๆ
แต่​คนมันจะดังอะไรก็หยุดไม่อยู่ Top of the pops รายการเพลงชื่อดังโทรมาชวน​ Wham! ให้ไปออกรายการ​ในฐานะมวยแทนเพราะศิลปินที่เขาเชิญไว้ดันถอนตัว​ ทั้งคู่ตอบรับ​ทันทีและเดินทางไปโดยที่ไม่มีเงินเลย​ ไปนอนกันโรงแรมเล็กๆ​ จับไม้สั้นไม้ยาว​ Andrew ได้นอนเตียงใหญ่​ ส่วน​ George ​ต้องนอนเตียงเด็ก​ เสื้อผ้าใส่โชว์​ก็มีแค่​ 2 ชุดต้องสลับกันใส่​
แต่ความเฉิ่ม เชย​ บ้านๆ​ แบบนี้แหละครับพอไปออก​ Top of the pops แม่งดันกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่​ คนดูฮือฮา ซิงเกิ้ลที่เคยลูกผีลูกคนก็ไต่ขึ้นไปถึงอันดับ​ 3 พวกเขาเริ่มดังแล้ว​ ส่วน​ Wham​ Rap! ซิงเกิ้ลแรกถูกรีลีสซ้ำอีกครั้งคราวนี้ขึ้นไปถึงอันดับ​ 8
แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ยังไม่มีเพลงอันดับ​ 1
ค่ายเพลงวางตำแหน่งให้​ Wham! เป็นวงที่จะต่อสู้ทางวัฒนธรรม​ เป็นตัวแทนคนหนุ่มสาว​ และกดดันให้พวกเขาทำเพลงที่ชี้นำสังคม​ Wham! เลยออกเพลง​ Bad​ boys ที่ดังเปรี้ยงขึ้นไปถึงอันดับ​ 2 แต่ทั้งคู่ไม่ชอบเลยสักนิด​ เพราะมันเป็นเพลงแบบสูตรสำเร็จ​ และพวกเขาก็ไม่ใช่นักวิจารณ์​สังคมห่าเหวอะไร​เลย
Wham! ก็แค่เป็นเด็กหนุ่มที่อยากร้องเพลงป๊อบธรรมดาๆที่สื่อสารตรงไปตรงมากับคนฟัง​ ไม่ได้อยากเป็นแร็ปเพื่อชีวิต
สองหนุ่มเดินทางไป​เกาะ​ Ibiza ที่​ Spain เพื่อหาแรงบันดาลใจ​ พวกเขาได้เพลง Club​ Tropicana​ ที่เป็นเพลงดัง​ แต่ตอนอยู่ที่​ Ibiza นี่แหละที่​ George สารภาพกับ​ Andrew ว่าเขาเป็นเกย์​
"ฉันไม่รู้​จะบอกนายว่าไงดี แต่ฉันเป็นเกย์​ ถ้าไม่เกย์ก็ไบเซ็กช่วลแหละ"
เรื่องของเรื่องคือ​ 6 เดือนก่อนจะมาที่​ Ibiza เขาไปค้างคืนที่บ้านผู้ชาย​ แล้วหมอนั่นพยายามจะเอา​ George แต่เขาไม่ยอมให้เอาเพราะกลัว​ George ​แปลกใจว่าถึงแม้จะกลัวไม่อยากมี Sex​ แต่เขากลับอยากอยู่บนเตียงกับผู้ชายคนนั้น​ อยากใกล้ชิด​กัน​แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน​ George เลยรู้ตัวว่าเป็นเกย์
Andrew พอรู้แบบนั้นก็บอกว่าบอกว่า​ "ไม่ปัญหา​อะไรกับรสนิยมทางเพศ​ของนายหรอก ฉันแค่อยากให้นายมีความสุขก็พอแล้ว"
น่ารักอ่ะ..... เพื่อนกันต้องแบบนี้ซิ
กลับมาอังกฤษเริ่มลุยทำวงต่อ​ ทั้งสองก็มีทะเลาะกันบ้างเพราะทักษะ​ George​ เริ่มไปไกลกว่า​ Andrew
