“Lam Research” ขายเครื่องตัดชิป อัตรากำไรดีกว่า Apple และ Samsung
โดยปกติแล้ว บริษัทขายเครื่องจักรอุตสาหกรรม จะไม่ค่อยมีแบรนด์ และมักจะมีกำไรไม่สูงเท่าไร
ผิดกับในอุตสาหกรรมการผลิตชิป ที่ผู้ขายเครื่องจักรแต่ละราย มีกำไรสูงลิบ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั้งโลก ต่างก็ต้องมาง้อ บางครั้งออร์เดอร์เครื่องกันข้ามปี
บริษัทที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินกัน คงเป็น ASML จากเนเธอร์แลนด์ ผู้ผลิตเครื่องยิงแสงลวดลายชิป ที่รายได้ทุก ๆ 100 บาท เป็นกำไรถึง 30 บาท
เรียกได้ว่า เป็นเจ้าของเครื่องจักร ที่มีอัตรากำไรดีกว่าเจ้าของแบรนด์เทคโนโลยีทุกราย ทั้ง Apple, Tesla และ Nvidia
วันนี้ เรามารู้จักกับอีกบริษัท ที่คล้ายกับ ASML มีชื่อว่า Lam Research เป็นอีกหนึ่งธุรกิจผู้ผลิตเครื่องจักร ในอุตสาหกรรมชิปเหมือนกัน ปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัทราว 3 ล้านล้านบาท
แล้ว Lam Research เป็นเจ้าของ เครื่องจักรอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คำตอบก็คือ เป็นเจ้าของ เครื่องเคลือบ เครื่องตัด และเครื่องทำความสะอาดชิป บริษัทก่อตั้งขึ้นโดย David K. Lam อดีตวิศวกรเชื้อสายจีน ตั้งแต่ปี 1980 ผู้เคยทำงานใน HP และ Xerox
ถึงตรงนี้ ถ้าใครรู้สึกสับสนว่า
เครื่องเคลือบ เครื่องตัดชิป มันคืออะไร ?
เราก็ต้องมาเข้าใจ ขั้นตอนการผลิตชิป กันก่อน
การผลิตชิป จะเริ่มต้นจากการนำ แผ่นซิลิคอน เป็นแผ่นวงกลมขนาดใหญ่ มาเข้าสู่กระบวนการผลิต ซึ่งก็จะมีขั้นตอนตั้งแต่
- Deposition นำแผ่นซิลิคอนมาเคลือบ
- Lithography ฉายแสงสร้างลวดลายเพื่อสร้างวงจรบนแผ่นซิลิคอน
- Etching การตัดแผ่นซิลิคอนที่มีวงจรแล้ว เป็นชิ้นเล็ก ๆ
- Cleaning การล้างทำความสะอาด (ขั้นตอนนี้ จะเกิดขึ้นได้หลายช่วงระหว่างการผลิต)
- Testing ตรวจสอบการทำงานของชิป
สุดท้ายชิปที่ผลิตขึ้นได้ก็จะถูกนำไปรวมกับชิ้นส่วนอื่น ๆ ต่อไป
จากขั้นตอนทั้งหมดนี้ บริษัท Lam Research จะเป็นผู้ผลิตเครื่องจักร ในขั้นตอนการผลิต 3 ใน 5 คือ ทั้งเครื่องเคลือบ เครื่องตัด และเครื่องทำความสะอาดในกระบวนการผลิตชิป
แล้วลูกค้าของบริษัท Lam Research คือใคร ?
