19 ก.ค. 2023 เวลา 15:30 • หนังสือ

เรื่องราว James Clear ผู้เขียนหนังสือ เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น ATOMIC HABITS

เขาเริ่มต้นเล่าเรื่อง ผมโดนไม้เบสบอลอัดเข้าที่ใบหน้าในวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 ไม้เบสบอลเกิดลื่นหลุดมือเพื่อนร่วมชั้นในขณะเข้าวงสวิงแล้วพุ่งปะทะตรงกลางจมูกผมอย่างจังแรงกระแทกรุนแรงจนผมจำอะไรไม่ได้เลย
แรงของไม้เบสบอลกระแทกหน้าผมจนจมูกยุบลงเป็นรูปตัว U
แรงจนเนื้อเยื่อสมองชนเข้ากับกะโหลก ทันใดนั้นอาการบวมก็เกิดขึ้นทั่วทั้งศีรษะ เพียงแค่เสี้ยววินาที จมูกของผมหัก กะโหลกแตกร้าวไปทั่วและกระดูกเป้าตาแตกทั้ง 2 ข้าง
เมื่อลืมตาขึ้น ผมเห็นคนมองมาและรีบวิ่งเข้ามาช่วย ผมก้มหน้าลงเห็นหยดสีแดงๆ เปรอะเต็มเสื้อไปหมด เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งถอดเสื้อเชิ้ตของเขาออกแล้วส่งมาให้ ผมจึงเอามาอุดเลือดที่กำลังพุ่งทะลักออกมาจากจมูก รู้สึกทั้งช็อกและงุนงงไปหมด ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองบาดเจ็บสาหัสมากขนาดไหน
ครูเข้ามาโอบไหล่และพยุงตัวผมขึ้น พาเดินไปห้องพยาบาลที่ห่างออกไป เราเดินข้ามสนามลงเนินและกลับเข้าไปในโรงเรียน มีใครหลายคนต่อหลายคนเข้ามาช่วยพยุงผม เราใช้เวลานานและเดินไปอย่างช้าๆโดยไม่มีใครตระหนักเลยว่า แต่ละนาทีที่ผ่านไปนั้นมีความหมายแค่ไหนเมื่อเรามาถึงห้องพยาบาล นางพยาบาลก็เริ่มตั้งคำถามผมเป็นชุด
ปีนี้ ค.ศ.อะไรจ๊ะ
1998 ครับ ผมตอบ ทั้งที่จริงแล้ว คือ ค.ศ 2002
ตอนนี้ใครเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
บิว คลินตันครับ แต่ที่ถูกคือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช
แม่ของเธอชื่ออะไร
เออ..เอิ่ม….ผมนิ่งไปประมาณ 10 วินาที
แพตตีคับ ผมตอบอย่างสบายๆโดยไม่สนใจก็ต้องใช้เวลาประมาณ 10 วินาทีกว่าจะนึกเชื่อแม่ของตัวเองออก
และนั่นก็เป็นคำถามสุดท้ายที่ผมจำได้ ร่างกายผมทนต่ออาการสมองบวมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ได้อีกต่อไปผมหมดสติก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึงไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่นทั้ง
หลังโรงพยาบาลไม่นาน ร่างกายผมก็เริ่มไร้การตอบสนองการทำงานของร่างกายแบบง่ายๆ เช่นการกลืนหรือการหายใจลำบากขึ้น ทุกที ผมมีอาการชักเกร็งเป็นครั้งแรกของวันนั้นแล้วก็หยุดหายใจในขณะที่หมอรีบเอาออกซิเจนมาใส่ให้
และก็ลงความเห็นว่าโรงพยาบาลท้องถิ่นไม่มีเครื่องมือแพทย์เพียงพอที่จะรับมือกับอาการของผมได้ จึงเรียก เฮลิคอปเตอร์มารับผมส่งไปยังโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าในเมือง ซินซินเนติ
พวกเขาพาผมออกจากประตูห้องฉุกเฉินไปยังลานเฮลิคอปเตอร์อีกฝั่งของถนน เตียงคนไข้ถูกเข็นไปตามทางเดินอันขรุขระ มีพยาบาลคน หนึ่ง เข็นเตียงอีกคนหนึ่งถือเครื่องปั๊มออกซิเจนในมือ ส่วนแม่ของผมที่พึ่งมาถึงโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ไม่นานเดินตามมาขึ้นเฮลิคอปเตอร์นั่งอยู่ข้างๆและจับมือผมไว้ตลอดทาง
