18 ก.ค. 2023 เวลา 12:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ

กว่าจะมาเป็นเซียนหุ้นอัจฉริยะ

นักลงทุนในตลาดหุ้นไม่มีใครไม่รู้จักกับ เซียนฮง หรือ สถาพร งามเรืองพงศ์ซึ่งได้รับคำนิยามจากสื่อมวลชนว่าเป็น “เซียนหุ้นอัจฉริยะ”
ประวัติ
สถาพร มีครอบครัวที่ทำอาชีพผลิตเสื้อยืดย่านถนนพระราม 2 โดยมีพี่น้อง 3 คนโดยตัวสถาพรเป็นลูกคนสุดท้อง ซึ่งมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับความเชื่อมาจากคุณพ่อพ่อมักจะบอกสถาพรว่าโตขึ้นลูกต้องเป็นคนรวยแน่นอนเพราะว่าลักษณะหน้าผากของสถาพรกว้างซึ่งความเชื่อจากคนจีนว่าคนไหนที่มีหน้าผากกว้างจะร่ำรวยซึ่งเขาก็เชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นในการลงทุน
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งมาเล่าเรื่องการลงทุนในหุ้นให้ฟัง
เพื่อน ; เราซื้อหุ้นได้กำไร เราซื้อหุ้นตัวหนึ่งเกี่ยวกับสื่อสาร ทุนราว 27 บาท ขายตอน 40 บาท ได้กำไรตั้ง 50 %
สถาพรอย่ายินอย่างงั้น นึกภาพในหัวเป็นภาพสวยงามที่เพื่อนสามารถทำกำไรได้มากมายขนาดนั้นในระยะเพียงไม่กี่เดือน
สถาพร ถามเพื่อนกลับไปว่า แล้วทำไมถึงกำไรละช่วยอธิบายให้ฟังที แต่สิ่งที่ได้รับกลับยังไม่ชัดเจนรู้สึกว่าไม่สามารถจับต้องได้กับคำพูดที่เพื่อนให้มาแต่สถาพรกลับไม่คิดว่าเป็นอุปสรรคในการลงทุนจึงเริ่มลงทุนด้วยการเปิดบัญชี 100,000 บาทจากเงินที่ออมของตัวเอง
เวลาก็ผ่านไปพึ่งมาเข้าใจทีหลังว่าการที่เพื่อนได้กำไรหุ้นตัวนั้นเป็นเพราะว่าถ้าซื้อแล้วถืออาจจะไม่ได้เก่งอะไรก็ได้กำไรเนื่องจากตลาดช่วงนั้นขาขึ้น + 100++ % เลย
เริ่มลงทุน
สถาพรเริ่มเรียนรู้การลงทุนด้วยการเข้าฟังสัมมนาตามที่ต่างๆเกี่ยวกับการลงทุนสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นคือ มีแต่คนที่อายุมากๆเข้าฟังโดยเขาน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่มางานนี้ผลที่ตามมาคือเวลาที่เขาสอบถามข้อมูลไปไม่ค่อยมีใครตอบหรือให้ความสนใจกับเขาเท่าไหร่
พอเรียนรู้มาสักระยะหนึ่งเขาได้รู้จักกับเว็ปไซต์หนึ่ง ชื่อ Thaivi เขาก็เขาไปถามในสิ่งที่เขาอยากรู้โชคดีที่มีนักลงทุนที่เก่งมาตอบให้ความรู้แก่เขาในระยะที่เรียนรู้กว่า 2 ปีนั้นเขากับล้มเหลวในการลงทุนเลยคิดว่าหุ้นคงไม่เหมาะสมกับเขาโดยเบนเป้าหมายไปขายตรงเป็นเวลา 1 ปีแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เลยคิดในใจแล้วกับมาศึกษาหุ้นอย่างจริงจัง
ลงทุนจริงจัง
กลับมาศึกษาหุ้นครั้งนี้เขาศึกษาคนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ปีเตอร์ ลินช์ โดยเขามองว่าสองคนนี้อยู่ในตลาดหุ้นมานานอย่างคนแรกก็เป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกส่วนคนที่สองงก็เป็นอาจารย์ของคนแรกซึ่งมีความน่าเชื่อถือที่จะนำแนวคิดของสองคนนี้มาใช้ในการลงทุน เขาประเมินตัวเองว่าก่อนหน้านี้ที่ไม่ประสบผลสำเร็จเป็นเพราะว่าแม้แต่ประเภทหุ้นยังแยกไม่ออกเลยว่าเป็นหุ้นประเภทไหน
( 6 ประเภทหุ้นของ ปีเตอร์ ลินช์)
และก็ศึกษาบริษัทที่ดีควรเป็นอย่างไรศึกษางบการเงินให้เข้าใจแต่ละบรรทัดมายังไงมีรายได้เติบโตไหม มีหนี้เยอะไหมและอะไรอีกหลายๆอย่างที่ควรรู้โดยเฉพาะเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดีจับจุดได้ดีมากขึ้นเรื่องๆโดยใช้เวลา 2-3 ปี ผลการลงทุนก็เป็นไปได้ดี