Fantastic อัลบั้ม​เปิดตัว​ของพวกเขาขึ้นอันดับ​ 1 อัลบั้มมันดังแต่นักวิจารณ์​กลับไม่ชอบเพราะนักวิจารณ์​บอกว่ามันไม่เพื่อชีวิต​ ไม่ชี้นำสังคม​ ความเป็น​ Pop​ คือความกระจอก​ แต่​ Wham! ไม่สนใจ​ครับ และจะทำเพลงแบบนี้ต่อไป
Wham! ปรับลุ๊คใหม่​ในชุดกีฬา​ เสื้อวอร์ม​ กางเกงขาสั้นสีสดๆ​ พวกเขาออกทัวร์​และกลายเป็นไอดอลของวัยรุ่น​ ทยอยออกซิงเกิ้ลแบบรัวๆ​ แต่​ Wham! กลับไม่มีเงินเลย ส่วนแบ่งซิงเกิ้ลที่พวกเขาได้คือแค่​ 4% ใน​ UK และ 2% ในประเทศ​อื่น​ โดนหักค่าโน่นค่านี่ก็ไม่เหลือ
ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญญา​ที่เด็กอายุ​ 17​-18 ไปเซ็นกับ​ไอ้​ Mark​ Dean ที่เป็นเหมือนนายหน้า​ที่ The​ Hope ร้านอาหารตามสั่งข้างทางมันไม่เป็นธรรมครับ
Simon Napier Bell "พ่อมดยุค​ 60s" ก็เลยได้เข้ามาเป็น​ ผจก.​วง​ และพา​ Wham! ไปเซ็นสัญญา​กับ​ CBS โดยตรงไม่ต้องผ่านนายหน้า​ พอเข้าที่เข้าทางคราวนี้​ Wham! เลยได้มีเวลากลับมาคิดว่าจะทำไงดีกับเพลง Careless Whisper
George บินไปอเมริกา​ เขาไปที่สตูดิโอ​ Muscle Shoals ใน​ Albama​ ไปหา​ Jerry Wexler ที่เป็น​ Producer​ ของ Aretha Franklin​ และ Ray Charles เพื่อทำเพลง​ Careless Whisper
ก่อนอัดเสียง​ Jerry ขู่​ George ว่า​ "เตรียมตัวเลย​ จำไว้นะ​ จุดที่นายยืนอยู่​ Aretha กับ​ Ray​ เคยยืนอัดเสียงเพลงดังๆมาแล้วนับไม่ถ้วน" George​ได้ยินก็ยิ่งประหม่า​ เขาบอกว่า "ขอบคุณ​นะ​ แล้วมาบอกกันตอนที่ไอจะอัดเสียง​เพลงง่อยๆที่ไอแต่งบนรถบัสนี่นะ"
Jerry ปรับแต่ง​ Careless Whisper ใหม่​ แต่ดันออกมาเป็นแบบที่​ Wham! ไม่ชอบ​ เพราะมันมีความเป็นเพลงตลาดมากไป​ George เลยลงมือโพรดิวซ์เองและอัดมันใหม่ซ้ำอีกครั้งในแบบ​วันแมนโชว์​ George ​เลือกนักเป่าแซ็คโซโฟนมาเป็นสิบคน​ และลงเอยที่​ Steve​ Gregory ที่ได้มาทำหน้าที่นี้​ แต่​ Wham! ก็ยังไม่ได้ปล่อยเพลงนี้ออกมา
Wake me up before you go go นี่ก็มีที่มานะครับ​ George ไปนอนค้างบ้าน​ Andrew แล้วเจ้าของบ้านตั้งใจจะเขียนโน้ต​แปะบอกไว้ที่ประตู​ห้องว่า​ Wake me up, up before you go
แต่​ Andrew ดันเขียนผิดเป็น​ Wake me up before you go go ซึ่ง​ George เห็นแล้วร้อง​ Wow เลย​ เขาบอกว่านี่คือชื่อเพลงที่เด็ดที่สุด​ เพลงนี้คือเพลงที่ขึ้นอันดับ​ 1 เพลงแรก​ของพวกเขา นักวิจารณ์​บอกว่าสองหนุ่มหน้าตาหน่อมแน้มแบบนี้ไม่น่าทำเพลงอย่างงี้ได้เลย​ (ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเพลงนี้​แม้จะเป็นเพลง​ pop แต่ Bassline​ แม่งสุดๆเลยครับ​ คนเล่นคือ​ Deon Estus มือเบสที่เก่งมากคนนึงของโลก)