ในขณะที่ผมยังคงหมดสติ และไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเองช่วงที่แม่ผมอยู่กับผมบนเฮลิคอปเตอร์ พ่อก็กลับไปบ้านเพื่อดูแลน้องสาวกับน้องชายและส่งข่าวนี้ให้พวกเขารู้ พ่อต้องกลั้นน้ำตาไว้ขณะที่อธิบายน้องสาวว่าทำไมพ่อถึงไปร่วมงานฉลองจบการศึกษาเขต 8 ของน้องในคืนนั้นไม่ได้ หลังจากส่งน้องๆ ไปฝากให้ญาติดูแลแล้วพ่อก็ขับรถตามมาสมทบกับแม่ที่โรงพยาบาลในเมืองซินซินเนติ
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนดาดฟ้าของโรงพยาบาลทีมแพทย์และพยาบาลเกือบ 20 คนต่างรีบวิ่งเข้ามาที่ลานจอดและพาผมไปยังแผนกผู้ป่วยอุบัติเหตุตอนนั้นอาการสมองบวมของผมรุนแรงมาก จนผมชักเกร็ง ซ้ำหลายๆครั้งแม้กระดูกหัก จำเป็นต้องรับการรักษาแต่ผมก็ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการผ่าตัด หลังจากมีอาการชักเป็นรอบที่ 3 ของวันนั้นหมอก็ลงความเห็นว่าอาการของผมเข้าขั้นโคม่าและต้องติดตั้งเครื่องช่วยหายใจ
พ่อแม่ของผมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับโรงพยาบาลแห่งนี้เพราะเมื่อ 10 ปีก่อนพวกท่าน เข้าออกชั้นล่างตึกนี้เป็นประจำหลังจากน้องสาวของผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลูคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อตอนอายุ 3 ขวบ
ในตอนนั้นผมอายุ 5 ขวบและน้องชายอายุเพียง 6 เดือนเท่านั้นหลังจากที่เธอได้รับการรักษาอยู่ 2 ปีครึ่งด้วยการทำคีโม เจาะน้ำไขสันหลัง และได้เจาะไขกระดูก น้องสาวผมก็ออกจากโรงพยาบาลอย่างมีความสุขสุขภาพแข็งแรงและไม่มีเชื่อมะเร็งอีก
หลังจากที่พ่อแม่ใช้ชีวิตปกติสุขมา 10 ปีในตอนนี้พวกท่านกลับ ต้องมาโรงพยาบาลนี้อีกครั้งพร้อมกับลูกอีกคน
เมื่ออาการผมเข้าขั้นโคม่าโรงพยาบาลก็ส่งบาทหลวงและนักสังคมสงเคราะห์เข้ามาพูดคุยปลอบโยนพ่อแม่ซึ่งเป็นบาทหลวงคนเดียวกับที่เคยถูกส่งมาคุยกับท่านแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน ในตอนเย็นวันที่ท่านรู้ว่าน้องสาวผมป่วยเป็นโรคมะเร็ง
จากกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนรอบตัวผมเต็มไปด้วยเครื่องมือและสายระโยงระยางเพื่อช่วยรักษาชีวิต พ่อกับแม่แทบไม่ได้นอนเลยแม้โรงพยาบาลจะจัดเตรียมที่นอนไว้ให้ ช่วงหนึ่งของท่านวูบหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าแต่ช่วงต่อมากลับตื่นตาค้างด้วยความวิตกกังวลแม่บอกผมในเวลาต่อมาว่านั้นเป็นคืนเลวร้ายที่สุดในชีวิตของแม่เลย
โชคดีเหลือเกินเช้าวันถัดมาระบบการหายใจของผมก็ดีขึ้นกระทั่งถึงจุดที่หมอลงความเห็นว่าพ้นจาก ภาวะโคม่าแล้วในที่สุดเมื่อฟื้นคืนสติผมก็พบว่าตัวเองสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นไปเสียแล้ว
นางพยาบาลบอกให้ผมพ้นลม ออกจากจมูกแล้วสูดกินจากกล่องน้ำแอปเปิ้ลผลการทดสอบปรากฏว่าการรับรู้กลิ่นของผมกลับคืนมาแต่ก็ทำให้ทุกคนตกใจ
อีกเพราะการพ่นลมออกทางจมูกส่งผลให้เกิดความดันลมผ่านรอยแตกของกระดูกเบ้าตาแล้วดันลูกตาของผมทะล้นออกมาจากเบ้าโชคดีที่ยังประครองอยู่ได้ด้วยเปลือกตาและเส้นประสาทซึ่ง ยึดโยงลูกตากับสมองของผมเอาไว้
