แฟนเพลงยุค 80s น่าจะชอบ Wham! หนังไบโอพิคของวงดูโอ้ชื่อดังใน Netflix ที่เขาทำขึ้นมาจากบทสัมภาษณ์ และ archive footage ของ George Michael กับ Andrew Ridgeley สองหนุ่มป๊อบไอคอนของยุค 80s ครับ ทุกอย่างคือภาพจริงเสียงจริงทั้งหมด
ทั้งคู่เจอกันตอน George อายุ 11 ส่วน Andrew อายุ 12 ที่ รร.บุชชี่มีดส์ ในปี 75 George เป็นเด็กเข้าใหม่ Andrew เลยอาสาดูแล George เขาเรียก George ว่า "ย็อก" (Yog) ส่วน George เรียก Andrew ว่า "แอนดี้"
ทั้งคู่เข้ากันได้ดี มักจะพากันหมกมุ่นทำเป็น DJ จัดรายการวิทยุ พออายุ 16 ก็ตั้งวงดนตรีแนว Ska แต่ไปไม่รอด แค่ปีเดียววงก็แตกเหลือกันอยู่ 2 คน โดนคนรอบข้างหัวเราะเยาะ บางคนนี่ถึงขนาดพูดว่า "ไอ้โง่ 2 คนนี้มันจะไปดังได้ไงวะ?"
ช่วงแรกๆที่ยังกระจอกอยู่ Wham! เลยต้องออกทัวร์ตามคลับเล็กๆ ต้องเจอพวกขี้เมาก่อกวน แถมยังโดนค่ายเพลงกดดันให้มีเพลงฮิต George เลยแต่ง Young Guns และถ้าเพลงนี้ไม่ดังก็จะโดนยกเลิกสัญญา ปรากฏว่า Young Guns เข้าชาร์ทอันดับ 72 ไต่ไปถึง 42 แต่ไปไม่ถึง Top 40
โห... แบบนี้โดนยกเลิกสัญญาแน่ๆ
แต่คนมันจะดังอะไรก็หยุดไม่อยู่ Top of the pops รายการเพลงชื่อดังโทรมาชวน Wham! ให้ไปออกรายการในฐานะมวยแทนเพราะศิลปินที่เขาเชิญไว้ดันถอนตัว ทั้งคู่ตอบรับทันทีและเดินทางไปโดยที่ไม่มีเงินเลย ไปนอนกันโรงแรมเล็กๆ จับไม้สั้นไม้ยาว Andrew ได้นอนเตียงใหญ่ ส่วน George ต้องนอนเตียงเด็ก เสื้อผ้าใส่โชว์ก็มีแค่ 2 ชุดต้องสลับกันใส่
แต่ความเฉิ่ม เชย บ้านๆ แบบนี้แหละครับพอไปออก Top of the pops แม่งดันกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ คนดูฮือฮา ซิงเกิ้ลที่เคยลูกผีลูกคนก็ไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 3 พวกเขาเริ่มดังแล้ว ส่วน Wham Rap! ซิงเกิ้ลแรกถูกรีลีสซ้ำอีกครั้งคราวนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 8
เรื่องของเรื่องคือ 6 เดือนก่อนจะมาที่ Ibiza เขาไปค้างคืนที่บ้านผู้ชาย แล้วหมอนั่นพยายามจะเอา George แต่เขาไม่ยอมให้เอาเพราะกลัว George แปลกใจว่าถึงแม้จะกลัวไม่อยากมี Sex แต่เขากลับอยากอยู่บนเตียงกับผู้ชายคนนั้น อยากใกล้ชิดกันแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน George เลยรู้ตัวว่าเป็นเกย์
Andrew พอรู้แบบนั้นก็บอกว่าบอกว่า "ไม่ปัญหาอะไรกับรสนิยมทางเพศของนายหรอก ฉันแค่อยากให้นายมีความสุขก็พอแล้ว"
น่ารักอ่ะ..... เพื่อนกันต้องแบบนี้ซิ
กลับมาอังกฤษเริ่มลุยทำวงต่อ ทั้งสองก็มีทะเลาะกันบ้างเพราะทักษะ George เริ่มไปไกลกว่า Andrew
ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญญาที่เด็กอายุ 17-18 ไปเซ็นกับไอ้ Mark Dean ที่เป็นเหมือนนายหน้าที่ The Hope ร้านอาหารตามสั่งข้างทางมันไม่เป็นธรรมครับ