นักวิจารณ์​บางคนบอกว่า​ "คนรักไอ้เด็กโง่​ 2 คนนี้ไปได้ไง"
ฝรั่งนี่แม่งแรงชิบหาย​ 555
กลับมาที่​ Careless Whisper ด้วยความที่ทักษะของ​ George ก้าวไปจนถึงความเป็น​ Producer​ ที่ล้ำหน้า​ Andrew ไปเยอะทั้งคู่ต่างรู้ดีกว่าวันนึง​ George ต้องเป็น​ solo artist ตาม​ skill ของเขาแน่ๆ​
ในปี​ 1984​ ที่ปล่อยเพลง​ Careless Whisper ออกมา​ Andrew ก็เลยสนับสนุนให้​ George ปล่อยเพลงเป็น​งาน​ solo single ดังนั้นพอเพลงถูกปล่อยที่อเมริกาเครดิตเพลงนี้ก็เลยกลายเป็น​ Wham! Featuring George Michael
ที่เหลือต่อจากนั้นคือตำนานครับ
ส่วน​ Last Christmas นี่มาแบบจู่ๆก็มาเลย​ เพราะวันนั้น​ 2 หนุ่มนั่งรอดูถ่ายทอดสดฟุตบอล​ แล้วทันทีทันใด​ George​ ก็ลุกพรวดพราดวิ่งขึ้นไปชั้น​ 2 ของบ้าน ทิ้ง​ Andrew ไว้คนเดียว​ เขาหายไปพักนึงก่อนจะกลับลงมาบอกกับ​เพื่อนว่านี่คือเพลง Last Christmas และปีนี้เราจะมีเพลงคริสมาสท์ที่ขึ้นอันดับ​ 1
แต่พวกเขาคาดผิดครับ​ Last Christmas ไปไม่ถึงอันดับ​ 1 ในปีนั้น​ มันไปคาอยู่ที่อันดับ​ 2 ก่อนจะใช้เวลาอีกเป็นสิบๆปีขึ้นถึงอันดับ​ 1 ได้สำเร็จในปี​ 2020​ แต่เป็นหลังจากที่​ George​ ลาโลกนี้ไปแล้ว
Wham! ถูกยกย่องว่าเป็นนักปฏิวัติ​ทางวัฒนธรรม​เพราะพวกเขาคือป๊อบสตาร์​วงแรกที่ไปเหยียบจีนแผ่นดิน​ใหญ่และเปิดโชว์ที่นั่น
โชว์สุดท้ายของ​ Wham! ที่เป็นโชว์อำลาชื่อ​ The​Final จัดที่​ Wembley หลังจบโชว์​ George กอด​ Andrew น้ำตารื้นและกระซิบว่า​ "ฉันทำมันไม่ได้แน่ๆ​โดยปราศจากนาย"
คนอายุ​ 50​ กลางๆแบบผมคิดถึง​ Wham! จริงๆครับ
ทั้งคู่เจอกันตอน​ George อายุ​ 11 ส่วน​ Andrew อายุ​ 12​ ที่​ รร.บุชชี่มีดส์​ ในปี​ 75 George เป็นเด็กเข้าใหม่​ Andrew เลยอาสาดูแล​ George เขาเรียก​ George ว่า​ "ย็อก" (Yog) ส่วน​ George เรียก​ Andrew ว่า​ "แอนดี้"
ทั้งคู่เข้ากันได้ดี​ มักจะพากันหมกมุ่นทำเป็น​ DJ จัดรายการวิทยุ​ พออายุ​ 16​ ก็ตั้งวงดนตรีแนว​ Ska แต่ไปไม่รอด​ แค่ปีเดียววงก็แตกเหลือกันอยู่​ 2 คน​ โดนคนรอบข้างหัวเราะเยาะ​ บางคนนี่ถึงขนาดพูดว่า​ "ไอ้โง่​ 2 คนนี้มันจะไปดังได้ไงวะ?"
