19 ก.ค. 2023 เวลา 10:58 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Flash ได้ดูสักที เข้าใจแล้วว่าทำไมหนังเจ๊ง

หลังจากได้ดู The Flash จบ ผมก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วปัญหาของ DC ไม่ใช่เรื่องทำหนังไม่สนุก หนังของ DC แต่ละเรื่องที่ออกมาเรียกได้ว่าไม่ขี้เหร่เลยทีเดียว จะมีก็เพียง Shazam ภาค 2 ที่ออกจะน่าผิดหวัง แต่เรื่องอื่นก็ไม่เลว แม้กระทั่ง The Flash ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังที่ล้มเหลวระดับประวัติการณ์ของวอร์เนอร์ ก็ยังดูสนุก แต่ปัญหาก็คือวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร DC ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหาจุดยืนไม่ได้
และมันก็ส่งผลกระทบสู่ผลิตภัณฑ์ของตนเองจนขาดเอกภาพ สะท้อนสู่ผู้ชมจนเกิดอาการไม่รู้จะจับต้นชนปลายหนังในจักรวาล DC ต่อไปอย่างไร ไม่เหมือนกับทาง Marvel ที่เรียงเรื่องร้อยหนังแต่ละเรื่องเป็นชุดเดียวกันได้ดีกว่า
การให้แซ็ค ชไนเดอร์มาคุมบังเหียนจักรวาล DC ในปี 2013 กับ Man of Steel ทำท่าว่าจะสร้างอนาคตใหม่ให้ DC ได้ แต่เมื่อ Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) ทำเงินไม่เข้าเป้า(ทั้งทีกวาดไปทั่วโลกมากกว่า 800 ล้านเหรียญ) ตามมาด้วย Justice League (2017) มีปัญหาจนต้องเอาจอส วีดอนมาเสียบแทนชไนเดอร์ ส่งผลให้ต่อมามีการปลดชไนเดอร์ออกจาก DCEU แต่รากฐานที่ชไนเดอร์วางไว้อย่างปรากฏให้เห็นทั้งจาก Wonder Woman Aquaman และ The Flash ที่เราเห็นในปีนี้
สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือ The Flash ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าจักรวาลดีซีมีความคืบหน้าไปแต่อย่างใด เมื่อนายพลซ็อดจอมวายร้ายจาก Man of Steel ยังคงกลับมามีบทบาทสำคัญใน The Flash และในขณะเดียวกันการพูดถึงพหุจักรวาลหรือมัลติเวิร์สที่ทั้ง DC และ Marvel ต่างพร้อมใจเล่าเรื่องนี้ในยุคใกล้ๆ กันนั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับผู้เชมอยู่เหมือนกันเมื่อเราต้องดูหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีแต่มัลติเวิร์ส ทำให้พหุจักรวาลกลายเรื่องที่ไม่น่าสนใจอีกแล้ว
ซ้ำร้าย The Flash ยังมาตามหลัง Spider-Man: No Way Home ที่หนังไอ้แมงมุมเอาเรื่องพหุจักรวาลและดึงเอาโทบี้ แมคไกวร์รวมไปถึงแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ กลับมาร่วมทีมสไปเดอร์แมนกับทอม ฮอลแลนด์ The Flash ยังมาซ้่ำรอย Marvel ในประเด็นเดียวกันเสียอีก แต่ดันมาช้ากว่า เมื่อแบรี อัลเลนหรือเดอะแฟลชเดินทางย้อนเวลาไปช่วยแม่และทำให้เขาข้ามมิติเวลาเข้าสู่จักรวาลคู่ขนานได้ไปพบกับซุปเปอร์ฮีโร่ของ DC ในแต่ละยุค ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นำเอาไมเคิล คีตันในบทแบทแมนกลับมาสวมชุดยางในจอใหญ่อีกครั้ง
ไอเดียนี้มันน่าจะว้าวได้ หากว่ามันไม่ได้มาตามหลังสไปเดอร์แมน
ซึ่งมันก็ย้อนกลับไปสู่ปัญหาเดิมของ DC คือวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาและมักจะทำอะไรช้าเกินควร จริงๆแล้ว The Flash มีแผนจะเป็นหนังเดี่ยวออกฉายในปี 2018 แต่ DC ก็มีปัญหาความวุ่นวายภายในจนทำให้ไม่สามารถดันหนังให้เปิดกล้องได้สำเร็จ แต่เมื่อ DC ละทิ้งชไนเดอร์ไปแล้ว ก็ยังคงเอาแนวคิดในจักรวาลเดิมของชไนเดอร์มาใช้ มันก็เลยทำให้ทั้งช้า และผู้ชมเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่จะได้เห็นในหนัง The Flash มันจะไม่ได้รับการสานต่อไปในจักรวาลของ DC อีกแล้ว
เชื่อว่ามีผู้ชมส่วนหนึ่งอาจจะรู้สึกว่ารอสตรีมมิ่งก็ได้ เพราะ The Flash มันเป็นเพียงแค่ติ่งที่เหมือนไส้ติ่งพร้อมที่จะถูกตัดออกไปได้
ยิ่งกว่านั้นคุณภาพของงานสร้าง The Flash ยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะ CG กลายเป็นจุดบอดที่ทำให้หนังโดนถล่มยับ แม้ว่าหลายๆฉาก CG ในเรื่องจะออกมายอดเยี่ยม แต่บางฉากที่ใช้ตัวละคร CG กับกลายเป็นช่องโหว่ที่ดูเหมือนฉากคัทซีนในเกมเพลย์สเตชั่นเสียด้วยซ้ำ