จักษุแพทย์ บอกว่าลูกตาของผมจะค่อยๆเคลื่อนยุบกลับเข้าที่เดิมเมื่อความดันลดลงแต่ยากที่จะบอกว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนจากนั้นผมก็ได้รับการผ่าตัดในอีก สอง สัปดาห์ต่อมา ซึ่งทำให้ผมต้องใช้เวลามากขึ้นในการพักฟื้นผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่บนเวทีมวยในสภาพแพ้ยับเยินแต่หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ผมจึงกลับบ้านในสภาพจมูกหัก กระดูกใบหน้าแตกยับและตาข้างซ้ายถลน
เดือนๆนึงผ่านไปอย่างยากลำบากผมรู้สึกเหมือนทุกสิ่งในชีวิตหยุดอยู่กับที่ ผมมีอาการมองเห็นภาพซ้อนนานหลายสัปดาห์ ไม่ สามารถมองตรงๆได้และกว่าลูกตาจะกลับเข้าที่เดิมก็ใช้เวลามากกว่า หนึ่ง เดือนหลังจากมีปัญหาการมองเห็นและยึดกับสิ่งต่างๆนานถึง 8 เดือนผมจึงกลับมาขับรถได้อีกครั้งช่วงที่ทำกายภาพบำบัดผมใช้วิธีทั่วไปอย่างการเดินทรงตัวให้ตรงบนเส้น ผมตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยให้อาการบาดเจ็บทำให้ตัวเองรู้สึกสิ้นหวัง แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมท้อแท้และหมดกำลังใจ
ผมกลายเป็นคนหวาดวิตกว่าตัวเองจะต้องพยายามอีกมากแค่ไหนเพื่อได้กลับมาเล่นเบสบอลอีกครั้ง ใน 1 ปีต่อมาเบสบอลเป็นสิ่งสำคัญ ในชีวิตของผมมาตลอดพอผมเป็นนักกีฬาเบสบอลในทีมเซนต์หลุยส์คาร์ดินัลส์ และผมมีความฝันอยากจะเป็นนักเบสบอลมืออาชีพเช่นเดียวกันหลังจากพักฟื้นมาหลายเดือนสิ่งที่ผมอยากทำมากสุดคือการกลับลงสนาม
แต่การกลับไปเล่นเบสบอลไม่ราบรื่นนักเมื่อฤดูกาลแข่งขันมาถึงผม เป็นนักกีฬาปี 3 เพียงคนเดียวที่โดนคัดออกจากทีมตัวแทนโรงเรียนผมถูกส่งกลับไปเล่นกับเด็กปี 2 ซึ่งเป็นตัวแทนรุ่นจูเนียร์ผมเล่นเบสบอลมาตั้งแต่ 4 ขวบ ซึ่งสำหรับคนบางคนที่ทุ่มเททั้งเวลาและความพยายามอย่างหนักกับการเล่นกีฬาการถูกคัดออกเป็นเรื่องน่าอภัยอย่างที่สุด ผมยังจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างชัดเจนผมนั่งในรถไปร้องไห้ มือเลื่อนไปเปิดวิทยุ พยายามหาเพลงที่คิดว่าจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นบ้าง
หลังจาก 1 ปีกับความรู้สึกสับสนในตัวเองผมก็สามารถเป็นผู้เล่นทีมตัวแทนโรงเรียนในฐานะ รุ่นพี่ปีสุดท้ายแต่ผมแทบไม่ได้ลงสนามเลยผมเล่นไปทั้งหมด 11 อินนิ่ง ในกีฬาเบสบอลโรงเรียนนับได้แค่ไม่ถึง หนึ่ง เกมด้วยซ้ำ
แม้บทบาทในโรงเรียนมัธยมจะน่าเบื่อหน่ายผมยังคงมีความเชื่อว่าผมสามารถเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ได้ และก็รู้ว่าถ้าจะต้องมีอะไรพัฒนาปรับปรุงมากกว่านี้ ผมคือคนที่จะทำให้มันเกิดขึ้น แล้วจุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึงผ่านไป 2 ปีหลังจากการบาดเจ็บครั้งนั้น ผมได้เริ่มต้นชีวิตการเป็น นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดนิสัน ซึ่งเป็นสถานที่แห่งการเริ่มต้นและเป็นที่ซึ่งผมค้นพบพลังอำนาจอันน่าทึ่ง ของนิสัยเล็กๆ เป็นครั้งแรก
การเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดนิสันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด ครั้ง หนึ่ง ในชีวิตเลยทีเดียว ผมได้รับตำแหน่งที่น่าสนใจในทีมเบสบอลแม้ว่าชื่อผมจะอยู่ในอันดับท้ายๆของทีมเพราะเป็นเด็กใหม่ผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี และแม้จะมีเรื่องราววุ่นวายมากมาย ในขณะเรียนชั้นมัธยมปลายแต่ผมก็ยังเป็นนักกีฬา มหาลัยจนได้
ในเมื่อผมยังไม่ได้เริ่มเข้าไปอยู่ในทีม เบสบอล เร็วๆนี้ ผมจึงหันมาสนใจกับการเรียง ลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตในขณะที่เพื่อนผมเล่นวิดีโอเกมจนดึกดื่นผมกับสร้างนิสัยการนอนที่ดีโดยเข้านอนแต่หัวค่ำในโลกของหอพักที่มีแต่ความ รกรุงรัง
ผมตั้งใจจะเก็บห้องนอนให้เป็นระเบียเรียบร้อยการปรับปรุงพฤติกรรมเหล่านี้ดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่กลับทำให้ผมรู้สึกควบคุม ชีวิตตัวเองได้ผมเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้งและความเชื่อมั่นในตัวเองที่เพิ่มขึ้น นี่ยังขยายผลจึงการเรียนอีกด้วย เพราะผมยังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนจนได้เกรดเอทุกวิชาตอนปี หนึ่ง
นิสัยก็คือพฤติกรรมหรือ กิจวัตรที่ทำอยู่เป็นประจำและในบางครั้งก็แสดงออกมาโดยอัตโนมัติในแต่ละภาคการศึกษาที่ผ่านไปผมค่อยๆสร้างนิสัยเล็กๆแต่เสมอต้น เสมอปลาย ซึ่งค่อยๆนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเลยตัวอย่างเช่นผมฝึกนิสัยยกน้ำ
หนักหลายครั้งต่อสัปดาห์เป็นครั้งแรกในชีวิตหลายปีผ่านไปรูปร่างขนาด 6 ฟุต 4 นิ้วของผมก็บึกบึนไปด้วยน้ำหนักของกล้ามเนื้อจากเดิมร้อย 170ปอนด์ เป็น 200 ปอนด์ เมื่อขึ้นปี 2 ผมได้รับเลือกให้อยู่ในตำแหน่งผู้ขว้าง ลูกพอขึ้นปี 3 ผมได้รับเสนอชื่อ เป็นกัปตันทีม ได้จัดการประชุมทีมร่วมกัน ตอนสิ้นสุดฤดูกาลผมก็ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมในที่สุดแต่นั่นเกิดขึ้นหลังจากที่ผมเป็นรุ่นพี่ปี 4 ผู้มีนิสัยการนอนที่ดี นิสัยการเรียนที่ดีและนิสัยรักการออกกำลังกายแล้วนะครับ
ผ่านมา 6 ปี หลังจากถูกไม้เบสบอลกระแทกใบหน้าถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และอาการโคม่าผมได้รับให้เป็นสุดยอดนักกีฬาชายของมหาวิทยาลัยเดนิสัน และได้รับ การเสนอชื่อไปยัง ESPN Academic All America Team เพื่อรับเลือกให้เป็น หนึ่ง
ในนักเบสบอลที่เด่นเพียง 33 คนจากนักกีฬาทั่วประเทศ และก่อนจบการศึกษาเรื่องราวของผมได้รับ การบันทึกในสมุดเกียรติ ประวัติ ของสถาบันการศึกษาโดยจารึกลงในแบบหมวดที่ต่างกันไปและในปีเดียวกันนั้นผมก็ได้รับเหรียญเกียรติยศประธานสภานักศึกษาซึ่งถือว่าเป็นรางวัลที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของมหาวิทยาลัย
ผมหวังว่าคุณจะไม่ถือโทษถ้ารู้สึกว่ามันเป็นการโอ้อวดมากไปจริงๆแล้วเรื่องราวของ การเป็นนักกีฬาอาชีพของผมก็ไม่ใช่ตำนานหรือประวัติศาสตร์อะไร ผมไม่เคยลงเล่นกีฬาอาชีพแต่เมื่อ มองย้อนกลับไปช่วง เวลานั้นผมเชื่อว่าตัวเองได้เอาชนะสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งผมได้เติมเต็มศักยภาพของตัวเองและผมก็เชื่อว่าแนวทางของหนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็มศักยภาพของคุณ ด้วยเช่นกัน