Simon Napier Bell "พ่อมดยุค 60s" ก็เลยได้เข้ามาเป็น ผจก.วง และพา Wham! ไปเซ็นสัญญากับ CBS โดยตรงไม่ต้องผ่านนายหน้า พอเข้าที่เข้าทางคราวนี้ Wham! เลยได้มีเวลากลับมาคิดว่าจะทำไงดีกับเพลง Careless Whisper
George บินไปอเมริกา เขาไปที่สตูดิโอ Muscle Shoals ใน Albama ไปหา Jerry Wexler ที่เป็น Producer ของ Aretha Franklin และ Ray Charles เพื่อทำเพลง Careless Whisper
ก่อนอัดเสียง Jerry ขู่ George ว่า "เตรียมตัวเลย จำไว้นะ จุดที่นายยืนอยู่ Aretha กับ Ray เคยยืนอัดเสียงเพลงดังๆมาแล้วนับไม่ถ้วน" Georgeได้ยินก็ยิ่งประหม่า เขาบอกว่า "ขอบคุณนะ แล้วมาบอกกันตอนที่ไอจะอัดเสียงเพลงง่อยๆที่ไอแต่งบนรถบัสนี่นะ"
Jerry ปรับแต่ง Careless Whisper ใหม่ แต่ดันออกมาเป็นแบบที่ Wham! ไม่ชอบ เพราะมันมีความเป็นเพลงตลาดมากไป George เลยลงมือโพรดิวซ์เองและอัดมันใหม่ซ้ำอีกครั้งในแบบวันแมนโชว์ George เลือกนักเป่าแซ็คโซโฟนมาเป็นสิบคน และลงเอยที่ Steve Gregory ที่ได้มาทำหน้าที่นี้ แต่ Wham! ก็ยังไม่ได้ปล่อยเพลงนี้ออกมา
Wake me up before you go go นี่ก็มีที่มานะครับ George ไปนอนค้างบ้าน Andrew แล้วเจ้าของบ้านตั้งใจจะเขียนโน้ตแปะบอกไว้ที่ประตูห้องว่า Wake me up, up before you go
แต่ Andrew ดันเขียนผิดเป็น Wake me up before you go go ซึ่ง George เห็นแล้วร้อง Wow เลย เขาบอกว่านี่คือชื่อเพลงที่เด็ดที่สุด เพลงนี้คือเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 เพลงแรกของพวกเขา นักวิจารณ์บอกว่าสองหนุ่มหน้าตาหน่อมแน้มแบบนี้ไม่น่าทำเพลงอย่างงี้ได้เลย (ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเพลงนี้แม้จะเป็นเพลง pop แต่ Bassline แม่งสุดๆเลยครับ คนเล่นคือ Deon Estus มือเบสที่เก่งมากคนนึงของโลก)
กลับมาที่ Careless Whisper ด้วยความที่ทักษะของ George ก้าวไปจนถึงความเป็น Producer ที่ล้ำหน้า Andrew ไปเยอะทั้งคู่ต่างรู้ดีกว่าวันนึง George ต้องเป็น solo artist ตาม skill ของเขาแน่ๆ
ในปี 1984 ที่ปล่อยเพลง Careless Whisper ออกมา Andrew ก็เลยสนับสนุนให้ George ปล่อยเพลงเป็นงาน solo single ดังนั้นพอเพลงถูกปล่อยที่อเมริกาเครดิตเพลงนี้ก็เลยกลายเป็น Wham! Featuring George Michael
ที่เหลือต่อจากนั้นคือตำนานครับ
ส่วน Last Christmas นี่มาแบบจู่ๆก็มาเลย เพราะวันนั้น 2 หนุ่มนั่งรอดูถ่ายทอดสดฟุตบอล แล้วทันทีทันใด George ก็ลุกพรวดพราดวิ่งขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน ทิ้ง Andrew ไว้คนเดียว เขาหายไปพักนึงก่อนจะกลับลงมาบอกกับเพื่อนว่านี่คือเพลง Last Christmas และปีนี้เราจะมีเพลงคริสมาสท์ที่ขึ้นอันดับ 1
