18 ก.ค. 2023 เวลา 10:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ดอลลาร์ดิจิทัล (CBDC) ระบบเงิน ที่จะออกมารองรับการล่มสลายในอนาคต?

ผมเริ่มต้นปูพื้นฐานทุกคนที่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับ รูปแบบของเงินตราที่เราใช้กันอยู่ ว่าแยกออกเป็นกี่รูปแบบนะครับ จริงๆแล้ว เงินแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ เงินของธนาคารกลาง(Central Bank money) เงินของธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank Money ) และ เงินของกลุ่มที่ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันพาณิชย์(Non Bank Money ) โฟกัส ไปที่ 2 กลุ่มแรกก่อน คือ Central Bank Money และ Commercial Bank Money
งเินสามรูปแบบCentralBank money, commercial bank money ,non-bank money
เงินของธนาคารกลาง(เหรียญและธนบัตรที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฏหมายซึ่งธนาคารกลางมีภาระที่ต้องรักษามูลค่าของตัวกลางในการแลกเปลี่ยนนี้)
ผมจะเรียก Central Bank Money ว่า เงินหมุนเวียน ละกันนะครับ เงินหมุนเวียนตัวนี้ เป็นหนี้สินของธนาคารกลางเนื่องจาก หากเราลองสังเกตุธนบัตรในมือเรา จะมีลายเซ็นของผู้ว่าธนาคารกลาง ว่าธนบัตรใบนี้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย ซึ่ง ต้องเท่ากับมูลค่าที่ตราไว้ เช่น 100 บาท จะต้องซื้อของได้ 100 ชิ้น สมมติ หากมันซื้อของได้น้อยลงกว่านี้ เช่นซื้อได้ 50 ชิ้น แปลว่าเงินเสื่อมมูลค่าลง ซึ่ง ผุ้รับผิดชอบการเสื่อมมูลค่าของเงินที่แรงแบบนี้ คือ ธนาคารกลาง เราจะโฟกัสไปที่ผู้ออกธนบัตรว่า มีมาตรการควบคุมอย่างไร
โดยเฉพาะการเฟ้อของเงินที่มันเป็นธรรมชาติของตัวเงินเอง (เราอย่าไปหวังว่าเงินจะไม่เฟ้อในอนาคต เพราะ มันเป็นธรรมชาติของเงินนะครับ เนื่องจาก เงินเป็นหนี้สิน ซึ่งเป็นการอัดฉีดมาจากภาคธนาคารทีปล่อยกู้ ลองคิดดูว่า เราฝากเงิน 100 บาท แต่ ระบบธนาคารสามารถปล่อยกู้กันได้รวม 1000 บาท ดังนั้น มันจะมี 900 วิ่งไปซื้อสินค้าและบริการ และ ยกระดับค่าครองชีพขึ้น ดังนั้น มันเป็นธรรมชาติของเงินสำหรับประเทศที่พึ่งการลงทุนต่อเนื่องอยู่ (ยกเว้นประเทศที่การลงทุนลดลงหายไป หรือ เชิงโครงสร้าง เช่นหนี้ครัวเรือนสูงเป็นต้น)
ส่วนที่สอง คือ Commercial Bank เงินของธนาคารพาณิชย์ เงินนี้จะถูกสร้างขึ้น (ผมไม่ได้หมายถึงการพิมพ์ใหม่) ผมใช้คำว่า สร้างสภาพคล่องละกันนะครับ เมื่อเงินถูกฝากเข้าไปเช่น 100 บาท เงินถูกกักไว้ 10% ที่เหลือ 90% เอาไปปล่อยกู้ หรือ ซื้อสินทรัพย์ ดังนั้น สภาพคล่องนี้ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว การทำซ้ำๆ ของระบบธนาคารแบบนี้วนไปเรื่อยๆ เช่น ฝาก 100 ปล่อยกู้ 90 ฝาก 90 ปล่อยกู้ 81 แบบนี้ไปเรื่อยๆ ปริมาณเงินจาก 100 จะเพิ่มไปที่ 1000 หรือ 10 เท่านั้นเอง ซึ่งจะไปเพิ่มระดับราคาสินค้าบริการและสินทรัพย์การเงินต่างๆ