โดยช่วงนั้น ลงทุนตุ้น cpf เพราะต้นทุนในการเลี้ยงไก่ลดลงเป็นสาเหตุมาจาก กากถั่งเหลืองมีราคาปรับลดลงตามความต้องการนำไปทำพลังงานทดแทนเอทานอล ทำให้กำไรในขณะนั้นทำจุดสูงสุด ราคาหุ้นซื้อตอน 7.80 บาท ขายตอน 9.60 บาท จากนั้น คุณแม่เห็นว่าทางนี้น่าจะดีเลยเติมพอร์ทให้หลักล้านบาท จึงเข้าซื้อหุ้น VNG เพราะเห็นว่างบ ไตรมาส 4 2552กำไรเติบโตดี โดยถือหุ้น 3 เดือนขายตอนราคา 5 บาท ทำไร 70 % นับตั้งแต่ลงทุนมา จากปี 2547-2553 พอร์ทโต 40-50 เท่าช่วงปี 2552-2553 โต 20 เท่า โดยมีเงินในพอร์ทตอนนั้น 75 ล้านบาท
1
บทเรียนหลังจากกำไรมหาศาล
ไม่กี่ปีต่อจากกำไรเยอะมากโดยความมั่นใจจึงทำให้เขาประมาทกว่าเดิมโดยเขาไปลงทุนหุ้นตัวหนึ่งที่ไม่น่าลงทุน เป็นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ตัวหนึ่งเพราะหลังจากงบไตรมาสแรกกำไรมหาศาลเขาประเมินโดยเอาไปคูณสี่ทำให้เห็นกำไรน่าลงทุนแต่กำไรที่เขาคาดกลับผิดคาดอย่างหนักทำให้หุ้นราคาลดลงและก็โดนหุ้นกล่มโภคภันฑ์ 4-5ตัวทำให้ขาดทุน 43 ล้านบาท พอร์ทรวมเหลือ 32 ล้านบาท
1
เขากล่าวว่า พอร์ทเหลือครึ่งเดียวโหดร้ายมาก
หลังจากนั้นก็ทำพอร์ทให้เติบดตระดับร้อยล้านกลับมา
มีเหตุการ์ณที่ทำให้พอร์ทสวิงหนัก
เขาลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารตัวหนึ่งโดยขณะนั้นเขาประเมินว่าการที่บริษัทนี้ประเมิน 3G ได้ ค่าใช้จ่ายจาก 25 % หลังจากค่าสัมประทานจะเหลือ 6 % หมายความว่า
ธุรกิจสามารถประหยัดมาร์จินได้ถึง 19% ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มนี้สื่อสารสามารถจ่ายปันผล100% ของกำไรอยู่แล้ว เขามองว่าณราคานี้ทำอย่างไรก็ไม่แพ้ เขาเข้าซื้อณราคา 70 บาทโดยอัดมาณ์จินเพิ่ม(กู้ยืมเงินมาลงทุน) โดยราคาหุ้นก็ค่อยๆขยับขึ้น 100 บาท มูลค่าพอร์ทรวมแตะ 200 ล้านบาท ในขณะที่กำไรดีใจภาพฝันที่จะทำนู้น
ทำนี้อย่างที่หวังกลับไม่เป็นไปตามคาดโดยกำไรของบริษัทกลับออกมาผิดคาดคือ ค่าความจริง การคาดการรายจ่ายค่าสัมปทานผิดไปโดยจ่าย 6% ก็ต่อเมื่อลูกค่าย้ายค่ายไปที่สัมปทานใหม่ พร้อมโปรโมชั่นลดแลก แจกแถม ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ส่งผลต่อกำไรที่คาดการผิดไปราคาหุ้นก็ค่อยๆปรับลดลงมาพอร์ทที่เคยโตไปแตะ
200ล้านลดลงเหลือ 100 ล้านภายในไม่กี่เดือนสถาพรถึงขั้นต้องไปพึ่งพาธรรมเพื่อบำบัดจิตในอยู่หลายวันเพื่อทำให้ใจกลับมาปกติหลังจากนั้นก็ขายหุ้นตัวนี้แล้วก็ซื้อหุ้นตัวใหม่ โดยกำลังใจที่สำคัญหลักๆคือ หลวงพ่อท่านหนึ่งทักว่าอีกหน่อยเจ้าจะไม่มีทีจะเก็บเงิน และเพื่อนคนที่เคยเรียนด้วยกันบอกว่า กูเชื่อว่ามึงทำได้….
#ถอดบทเรียน
1 อย่าเชื่อมั่นในหุ้นตัวเดียวจนเกินไป
2 ถ้าเรามีศรัทธาพร้อมกับความรู้เราจะประสบผลสำเร็จเป็นแน่
3 จงสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีโดยเฉพาะคนใกล้ตัว
4 จงยอมรับในสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ผิดไปเรียนรู้และความรับมันเพื่อที่จะไม่ให้มันเกิดผลอีก
5 หาเหตุผลให้ได้ว่าเรากำไรเพราะอะไรขาดทุนเพราะอะไร
6 อ่านงบอ่านเงินย้อนหลังเยอะๆเพื่อจะได้รู้ว่าเหตุการ์ณที่ผ่านมาบริษัทผ่านมาได้อย่างไร
7เรียนรู้จากสิ่งที่ถูกต้องโดยเฉพาะคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านนี้
8 อย่าตกใจกับเหตุการ์ณบ้านเมืองจนเกินไปให้คิดว่าสิ่งที่เกิดจะกระทบกับหุ้นเรามากน้อยแค่ไหน
9 วิธีการที่เคยใช้ในอดีตอาจจะใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน
10 ให้ความสำเร็จกับบริหารว่ามีความเก่ง ความซื่อสัตว์ไหม
11 สิ่งที่ผู้บริหารพูดไว้ทำได้ไหม
อ้างอิง
ใครที่อยากฟังคลิปเต็ม
1
โฆษณา