ปี​ 81​ ทั้งคู่ไปกินไปดื่มไปเต้นกันที่ผับบีทรูท พอเมา​ได้ที่​ Andrew ก็เต้นแล้วร้องว่า​ "แวม​ แบม" ทั้งคู่รู้ทันทีว่านี่คือโชคชะตา​ และนี่คือชื่อวง​ Duo​​ ของพวกเขา
สองหนุ่มลงทุนทำ​ Demo​ ด้วยเงิน​ 20​ ปอนด์​ เอาแร็ปมาผสมกับดิสโก้​ และป๊อบ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสังคม​ การเมืองทั่วๆไป​ และวิกฤติ​ ศก.ในอังกฤษ​ แต่มีเพลงนึงที่เริ่มต้นจากการที่​ Andrew มีชุด​ chord อยู่ในใจ​ และ​ George มี​ melody อยู่ในใจ ทั้งคู่ช่วยกันใส่เนื้อเพลงจนจบ​ เข้ากันได้ดีจนกลายเป็น​ Careless Whisper ได้ demo ที่มีความยาว​ 4 นาที​ โดยที่ยังไม่รู้​ว่าใครจะร้องแต่รู้ว่าเพลงนี้ขึ้นอันดับ​ 1 แน่ๆ
เด็กอายุ​แค่ 17-18 พากันบุกไปค่ายเพลง​ ลักไก่ว่านัดผู้บริหารไว้แล้ว​ แต่โดนปฏิเสธ​จากทุกค่าย บางค่ายแม่งโยนเทปคาสเซ็ทข้ามโต๊ะคืนมาให้แล้วบอกว่า​ "เสียงดีอยู่​นะ แต่คงไม่ฮิต​หรอก กลับไปแต่งเพลงฮิตมาซะ"
เฮ้ยยยย​ แม่งขว้าง​ Careless Whisper ทิ้งเฉยเลย
สองหนุ่มเสียใจ​ ผิดหวัง​ ดิ่ง​ แต่มีเพื่อนบ้านถนนเดียวกันชื่อ​ Mark Dean​ ที่ทำงานค่ายเพลง​ก๋เลยเอางานไปลองเสนอดู ตอนแรกไอ้​ Mark​ มันก็ไม่ฟัง​ demo หรอกเพราะคิดว่าเป็นวงบ้านๆ​ สองหนุ่มเอา​ demo ใส่ตู้จดหมาย​ไว้
demo ที่มีแค่เสียงของ​ George กับเสียงกีต้าร์ก๊องแก๊ง​เท่านั้น​ แต่พอลองฟังแล้วเพราะ​ ไอ้​ Mark​ เลยบอกว่าจะพาไปเข้าค่ายเพลง​ แต่ก่อนอื่นต้องเซ็นสัญญา​กับมันก่อน​ ไอ้​ Mark​ นัดสองหนุ่มไปเซ็นสัญญา​กันที่ร้าน​ The​ Hope เป็นร้านอาหารตามสั่งข้างถนน
จากนั้นไอ้​ Mark​ ก็พา​สองหนุ่มไปเข้าสังกัดค่ายเพลง​ Innervision Records ซิงเกิ้ลแรกที่วางตลาด​คือ Wham​ Rap! Social​ Mix และโดนสื่อตีตราว่าพวกเขาเป็น "วงฟั้งค์เพื่อชีวิต"
ช่วงแรกๆที่ยังกระจอกอยู่​ Wham! เลยต้องออกทัวร์ตามคลับเล็กๆ​ ต้องเจอพวกขี้เมาก่อกวน​ แถมยังโดนค่ายเพลงกดดันให้มีเพลงฮิต​ George เลยแต่ง​ Young Guns และถ้าเพลงนี้ไม่ดังก็จะโดนยกเลิกสัญญา​ Young Guns เข้าชาร์ท​อันดับ​ 72 ไต่ไปถึง​ 42 แต่ไปไม่ถึง​ Top​ 40
โห... แบบนี้โดนยกเลิกสัญญา​แน่ๆ