เงินส่วนนี้มีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องที่ธนาคารอาจจะหามาคืนไม่ได้ เมื่อประสบปัญหาแบงค์ล่ม หรือ ความเชื่อมั่นนั่นเอง ทำให้ต้องมีการที่รัฐอาจจะต้องประกันเงินฝากว่า หากแบงค์ล่มลง รัฐบาลจะจ่ายเงินให้ตามวงเงินที่ให้ประกันเงินฝากไว้ เงินส่วนนี้ขึ้นอยู่กับแบงค์บริหารสภาพคล่อง หากปล่อยกู้กันมาก และ สำรองกันเงินไว้ให้ลูกค้าถอนน้อย อาจจะเกิดปัญหา ดังภาพด้านล่าง ที่ ธนาคาร Silicon Valley Bank ประสบปัญหาสภาพคล่อง และ ต้องขายสินทรัพย์แบบขาดทุนออกมา
Commercial bank money(เงินของธนาคารพาณิชย์)
การขาดทุนจากการขายสินทรัพย์และทำให้ส่วนทุนธนาคารติดลบขาดสภาพคล่ง
วิธีการคำนวณการขาดทุนอย่างง่ายโดยexcelโดยใช้net present valueสำหรับการขายบอนด์ดอกเบี้ย4%ต้นทุนที่ซื้อดอกเบี้ย1.7%
มูลค่าตราสารที่commercial bankถือไว้และลดลงจากดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้มูลค่าบอนด์ลดลง
สรุปเงินทั้งสองแบบไปแล้ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจตอนนี้ คือ Central bank และ Commercial Bank Money แล้ว มันเกี่ยวอะไรยังไง กับระบบเงินดิจิตัลที่เขาผลักดันกันตอนนี้โดยเฉพาะ ธนาคารกลางสหรัฐ มาดูภาพต่อไปกัน
การคาดการณ์งบประมาณขาดดุลของสหรัฐและระดับหนี้10ปีตั้งแต่2023-2033
หนี้สินสหรัฐคาดการณ์จะเพิ่มจาก 25 ล้านล้านในปี 2023 (ซึ่งคือ 32ล้านล้าน) ไปแตะ 46 ล้านล้าน ในปี 2033 หรือ 10 ปีข้างหน้า เพราะ มีการทำงบประมาณขาดดุลแบบต่อเนื่อง นั้นหมายถึง ภาระหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐจะสูงขึ้นเรื่อยๆ นำมาถึงดอกเบี้ยจ่ายที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายขนาดดอกเบี้ยจ่ายจะเท่ากับ งบประมาณสำหรับระบบประกันสุขภาพMedicare , Medicaid ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี คิดง่ายๆคือ ถ้าเงินจำนวน 1.3 ล้านล้าน หรือ 2.7 ล้านล้านเอาไปพัฒนาประเทศ จะทำให้ผลิตผลิตประเทศเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน ต้องย้ำตรงนี้ว่า
การคาดการณ์ระดับหนี้สาธารณะสหรัฐ10ปี-2033
การเพิ่มเงินไม่ใช่การเพิ่มคุณภาพชีวิต เงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ทุนจริงๆ พูดแบบนี้อาจจะงง คือ เราใช้ทุนเงินเพื่อให้เกิดทุนจริง เช่น นักกีฬา เขาจะแสดงผลงานออกมา เมื่อมีเงินจูงใจ หรือ incentive (เงินเป็นตัว incentive ให้เกิดทุนจริง หรือ ผลผลิตจริง คือ การเล่นกีฬา เป็นต้น) ดังนั้น เมื่อหนี้ที่มากขนาดนี้ และ ไม่มีทางที่จะใช้คืนได้แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือ คนจะขาดความเชื่อมั่นในดอลลาร์แน่นอน และเมื่อเกิดภาวะนั้นคือในอนาคต คนจะขายดอลลาร์และแลกไปเป็นสกุลอื่น ทำให้เกิดการประเมินมูลค่าดอลลาร์