โชว์สุดท้ายของ Wham! ที่เป็นโชว์อำลาชื่อ TheFinal จัดที่ Wembley หลังจบโชว์ George กอด Andrew น้ำตารื้นและกระซิบว่า "ฉันทำมันไม่ได้แน่ๆโดยปราศจากนาย"
คนอายุ 50 กลางๆแบบผมคิดถึง Wham! จริงๆครับ
ทั้งคู่เจอกันตอน George อายุ 11 ส่วน Andrew อายุ 12 ที่ รร.บุชชี่มีดส์ ในปี 75 George เป็นเด็กเข้าใหม่ Andrew เลยอาสาดูแล George เขาเรียก George ว่า "ย็อก" (Yog) ส่วน George เรียก Andrew ว่า "แอนดี้"
ทั้งคู่เข้ากันได้ดี มักจะพากันหมกมุ่นทำเป็น DJ จัดรายการวิทยุ พออายุ 16 ก็ตั้งวงดนตรีแนว Ska แต่ไปไม่รอด แค่ปีเดียววงก็แตกเหลือกันอยู่ 2 คน โดนคนรอบข้างหัวเราะเยาะ บางคนนี่ถึงขนาดพูดว่า "ไอ้โง่ 2 คนนี้มันจะไปดังได้ไงวะ?"
ช่วงแรกๆที่ยังกระจอกอยู่ Wham! เลยต้องออกทัวร์ตามคลับเล็กๆ ต้องเจอพวกขี้เมาก่อกวน แถมยังโดนค่ายเพลงกดดันให้มีเพลงฮิต George เลยแต่ง Young Guns และถ้าเพลงนี้ไม่ดังก็จะโดนยกเลิกสัญญา Young Guns เข้าชาร์ทอันดับ 72 ไต่ไปถึง 42 แต่ไปไม่ถึง Top 40
โห... แบบนี้โดนยกเลิกสัญญาแน่ๆ
แต่คนมันจะดังอะไรก็หยุดไม่อยู่ Top of the pops รายการเพลงชื่อดังโทรมาชวน Wham! ให้ไปออกรายการในฐานะมวยแทนเพราะศิลปินที่เขาเชิญไว้ดันถอนตัว ทั้งคู่ตอบรับทันทีและเดินทางไปโดยที่ไม่มีเงินเลย ไปนอนกันโรงแรมเล็กๆ จับไม้สั่นไม้ยาว Andrew ได้นอนเตียงใหญ่ ส่วน George ต้องนอนเตียงเด็ก เสื้อผ้าใส่โชว์ก็มีแค่ 2 ชุดต้องสลับกันใส่
แต่ความเฉิ่ม เชย บ้านๆ แบบนี้แหละครับพอไปออก Top of the pops แม่งดันกลายเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ คนดูฮือฮา ซิงเกิ้ลที่เคยลูกผีลูกคนก็ไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 3 พวกเขาเริ่มดังแล้ว ส่วน Wham Rap! ซิงเกิ้ลแรกถูกรีลีสซ้ำอีกครั้งคราวนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 8
เรื่องของเรื่องคือ 6 เดือนก่อนจะมาที่ Ibiza เขาไปค้างคืนที่บ้านผู้ชาย แล้วหมอนั่นพยายามจะเอา George แต่เขาไม่ยอมเพราะกลัว George แปลกใจว่าถึงแม้จะกลัวไม่อยากมี Sex แต่เขากลับอยากอยู่บนเตียงกับผู้ชายคนนั้น อยากใกล้ชิดกันแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน George เลยรู้ตัวว่าเป็นเกย์
Andrew พอรู้แบบนั้นก็บอกว่าบอกว่า "ไม่ปัญหาอะไรกับรสนิยมทางเพศของนายหรอก ฉันแค่อยากให้นายมีความสุขก็พอแล้ว"
น่ารักอ่ะ..... เพื่อนกันต้องแบบนี้ซิ
กลับมาอังกฤษเริ่มลุยทำวงต่อ ทั้งสองก็มีทะเลาะกันบ้างเพราะทักษะ George เริ่มไปไกลกว่า Andrew
ที่เป็นแบบนี้เพราะสัญญาที่เด็กอายุ 17-18 ไปเซ็นกับไอ้ Mark Dean ที่เป็นเหมือนนายหน้าที่ The Hope ร้านอาหารตามสั่งข้างทางมันไม่เป็นธรรมครับ