แต่​คนมันจะดังอะไรก็หยุดไม่อยู่ Top of the pops รายการเพลงชื่อดังโทรมาชวน​ Wham! ให้ไปออกรายการ​ในฐานะมวยแทนเพราะศิลปินที่เขาเชิญไว้ดันถอนตัว​ ทั้งคู่ตอบรับ​ทันทีและเดินทางไปโดยที่ไม่มีเงินเลย​ ไปนอนกันโรงแรมเล็กๆ​ จับไม้สั่นไม้ยาว​ Andrew ได้นอนเตียงใหญ่​ ส่วน​ George ​ต้องนอนเตียงเด็ก​ เสื้อผ้าใส่โชว์​ก็มีแค่​ 2 ชุดต้องสลับกันใส่​
แต่ความเฉิ่ม เชย​ บ้านๆ​ แบบนี้แหละครับพอไปออก​ Top of the pops แม่งดันกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่​ คนดูฮือฮา ซิงเกิ้ลที่เคยลูกผีลูกคนก็ไต่ขึ้นไปถึงอันดับ​ 3 พวกเขาเริ่มดังแล้ว​ ส่วน​ Wham​ Rap! ซิงเกิ้ลแรกถูกรีลีสซ้ำอีกครั้งคราวนี้ขึ้นไปถึงอันดับ​ 8
แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ยังไม่มีเพลงอันดับ​ 1
ค่ายเพลงวางตำแหน่งให้​ Wham! เป็นวงที่จะต่อสู้ทางวัฒนธรรม​ เป็นตัวแทนคนหนุ่มสาว​ และกดดันให้พวกเขาทำเพลงที่ชี้นำสังคม​ Wham! เลยออกเพลง​ Bad​ boys ที่ดังเปรี้ยงขึ้นไปถึงอันดับ​ 2 แต่ทั้งคู่ไม่ชอบเลยสักนิด​ เพราะมันเป็นเพลงแบบสูตรสำเร็จ​ และพวกเขาก็ไม่ใช่นักวิจารณ์​สังคมห่าเหวอะไร​เลย
Wham! ก็แค่เป็นเด็กหนุ่มที่อยากร้องเพลงป๊อบธรรมดาๆที่สื่อสารตรงไปตรงมากับคนฟัง​ ไม่ได้อยากเป็นแร็ปเพื่อชีวิต
สองหนุ่มเดินทางไป​เกาะ​ Ibiza ที่​ Spain เพื่อหาแรงบันดาลใจ​ พวกเขาได้เพลง Club​ Tropicana​ ที่เป็นเพลงดัง​ แต่ตอนอยู่ที่​ Ibiza นี่แหละที่​ George สารภาพกับ​ Andrew ว่าเขาเป็นเกย์​
"ฉันไม่รู้​จะบอกนายว่าไงดี แต่ฉันเป็นเกย์​ ถ้าไม่เกย์ก็ไบเซ็กช่วลแหละ"
เรื่องของเรื่องคือ​ 6 เดือนก่อนจะมาที่​ Ibiza เขาไปค้างคืนที่บ้านผู้ชาย​ แล้วหมอนั่นพยายามจะเอา​ George แต่เขาไม่ยอมเพราะกลัว​ George ​แปลกใจว่าถึงแม้จะกลัวไม่อยากมี Sex​ แต่เขากลับอยากอยู่บนเตียงกับผู้ชายคนนั้น​ อยากใกล้ชิด​กัน​แบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน​ George เลยรู้ตัวว่าเป็นเกย์
Andrew พอรู้แบบนั้นก็บอกว่าบอกว่า​ "ไม่ปัญหา​อะไรกับรสนิยมทางเพศ​ของนายหรอก ฉันแค่อยากให้นายมีความสุขก็พอแล้ว"
น่ารักอ่ะ..... เพื่อนกันต้องแบบนี้ซิ
