4 ส.ค. 2023 เวลา 00:00 • ข่าวรอบโลก

ติดอยู่ในทะเลทรายนาน 10 วัน: Mauro Prosperi อยู่รอดได้ยังไง

Mauro Prosperi เป็นชายที่มักจะเข้าหาสิ่งที่ท้าทายตัวเขาอยู่เสมอ เขาเคยเป็นตำรวจ เขาเคยเป็นตัวแทนทีมชาติอิตาลีในการแข่งขันโอลิมปิกในปี 1984 และในปี 1994 เขาก็ได้เข้าร่วม ultramarathon ที่มีชื่อว่า "Marathon des Sables"
Marathon des Sables หรือ "มาราธอนแห่งผืนทราย" เป็นรายการแข่งที่ได้ชื่อว่าหินที่สุดในโลก โดยมันกินระยะทางกว่า 250 กม. ตลอดระยะเวลา 6 วัน และสถานที่ที่มันถูกจัดขึ้นก็ไม่ใช่สนามแข่งวิ่งที่ไหน แต่เป็นทะเลทรายซาฮารานั่นเอง
Mauro Prosperi เริ่มออกวิ่งในวันที่ 10 เมษายน 1994 พร้อมกับผู้เช้าแช่งขันอีกกว่า 80 คน ในกระเป๋าของเขามีน้ำและอาหารที่จำกัด แต่ก็มากพอที่จะพาเขาไปถึงเส้นชัยหากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น และหากเขาเกิดหลงทางขึ้นมา ผู้เข้าแข่งขันทุกคนก็ยังได้รับปืนยิงพลุสำหรับยิงขอความช่วยเหลือ นอกจากนั้นเขาก็ได้เตรียมร่างกายมาเป็นอย่างดีด้วย ดังนั้นคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก จริงไหม?
ในช่วงเวลา 3 วันแรก การเดินทางข้ามทะเลทรายซาฮาราของ Mauro เป็นไปได้อย่างราบรื่น เขาได้วิ่งไปเป็นระยะทางกว่า 96 กม. แล้วก็มาถึงวันที่ 4 วันที่เขาจะต้องเดินทางกว่า 85 กม. กว่าจะถึงที่พักถัดไป ถึงช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้เข้าแข่งขันหลาย ๆ คนต้องเดินทางอยู่คนเดียวเนื่องจากความเร็วช้าของฝีเท้าแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นไม่ว่า Mauro Prosperi จะมองไปทางไหน เขาก็เห็นได้แต่ผืนทรายที่แผ่ออกไปไม่รู้จบ
ในบ่ายวันนั้นอุณหภูมิชึ้นสูงถึง 46ํ ํC แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก Mauro ได้เจอเข้ากับพายุทราย แต่เขาก็ยังคงวิ่งฝ่าไปจนกระทั่งหลุดพ้นมันไปใน 8 ชั่วโมงถัดมา
พายุทรายเริ่มพัดเข้ามา แต่ผมก็ยังวิ่งต่อเพราะผมคิดว่ายังมองเห็นเส้นทางอยู่—ตอนนั้นผมอยู่ที่ 7 และผมก็ไม่อยากร่วงลง—พอพายุสงบลงผมก็เริ่มวิ่งไวขึ้น แต่พอไปได้ไม่กี่นาทีผมถึงได้รู้ว่าผมหลงออกมาจากเส้นทางแล้ว
Mauro Prosperi
ในเช้าวันถัดไปเขาได้เริ่มวิ่งอีกครั้ง โดยหวังว่าคงจะได้เจอกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น โดยเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงกว่าเขาจะหยุดลง ในตอนนั้น Mauro ได้เดินไต่ขึ้นเนินทราย พยายามจะมองหาอะไรก็ตามที่จะช่วยให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่เขาก็เห็นแต่ทราย ไม่มีผู้เข้าแข็งขันอื่น ไม่มีเส้นทางวิ่ง ไม่มีจุดพัก มีแต่ทราย
ถึงตอนนี้เมื่อน้ำที่เขาได้นำติดตัวมาเริ่มร่อยหรอลง เขาก็ได้กินฉี่ของตัวเองเพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำไปมากกว่านี้ และเมื่อมั่นใจแล้วว่าตัวเองไม่มีทางกลับเข้าเส้นทางได้ Mauro จึงได้หยุดเดินและรอให้ทีมค้นหามาช่วย ตามที่ผู้จัดงานได้แนะนำเอาไว้
ในเย็นวันนั้น Mauro เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินมาทางเขา เขาจึงยิงปืนพลุออกไปเพื่อส่งสัญญาณให้คนขับเห็น เขาวิ่งตามเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นพรางตะโกนให้ได้ยิน แต่เฮลิคอปเตอร์ก็บินผ่านไปโดยไม่เห็นเขาแต่อย่างใด