อย่างในช่วงที่ซุปเปอร์เกิร์ลต่อสู้กับทหารรับจ้างโซเวียตในช่วงกลางเรื่อง ออกมาไม่มีความเนียนสมจริงเลย และหลายๆ ครั้งเราจะรู้สึกว่าการซ้อนภาพตัวละครคนแสดงเข้ากับฉากหลังที่เป็น CG หลอกตามากๆ แต่ก็แปลกที่บางซีเควนซ์อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมมากๆ เช่นกัน มันทำให้เห็นถึงการมีปัญหาและความไม่สม่ำเสมอของคุณภาพงานสร้าง
สิ่งเหล่านี้ยังไม่นับรวมคุณภาพของบทหนังที่มีปัญหา เนื่องจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากมายหลายๆ อย่าง ในบทมีรอยโหว่ให้จับต้องได้มากโดยเฉพาะในช่วงไคลแม็กซ์ที่เดอะแฟลชพยายามจะย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตหลายๆ ครั้งก่อให้เกิดคำถามมากมาย หนังสร้างเงื่อนไขว่าแบรี อัลเลน(คนแรก)ย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อช่วยชีวิตแม่จากการถูกฆาตกรรม แต่ทำให้เขาต้องติดค้างในมิติเวลาอื่นหลงอยู่ในอดีต และเจอกับแบรี อัลเลน(คนที่ 2 )
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ส่งผ่านพลังพิเศษไปให้แบรี อัลเลนคนที่ 2 ทำให้ในมิตินั้นมีแบรี อัลเลน 2 คน โดยที่แบรี อัลเลน(คนแรก)พยายามจะฟื้นพลังของตนเองโดยมีบรูซ เวนย์ให้ความช่วยเหลือ แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ แต่เมื่อซูเปอร์เกิร์ลอุ้มแบรี อัลเลนคนแรกที่สูญเสียพลังขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กำลังคะนองกลับกลายเป็นสามารถคืนพลังให้กับแบรี อัลเลน 1 ได้ (ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสารเคมีช่วยกระตุ้นตามเงื่อนไขที่หนังวางไว้ แต่อาจจะอนุโลมได้ว่าสารเคมีไหลเข้าสู่ร่างกายแบรี อัลเลยก่อนแล้วจากความพยายามของแบทแมน)
แต่จุดที่เป็นจุดอ่อนที่สุดเกิดขึ้นในช่วงไคลแม็กซ์ที่เดอะแฟลชทั้ง 2 คนเห็นซูเปอร์เกิร์ลและแบทแมนกำลังจะถูกนายพลซ็อดสังหาร เขาย้อนเวลากลับไปในช่วงก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีเพื่อจะช่วยทั้งคู่ให้ได้ หากเป็นไปในไทม์ไลน์ปกติแล้วการย้อนเวลาไปเช่นนี้เท่ากับจะมีเดอะแฟลชเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ตัว แต่ในหนังก็ไม่ได้แสดงให้เห็น
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคำนึงถึงการอธิบายการทำงานของมิติเวลาที่บรูซ เวนย์อธิบายในช่วงกลางเรื่อง โดยอาศัยเส้นสปาเก็ตตี้บอกถึงความยุ่งเหยิงของเวลา มันเท่ากับว่าการย้อนเวลากลับไปเพื่อช่วยแบทแมนและซูเปอร์เกิร์ลนั้น บางทีเดอะแฟลชทั้งสองอาจจะหลงเข้าไปในมิติอื่นแบบไม่รู้ตัว ซึ่งก็อาจจะมีทั้งเหตุการณ์(ไคลแมกซ์)ในเรื่องหรือไม่มีก็ได้ อันเป็นจุดที่หนังค่อนข้างหละหลวมมากๆ
แต่ที่ย่ำแย่จริงๆเลยคือผู้ร้ายของหนังอย่างนายพลซ็อด ที่ทำให้เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าจริงๆ เหมือนกับว่า 10 กว่าปีนับจาก Man of Steel ดีซีไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะต้องมีการรีบูตหนังกันใหม่ในปีหน้า ซึ่งกว่าหนังเรื่องแรกในจักรวาลดีซีใหม่จะออกฉายได้ต้องรอถึงปี 2025 เลยทีเดียว บางทีมันอาจจะช้าเกินไปหรือน่าเบื่อกับการต้องมานับหนึ่งเล่าเรื่องราวซ้ำๆ ซึ่งก็เป็นปัญหาที่ DC แก้ไม่ตกสักที พอจะเดินหน้าต่อไปก็ต้องย้อนใหม่เช่นนี้หลายครา
สุดท้ายคงต้องบอกว่าความล้มเหลวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ DC ในช่วงเวลานี้ มันก็มาจากข้อแรกที่ว่าวิสัยทัศน์ของผู้บริหารดีซีมีปัญหา แม้ว่าพระเอกของเรื่องอย่างเอซร่า มิลเลอร์มีปัญหากับสังคมทั้งการใช้ความรุนแรงต่อแฟนสาว การถูกดำเนินคดีรวมไปถึงเรื่องของการคุกคามทางเพศที่ออกมาในช่วงเวลานั้น แต่ผู้บริหารวอร์เนอร์และดีซีสามารถตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงหรือทำอะไรได้ดีกว่านี้
สำหรับ The Flash นั้นถ้าไม่คิดอะไรมาก ตัวหนังก็ดูสนุกทีเดียว โดยเฉพาะอารมณ์ขันที่มีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง แต่ด้วยปัญหาต่างๆรวมไปถึงคุณภาพงานสร้างจึงทำให้ได้แค่ 6 เต็ม 10
โฆษณา