กลับมาอังกฤษเริ่มลุยทำวงต่อ​ ทั้งสองก็มีทะเลาะกันบ้างเพราะทักษะ​ George​ เริ่มไปไกลกว่า​ Andrew
Fantastic อัลบั้ม​เปิดตัว​ของพวกเขาขึ้นอันดับ​ 1 อัลบั้มมันดังแต่นักวิจารณ์​กลับไม่ชอบเพราะนักวิจารณ์​บอกว่ามันไม่เพื่อชีวิต​ ไม่ชี้นำสังคม​ ความเป็น​ Pop​ คือความกระจอก​ แต่​ Wham! ไม่สนใจ​ครับ และจะทำเพลงแบบนี้ต่อไป
Wham! ปรับลุ๊คใหม่​ในชุดกีฬา​ เสื้อวอร์ม​ กางเกงขาสั้นสีสดๆ​ พวกเขาออกทัวร์​และกลายเป็นไอดอลของวัยรุ่น​ ทยอยออกซิงเกิ้ลแบบรัวๆ​ แต่​ Wham! กลับไม่มีเงินเลย ส่วนแบ่งซิงเกิ้ลที่พวกเขาได้คือแค่​ 4% ใน​ UK และ 2% ในประเทศ​อื่น​ โดนหักค่าโน่นค่านี่ก็ไม่เหลือ
ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญญา​ที่เด็กอายุ​ 17​-18 ไปเซ็นกับ​ไอ้​ Mark​ Dean ที่เป็นเหมือนนายหน้า​ที่ The​ Hope ร้านอาหารตามสั่งข้างทางมันไม่เป็นธรรมครับ
Simon Napier Bell "พ่อมดยุค​ 60s" ก็เลยได้เข้ามาเป็น​ ผจก.​วง​ และพา​ Wham! ไปเซ็นสัญญา​กับ​ CBS โดยตรงไม่ต้องผ่านนายหน้า​ พอเข้าที่เข้าทางคราวนี้​ Wham! เลยได้มีเวลากลับมาคิดว่าจะทำไงดีกับเพลง Careless Whisper
George บินไปอเมริกา​ เขาไปที่สตูดิโอ​ Muscle Shoals ใน​ Albama​ ไปหา​ Jerry Wexler ที่เป็น​ Producer​ ของ Aretha Franklin​ และ Ray Charles เพื่อทำเพลง​ Careless Whisper
ก่อนอัดเสียง​ Jerry ขู่​ George ว่า​ "เตรียมตัวเลย​ จำไว้นะ​ จุดที่นายยืนอยู่​ Aretha กับ​ Ray​ เคยยืนอัดเสียงเพลงดังๆมาแล้วนับไม่ถ้วน" George​ได้ยินก็ยิ่งประหม่า​ เขาบอกว่า "ขอบคุณ​นะ​ แล้วมาบอกกันตอนที่ไอจะอัดเสียง​เพลงง่อยๆที่ไอแต่งบนรถบัสนี่นะ"
Jerry ปรับแต่ง​ Careless Whisper ใหม่​ แต่ดันออกมาเป็นแบบที่​ Wham! ไม่ชอบ​ เพราะมันมีความเป็นเพลงตลาดมากไป​ George เลยลงมือโพรดิวซ์เองและอัดมันใหม่ซ้ำอีกครั้งในแบบ​วันแมนโชว์​ George ​เลือกนักเป่าแซ็คโซโฟนมาเป็นสิบคน​ และลงเอยที่​ Steve​ Gregory ที่ได้มาทำหน้าที่นี้​ แต่​ Wham! ก็ยังไม่ได้ปล่อยเพลงนี้ออกมา
Wake me up before you go go นี่ก็มีที่มานะครับ​ George ไปนอนค้างบ้าน​ Andrew แล้วเจ้าของบ้านตั้งใจจะเขียนโน้ต​แปะบอกไว้ที่ประตู​ห้องว่า​ Wake me up, up before you go