หรือ Valuation Shock ในดอลลาร์ ซึ่งอาจจะอ่อนค่าแบบ- 30%-50% เราไม่รู้ ทางออกที่จะให้สหรัฐน่าเชื่อถือคือ ลดหนี้ลง ซึ่งมันไม่เกิดขึ้น หรือ เพิ่มรายได้ให้ทันหนี้ (ซึ่งดูจากการเติบโตแล้ว ก็เพียงแค่จะพอจ่ายดอกเบี้ย ยังไม่พูดถึงเงินต้นที่จะจ่ายคืน) ทางออกอีกอย่างคือ เพิ่มความเชื่อมั่นในดอลลาร์มากขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ หรือ การล่มของธนาคาร นั่นเป็นที่มาของ เงินดิจิตัลของธนาคารกลาง ที่เป็นหนี้สินของธนาคารกลาง ไม่มีความเสี่ยงทั้งสภาพคล่อง และ การเบี้ยวหนี้ (เรายังจำกันได้ไหมมะกี้ว่า แบงค์มันล่มได้ )
หากคนไม่ได้ฝากแบงค์ระบบจะเป็นยังไง มาดูครับ
ประชาชนแลกดอลลาร์เป็นดิจิตัลดอลลาร์และงบดุลทั้งสองฝั่ง
เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นในดอลลาร์ และ กลัวว่าจะถูกผิดนัดชำระหนี้ไม่ว่าจะธนาคารล่ม หรือ ระบบการเงินอื่นๆ เช่น Non-Bank ก็ตาม ประชาชนแค่แลกดอลลาร์เดิมไปเป็น ดิจิตอลดอลลาร์แบบ 1:1 ได้ทันที กรณีนี้ทำให้ธนาคารเผชิญการไหลออกของเงินอย่างแรง และ ทำให้ขาดสภาพคล่อง (ธนาคารต้องกู้ยืมระหว่างกันเอง เพื่อชดเชยสภาพคล่องนี้ ทั้ง กับธนาคารด้วยกันเอง และ กับธนาคารกลาง ตามภาพด้านล่าง
ธนาคารกลางปล่อยกู้ให้ธนาคารพาณิชย์เพื่อหยุดการไหลออกของเงินที่ลูกค้าถอนไปแลกCBDC
กรณีแบงค์ขาดสภาพคล่องและกู้กันเองผ่านเพื่อนๆหรือกลุ่มแบงค์ด้วยกัน
จากข้อมูลทั้งหมด ซึ่งก็คือ หนี้สินสหรัฐที่จะเพิ่มอย่างมากทุกๆกรณี 10 ปีคาดการณ์ 40ล้านล้านดอลลาร์ขึ้นไป และ ภาระดอกเบี้ย 3%/GDP ซึ่งก็แทบจะเท่ากับการเติบโตของ สหรัฐในระยะยาว ทำให้สหรัฐเติบโตได้แค่พอจ่ายภาระดอกเบี้ย แต่ เราพูดถึงเงินต้นของหนี้ที่พอกพูนมานาน สักวันนึง ทุกคนอาจจะขาดความเชื่อมั่น ก็เหมือน อาณาจักรต่างๆในอดีตที่ล่มสลายเมื่อเค่าเงินเสียความเชื่อมั่น แต่ ด้วยการออกระบบ เงินของธนาคารกลางมาแล้วทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะล่มสลายบนฟูก แม้ เงินจะไหลออกจากธนาคารมหาศาลหากเกิดขึ้น
และเงินไหลไปอยู่กับธนาคารกลาง แต่ ธนาคารพาณิชย์เองก็สามารถขอกู้เงินได้จากเพื่อนๆด้วยกัน และ ธนาคารกลางเพื่อป้องกันการล่มของธนาคารพาณิชย์เองได้ สุดท้ายระบบก็จะเสถียรภาพทั้ง ธนาคารกลางเอง และ ธนาคารพาณิชย์เอง ในอนาคตคับต้องคอยดูนะครับว่า สกุลเงินจะเริ่มใช้งานได้ตอนไหน เพราะนั่นคือ ฟูกนุ่มๆ เพื่อรองรับการล่มที่อาจจะเกิดขึ้นได้ (อาจจะนะครับ)
ดอลลาร์ดิจิตอลคือหนี้สินของธนาคารกลางก็จะอยู่ฝั่งหนี้สินและการปรับเปลี่ยนปริมาณเงินไปมาในอนาคตและทำนโยบายการเงินจะซับซ้อนขึ้นไปอีก
อ้างอิง
โชคดีสำหรับอนาคตสำหรับนักลงทุนในเงินดิจิตัลทุกท่านนะคับ
โฆษณา