Simon Napier Bell "พ่อมดยุค 60s" ก็เลยได้เข้ามาเป็น ผจก.วง และพา Wham! ไปเซ็นสัญญากับ CBS โดยตรงไม่ต้องผ่านนายหน้า พอเข้าที่เข้าทางคราวนี้ Wham! เลยได้มีเวลากลับมาคิดว่าจะทำไงดีกับเพลง Careless Whisper
George บินไปอเมริกา เขาไปที่สตูดิโอ Muscle Shoals ใน Albama ไปหา Jerry Wexler ที่เป็น Producer ของ Aretha Franklin และ Ray Charles เพื่อทำเพลง Careless Whisper
ก่อนอัดเสียง Jerry ขู่ George ว่า "เตรียมตัวเลย จำไว้นะ จุดที่นายยืนอยู่ Aretha กับ Ray เคยยืนอัดเสียงเพลงดังๆมาแล้วนับไม่ถ้วน" Georgeได้ยินก็ยิ่งประหม่า เขาบอกว่า "ขอบคุณนะ แล้วมาบอกกันตอนที่ไอจะอัดเสียงเพลงง่อยๆที่ไอแต่งบนรถบัสนี่นะ"
Jerry ปรับแต่ง Careless Whisper ใหม่ แต่ดันออกมาเป็นแบบที่ Wham! ไม่ชอบ เพราะมันมีความเป็นเพลงตลาดมากไป George เลยลงมือโพรดิวซ์เองและอัดมันใหม่ซ้ำอีกครั้งในแบบวันแมนโชว์ George เลือกนักเป่าแซ็คโซโฟนมาเป็นสิบคน และลงเอยที่ Steve Gregory ที่ได้มาทำหน้าที่นี้ แต่ Wham! ก็ยังไม่ได้ปล่อยเพลงนี้ออกมา
Wake me up before you go go นี่ก็มีที่มานะครับ George ไปนอนค้างบ้าน Andrew แล้วเจ้าของบ้านตั้งใจจะเขียนโน้ตแปะบอกไว้ที่ประตูห้องว่า Wake me up, up before you go
แต่ Andrew ดันเขียนผิดเป็น Wake me up before you go go ซึ่ง George เห็นแล้วร้อง Wow เลย เขาบอกว่านี่คือชื่อเพลงที่เด็ดที่สุด เพลงนี้คือเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 เพลงแรกของพวกเขา นักวิจารณ์บอกว่าสองหนุ่มหน้าตาหน่อมแน้มแบบนี้ไม่น่าทำเพลงอย่างงี้ได้เลย (ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเพลงนี้แม้จะเป็นเพลง pop แต่ Bassline แม่งสุดๆเลยครับ คนเล่นคือ Deon Estus มือเบสที่เก่งมากคนนึงของโลก)
กลับมาที่ Careless Whisper ด้วยความที่ทักษะของ George ก้าวไปจนถึงความเป็น Producer ที่ล้ำหน้า Andrew ไปเยอะทั้งคู่ต่างรู้ดีกว่าวันนึง George ต้องเป็น solo artist ตาม skill ของเขาแน่ๆ
ในปี 1984 ที่ปล่อยเพลง Careless Whisper ออกมา Andrew ก็เลยสนับสนุนให้ George ปล่อยเพลงเป็นงาน solo single ดังนั้นพอเพลงถูกปล่อยที่อเมริกาเครดิตเพลงนี้ก็เลยกลายเป็น Wham! Featuring George Michael
ที่เหลือต่อจากนั้นคือตำนานครับ
ส่วน Last Christmas นี่มาแบบจู่ๆก็มาเลย เพราะวันนั้น 2 หนุ่มนั่งรอดูถ่ายทอดสดฟุตบอล แล้วทันทีทันใด George ก็ลุกพรวดพราดวิ่งขึ้นไปชั้น 2 ของบ้าน ทิ้ง Andrew ไว้คนเดียว เขาหายไปพักนึงก่อนจะกลับลงมาบอกกับเพื่อนว่านี่คือเพลง Last Christmas และปีนี้เราจะมีเพลงคริสมาสท์ที่ขึ้นอันดับ 1