แต่​ Andrew ดันเขียนผิดเป็น​ Wake me up before you go go ซึ่ง​ George เห็นแล้วร้อง​ Wow เลย​ เขาบอกว่านี่คือชื่อเพลงที่เด็ดที่สุด​ เพลงนี้คือเพลงที่ขึ้นอันดับ​ 1 เพลงแรก​ของพวกเขา นักวิจารณ์​บอกว่าสองหนุ่มหน้าตาหน่อมแน้มแบบนี้ไม่น่าทำเพลงอย่างงี้ได้เลย​ (ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเพลงนี้​แม้จะเป็นเพลง​ pop แต่ Bassline​ แม่งสุดๆเลยครับ​ คนเล่นคือ​ Deon Estus มือเบสที่เก่งมากคนนึงของโลก)
นักวิจารณ์​บางคนบอกว่า​ "คนรักไอ้เด็กโง่​ 2 คนนี้ไปได้ไง"
ฝรั่งนี่แม่งแรงชิบหาย​ 555
กลับมาที่​ Careless Whisper ด้วยความที่ทักษะของ​ George ก้าวไปจนถึงความเป็น​ Producer​ ที่ล้ำหน้า​ Andrew ไปเยอะทั้งคู่ต่างรู้ดีกว่าวันนึง​ George ต้องเป็น​ solo artist ตาม​ skill ของเขาแน่ๆ​
ในปี​ 1984​ ที่ปล่อยเพลง​ Careless Whisper ออกมา​ Andrew ก็เลยสนับสนุนให้​ George ปล่อยเพลงเป็น​งาน​ solo single ดังนั้นพอเพลงถูกปล่อยที่อเมริกาเครดิตเพลงนี้ก็เลยกลายเป็น​ Wham! Featuring George Michael
ที่เหลือต่อจากนั้นคือตำนานครับ
ส่วน​ Last Christmas นี่มาแบบจู่ๆก็มาเลย​ เพราะวันนั้น​ 2 หนุ่มนั่งรอดูถ่ายทอดสดฟุตบอล​ แล้วทันทีทันใด​ George​ ก็ลุกพรวดพราดวิ่งขึ้นไปชั้น​ 2 ของบ้าน ทิ้ง​ Andrew ไว้คนเดียว​ เขาหายไปพักนึงก่อนจะกลับลงมาบอกกับ​เพื่อนว่านี่คือเพลง Last Christmas และปีนี้เราจะมีเพลงคริสมาสท์ที่ขึ้นอันดับ​ 1
แต่พวกเขาคาดผิดครับ​ Last Christmas ไปไม่ถึงอันดับ​ 1 ในปีนั้น​ มันไปคาอยู่ที่อันดับ​ 2 ก่อนจะใช้เวลาอีกเป็นสิบๆปีขึ้นถึงอันดับ​ 1 ได้สำเร็จในปี​ 2020​ แต่เป็นหลังจากที่​ George​ ลาโลกนี้ไปแล้ว
Wham! ถูกยกย่องว่าเป็นนักปฏิวัติ​ทางวัฒนธรรม​เพราะพวกเขาคือป๊อบสตาร์​วงแรกที่ไปเหยียบจีนแผ่นดิน​ใหญ่และเปิดโชว์ที่นั่น
โชว์สุดท้ายของ​ Wham! ที่เป็นโชว์อำลาชื่อ​ The​Final จัดที่​ Wembley หลังจบโชว์​ George กอด​ Andrew น้ำตารื้นและกระซิบว่า​ "ฉันทำมันไม่ได้แน่ๆ​โดยปราศจากนาย"
คนอายุ​ 50​ กลางๆแบบผมคิดถึง​ Wham! จริงๆครับ
โฆษณา