เช้าวันถัดไป Mauro ได้เริ่มเดินออกมาแหล่งน้ำ และเขาก็ได้เจอกับอาคารหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้าง ภายในนั้นมีฝูงค้างคาวอยู่จำนวนหนึ่ง เขาตัดสินใจที่จะกินพวกมัน โดยหลังจากฆ่าพวกมันแล้วเขาจึงใช้มีดคนเครื่องในและดูดออกมา
ผมเห็นพวกค้างคาว ผมคิดว่าจะกินพวกมันดิบ ๆ จะได้ไม่ต้องใช้น้ำ วิธีนี้จะทำให้ผมได้กินและดื่มไปพร้อม ๆ กัน
Mauro Prosperi
วันถัดไปในที่สุด Mauro Prosperi ก็ตัดสินใจ ถ้าสุดท้ายเขาไม่สามารถกลับบ้านได้ อย่างน้อยก็ขอให้ครอบครัวได้รับเงินบำนาญของเขา และตามกฎหมายอิตาลี หากไม่สามารถหาร่างของผู้สูญหายได้ ครอบครัวจะไม่ได้รับเงินตอบแทนในส่วนนี้
หากเขาเดินทางต่อไปเขาอาจจะตายอยู่กลางทะเลทรายโดยไม่มีใครมาพบ และร่างของเขาก็จะสูญหายไป แต่หากเขาตายอยู่ที่นี่ อย่างน้อยโอกาสที่จะมีใครมาพบก็มีมากกว่า เขาจึงตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายโดยการกรีดข้อมือ
1
แต่เขาก็ยังไม่ตายเนื่องจากอาการขาดน้ำอย่างหนักทำให้เลือดของเขาแข็งตัวทันทีหลังจากมันไหลออกมา โดยเขาเพียงแค่สลบไปคืนหนึ่งเท่านั้น
ผมอยู่กับความตาย—ทุกวันผมใช้ชีวิตอยู่กับมัน จนสุดท้ายมันก็กลายเป็นเพื่อน สนิทกันซะด้วย—ผมเดินทางใช้ชีวิตต่อ แล้วความตายก็อยู่เป็นเพื่อน มันช่วยให้กำลังใจ ไม่ให้ผมยอมแพ้
Mauro Prosperi
แล้ว Mauro Prosperi ก็เดินหาความช่วยเหลือต่อจนเขาได้เจอบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ไกล ๆ มันคือฝูงแพะที่มีเด็กหญิงคนหนึ่งไล่ต้อนอยู่ เขาได้พบเข้ากับชนเบอร์เบอร์—กลุ่มชาติพันธ์แถบแอฟริกาเหนือ
ถึงตอนนั้นผมก็ได้เข้าใจ ผมได้เกิดใหม่—ผมอยู่ในทะเลทรายมา 9 วันครึ่ง เหมือนกับอยู่ในครรภ์ของทะเลทราย—และผมก็ได้เกิดใหม่อีกครั้ง
Mauro Prosperi
พวกเขาให้นมแพะแก่ Mauro ดื่มแต่เขาก็อวกออกมาเนื่องจากการขาดน้ำและอาหารหลายวันทำให้ร่างกาบของเขารับไม่ไหว
ถึงตอนนี้ Mauro ได้เดินออกมาไกลจากเส้นทางมาราธอนของเขากว่า 289 กม. และข้ามพรมแดนมาอยู่ในเขตของประเทศแอลจีเรีย โดยเขามีน้ำหนักเพียง 43 กก. เท่านั้น
ผมส่องดูในกระจก—ตอนนั้นตัวผมเหลือแค่กระดูก ดวงตาของผมไหลลึกเข้าไปในกระโหลกจนแทบมองไม่เห็น
Mauro Prosperi
Mauro Prosperi ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่เขาใช้เวลารักษาตัวอยู่ 7 วันก่อนที่จะถูกส่งตัวกลับไปที่โรม
น้ำหนักของ Mauro Prosperi ลดลงไป 15 กก. และแพทย์ต้องให้ของเหลวกว่า 16 ลิตรเพื่อแทนที่น้ำที่เสียไป ตับของเขาได้รับความเสียหายทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารได้ เขาจึงกินได้แต่อาหารเหลวอยู่หลายเดือน ขาของเขามีอาการตะคริวเป็นระยะเวลานาน 1 ปี และไตของเขาได้รับความเสียหายถาวร Mauro Prosperi ใช้เวลา 2 ปีในการฟื้นตัว
อย่างไรก็ตามประสบการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ Mauro Prosperi ถอดใจจากการวิ่งในทะเลทรายแต่อย่างใด โดยเขากลับไปวิ่ง Marathon des Sables อีกครั้งในปี 1997 และเข้าร่วมมันอีกกว่า 9 ครั้ง
หลังจากครั้งแรก Mauro Prosperi เข้าเส้นชัยทุกครั้งในรายการ Marathon des Sables
ที่มา
โฆษณา