เราทุกคนล้วนเผชิญกับความท้าทายต่างๆในชีวิตบาดแผลที่เกิดขึ้นครั้งนั้นก็คือความท้าทาย อย่าง หนึ่ง ของผมประสบการณ์ในครั้งนั้นสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ผมมันคือการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กๆและไม่สำคัญในตอนเริ่มแรกจะค่อยๆ
กลายเป็นผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ถ้าคุณมุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งนั้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีเราทุกคนต่างต้องรับมือกับปัญหามากมายในแต่ละ ระยะยาว คุณภาพของเรามักจะขึ้นอยู่กับคุณลักษณะนิสัยของเราเองแหละด้วยการมีวินัยเดิม คนก็จะได้ ผลลัพธ์แบบเดิมแต่ถ้าเราปรับเปลี่ยนนิสัยให้ดีขึ้น แล้วไม่ว่าอะไรก็ 3 ารถเป็นไปได้ทั้งสิ้น
บางที อาจมีคนประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อในชั่วข้ามคืน แต่ผมไม่รู้จักคนเหล่านั้นหรอกครับผมก็ไม่ใช่ หนึ่ง ในคนเหล่านั้นด้วย ไม่มีช่วงเวลา เช่นนั้นตลอดเส้นทางชีวิตของผมจากการบาดเจ็บสาหัสเข้าขั้นโคม่าสู่การได้รับเลือกเป็นนักกีฬา
ทีมเบสบอลที่เด่นระดับประเทศพัฒนาการของชีวิตผมนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไป ซึ่งเป็นช่วงเวลายาวนานที่ผมได้สะสมชัยชนะเล็กๆได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆมาตลอดหนทางเหยื่อที่ผมใช้คือการเริ่มต้นจากจุดเล็กๆแล้วก็ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้อีกไม่กี่ปีต่อมาผมก็เลือกต้นธุรกิจของตัวเองและเริ่มเขียนหนังสือเล่มนี้
# สิ่งที่น่าลองนำไปใช้ได้
1 การตั้งเป้าหมายใหญ่เป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องค่อยๆเริ่มทำทีละนิดสมองของเราจะไม่ต่อต้าน เช่นเราตั้งเป้าหมายจะออกไปวิ่งซัก 1 กิโลเมตร แต่ให้เราคิดในสมองแค่ลองเริ่มจากการใส่ลองเท้าก่อนพอทำสำเร็จสมองของเราจะรู้สึกดีเพราะเราตั้งเป้าหมายเล็กแล้วทำสำเร็จแล้วก้ค่อยๆตั้งแบบนี้ไปจนถึงวิ่งได้ 1 กิโลเมตร อย่างที่หวังคุณทำได้อย่างแน่นอน สำหรับผู้เขียนทำใช้วิธีนี้ตลอดกับการตั้งเป้าหมายในการเขียนบทความ 1 บทความทุกวัน
2 อย่าหมดหวัง จะเห็นได้ว่าเขาถึงจะมีความย่อท้อในช่วงแรกแต่พอเราทำอะไรสักอย่างให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อยๆชีวิตเราจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆยิ่งทำให้ได้
3 อย่าโทษคนอื่นที่ทำให้เราเป็นแบบนี้จงมองดูตัวเองว่าเราจะทำอะไรได้บ้างให้ชีวิตเราเดินต่อไปข้างหน้าตราบใดที่ยังมีชีวิตเราก็ต้องสู้แต่การสู้ต้องมีแบบวางไม่ใช่สู้อย่างเดียวแบบนี้ไม่น่าจะสำเร็จได้
4 ความสำเร็จไม่ได้มาชั่วข้ามคืนแต่ต้องการเวลาในการพิสูจน์ตัวตนว่าเราสร้างคุณค่าอะไรให้คนอื่นยิ่งเราแก้ปัญหาหรือสร้างคุณค่าที่คนอื่นต้องการมากเท่าไหร่ความสำเร็จยิ่งเร็วเท่านั้น ทำมันอย่างสม่ำเสมออย่าหยุดทำ
อ้างอิง หนังสือเพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็นATOMIC HABITS
โฆษณา