ปัจจุบัน ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น TSMC, Intel หรือ Samsung ต่างก็เป็นลูกค้าของ Lam Research ทั้งสิ้น
โดยธุรกิจเครื่องจักรสำหรับผลิตชิปนั้น จะมีความโดดเด่นกว่าเครื่องจักรในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตรงที่
เรื่องแรกเลย คือ ความต้องการยังคงสูง
เพราะชิป เป็นเมกะเทรนด์ของโลก
อะไรที่นำหน้าด้วย “สมาร์ต” ล้วนต้องใช้ชิปกันทั้งนั้น
ถัดมา ก็คือ ความซับซ้อนก็สูงด้วย
ในที่นี้ จะพูดถึงความเล็กและความละเอียด
ชิปยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียด ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง
ปัจจุบันอยู่ในระดับนาโนเมตร หรือก็คือ ทุกขั้นตอนเป็นการผลิตที่เล็กกว่าเส้นผม
เมื่อผลิตยาก รายละเอียดและขั้นตอนเยอะ เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต จะต้องเป็นเครื่องจักรเฉพาะทาง
นั่นจึงทำให้ ผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิประดับสูงแต่ละราย จะมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ค่อยซ้อนทับกัน และคู่แข่งที่วัดกันตรง ๆ ก็มีจำนวนน้อย
อย่าง ASML ที่แม้จะเป็นพี่ใหญ่ ในกลุ่มบริษัทเครื่องจักรสำหรับผลิตชิป
แต่สินค้าที่มีชื่อเสียงก็คือ เครื่องฉายแสงความละเอียดสูง จะกินรวบทั้งตลาด โดยมีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 90%
คือเรียกได้ว่า ใช้คำเรียกธุรกิจเครื่องฉายแสงชิป ว่า ASML ไปได้เลย
ส่วนคู่แข่งเครื่องจักรของ Lam Research ทั้งเครื่องเคลือบและเครื่องตัดชิป ก็จะมีแค่ Tokyo Electron และ Applied Materials เท่านั้น
ความน่าสนใจอีกเรื่อง ของผู้ผลิตเครื่องจักรเหล่านี้
ก็คือ อะไหล่แต่ละชิ้นของเครื่องจักร
ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่สามารถซื้อจากบริษัทอื่นมาทดแทนกันได้
เท่ากับว่าหากเราเป็นลูกค้าของเจ้าไหน ก็จะเป็นเจ้านั้นไปเลยโดยปริยาย ย้ายค่ายไม่ได้ หากจะย้ายก็ต้องลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ไปเลย
ผู้ผลิตเครื่องจักรเหล่านี้ จึงจะมีรายได้จากค่าบริการหลังการขาย ทั้งการซ่อมและการอัปเกรดเครื่อง เป็นรายได้ต่อเนื่อง แบบ Recurring ตลอดอายุการใช้งาน
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ จากโครงสร้างรายได้ของ Lam Research
- 60% จากการขายและติดตั้งเครื่องจักร
- 40% จากการบริการ ซ่อม จำหน่ายอะไหล่ และการอัปเกรดระบบและเครื่องจักร
จะเห็นได้ว่า สัดส่วนรายได้จากการบริการซ่อมบำรุงสูงเกือบจะเท่ารายได้จากการขายเครื่องจักร เลยทีเดียว
แล้วที่ผ่านมา Lam Research เติบโตขนาดไหน ?
ปี 2020 รายได้ 347,000 ล้านบาท กำไร 78,000 ล้านบาท
ปี 2021 รายได้ 506,000 ล้านบาท กำไร 135,000 ล้านบาท
ปี 2022 รายได้ 596,000 ล้านบาท กำไร 159,000 ล้านบาท
รายได้ เติบโตเฉลี่ย ปีละ 31%
กำไร เติบโตเฉลี่ย ปีละ 43%
โดยในปี 2022 มีอัตรากำไรมากถึง 26% สูงกว่าบริษัทอย่าง Apple 25% และ Samsung 18% ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เสียอีก
โดยผลประกอบการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ก็เป็นเพราะว่า ชิปขาดตลาด ตลาดผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ลูกค้าที่เป็นโรงงานผลิตชิป ต่างเพิ่มกำลังการผลิตของตัวเอง และสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดขึ้นกับบริษัทผลิตเครื่องจักรรายอื่น ๆ อย่าง ASML หรือ Applied Materials เช่นกัน
และจากการเติบโตของตลาดชิปในปัจจุบัน ที่ไม่ว่าสินค้าอะไร ก็เริ่มใส่เทคโนโลยีเข้าไป และใช้คำว่า “สมาร์ต” นำหน้ามากขึ้น บริษัทผลิตเครื่องจักรสำหรับผลิตชิป ก็ยิ่งเติบโตขึ้นตามไปด้วย
ส่งผลให้มูลค่ากิจการของผู้ผลิตเครื่องจักรอย่าง Lam Research เติบโตขึ้นด้วย โดยปัจจุบัน มีมูลค่าราว 3 ล้านล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ภายใน 3 ปี
ถึงตรงนี้ ก็ต้องเบรกไว้ก่อนว่า ธุรกิจประเภทนี้ มักจะขึ้นอยู่กับ คู่ค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย และจำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการวิจัยและพัฒนา ตามเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่เสมอ
ซึ่งเรื่องนี้ ก็เป็นความเสี่ยงสำคัญทางธุรกิจ ตรงที่หากคุณภาพ หรือบริการของบริษัทด้อยลง คู่ค้ามีการเปลี่ยนไปใช้บริการจากเจ้าอื่น หรือบริษัทไม่สามารถพัฒนาเครื่องจักรให้รองรับการผลิตของลูกค้าต่อไปได้
มันก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อผลประกอบการ ซึ่งอาจรุนแรงพอ ๆ กับตอนที่บริษัทเติบโตขึ้นมาได้ เช่นกัน..
ใครอยากมีความรู้เรื่องตลาดหุ้น ลงทุนแมนแนะนำ หนังสือ BLACK SWAN เล่มนี้ ราคา 380 บาท ที่เล่าถึงความล้มเหลวก่อนที่จะสำเร็จของนักลงทุนในตำนาน 12 คน สามารถสั่งซื้อ ได้ที่
References
- 14
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
