23 ก.ค. 2023 เวลา 06:37 • ธุรกิจ

6 ขั้นตอน ‘ปรับโครงสร้างธุรกิจครอบครัว’ เพื่อเตรียมตัวเป็น ‘บริษัทมหาชน’

บทความที่แล้ว เราได้พูดถึงตัวอย่างของธุรกิจครอบครัวที่นำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต
อ่านบทความ : ‘บัญชีเดียว’ จุดเปลี่ยน ‘ธุรกิจกงสี’ สู่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ คลิก!
ครั้งนี้ เราจะมาดูว่าในการนำธุรกิจครอบครัว (Family Business) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น มีขั้นตอนสำคัญๆ ที่ธุรกิจครอบครัวจะต้องมีการเตรียมการอย่างไรบ้าง ซึ่งหลัก ๆ มี 6 ขั้นตอน ดังนี้
📌1. จัดโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจน
ยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อให้มีการดำเนินงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ จะได้ไม่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นบางกลุ่ม หากบริษัทมีโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีกลไกที่เหมาะสม จะช่วยลดความขัดแย้ง และนำไปสู่การจัดการความขัดแย้งหรือการแก้ปัญหาอย่างตรงประเด็น
📌2. จัดโครงสร้างการถือหุ้น (Shareholding Structure)
โครงสร้างของผู้ถือหุ้นมีผลต่อการดำเนินงานของกิจการ เพราะทำให้มีสิทธิในการควบคุมการบริหารงานทั้งในด้านนโยบายการบริหารงานและผลการดำเนินงาน ดังนั้น ควรแบ่งสัดส่วนการเป็นเจ้าของ (Ownership) และสัดส่วนของน้ำหนักในการโหวต หรืออำนาจในการตัดสินใจต่าง ๆ ของผู้ถือหุ้นให้ชัดเจน
📌3. โครงสร้างคณะกรรมการ
ประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์ที่สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ ดังนั้น ในการเตรียมความพร้อมสู่บริษัทมหาชน ธุรกิจครอบครัวจำเป็นต้องปรับโครงสร้างคณะกรรมการให้เป็นไปตาม พรบ.หลักทรัพย์ฯ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างคณะกรรมการให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
📌4.เตรียมการด้านระบบบัญชีให้มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ
กรรมการ ผู้บริหาร สมุห์บัญชี และ CFO ต้องมีส่วนร่วมในการจัดทำงบการเงินที่มีความโปร่งใสทางการเงินตามมาตรฐานการบัญชี โดยจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้วางระบบการควบคุมภายใน ผู้ตรวจสอบบัญชี จัดทำระบบบัญชีที่ถูกต้องตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
📌5. เตรียมระบบควบคุมภายใน
เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เช่น มีระบบควบคุมด้านการปฏิบัติการ (Operational Control) เพื่อช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง หรือช่วยป้องกันความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น จัดทำเอกสารหลักฐานประกอบการทำรายงานและจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อให้พร้อมต่อการตรวจสอบ เป็นต้น
ส่วนการควบคุมด้านการจัดการ (Management Control) จะทำให้มีระบบการควบคุมแบบ Check and Balance ที่ดี โดยการปรับโครงสร้างของบริษัททางกฎหมายให้เหมาะสม
แบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรและปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ หรือมีการกำหนดอำนาจอนุมัติที่ชัดเจนและเหมาะสม เช่น รายการสั่งซื้อที่มีมูลค่าสูงควรให้คณะกรรมการบริษัทเป็นผู้อนุมัติ เป็นต้น
📌6. สรรหาผู้ประสานงาน หรือ นักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations หรือ IR)
 
เพื่อเชื่อมต่อระหว่างบุคคลภายนอกกับบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัท และสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทไปยังตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น ผู้ถือหุ้น นักวิเคราะห์ นักลงทุน คู่ค้าทางธุรกิจ ฯลฯ
‘ปัจจัย’ ที่มีผลต่อการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับธุรกิจครอบครัวที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรทราบถึงแนวทางการบริหารธุรกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีปัจจัยที่สำคัญดังต่อไปนี้
📌1. ปฏิบัติตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance)
ซึ่งหมายถึง ให้ความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามหลักบรรษัทภิบาล ด้วยการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อการดูแลอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อมีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน
พร้อมทั้งดูแลผู้มีส่วนได้เสียของกิจการรวมทั้งสังคมใกล้และสังคมไกล โดยมีการบริหารกิจการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีคุณธรรมและจริยธรรมที่ดี เพื่อให้กิจการเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
📌2. ความสัมพันธ์ของคนในธุรกิจครอบครัว
กล่าวคือ ถ้าสมาชิกในครอบครัวมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน มีความพึงพอใจกับสภาพธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ พอใจสภาพการทำงานกับมืออาชีพ และมีความผูกพันกับธุรกิจ จะส่งผลให้มีผลประกอบการที่ดี
📌3. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งธุรกิจ (Business Holding Company : BHC)
เพื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ของครอบครัว ทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถระดมทุนจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการระดมทุนและการร่วมทุนกับธุรกิจครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถดำรงรักษาผลประโยชน์และสวัสดิการที่ดีของสมาชิกครอบครัวไว้ได้
ข้อดี-ข้อเสีย สำหรับการนำธุรกิจครอบครัวสู่ธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีดังนี้
📌ข้อดี
1. มีแหล่งเงินทุนระยะยาว ทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถระดมทุนจากนักลงทุน หรือหาผู้ร่วมลงทุนได้มากขึ้น
2. เพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจครอบครัว จากการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเพื่อแสดงความโปร่งใส ทั้งนี้เพราะบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องถูกตรวจสอบระบบบัญชีการเงินอย่างเข้มข้น โดยผู้ประกอบการต้องมีบัญชีเดียว มิฉะนั้น จะไม่สามารถนำธุรกิจครอบครัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้
3. มีการบริหารงานแบบมืออาชีพ เมื่อนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะต้องมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ประหยัด เพราะส่งผลต่อความเชื่อถือของนักลงทุนและราคาหุ้น
📌ข้อเสีย
1. สัดส่วนความเป็นเจ้าของลดลง เพราะต้องแบ่งหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ หากคนในครอบครัวที่ถือหุ้นด้วยไม่เห็นชอบอาจทำให้มีปัญหาความขัดแย้งได้
2. เมื่อนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการตามกฎระเบียบ ของตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานตรวจสอบอื่นๆ ทำให้ขาดอิสระในการบริหารจัดการธุรกิจ
3. เมื่อนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลของบริษัทเพื่อความโปร่งใส ทำให้อาจมีปัญหาเกี่ยวกับความลับทางการค้า
จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นว่า การนำธุรกิจครอบครัวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรค ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจครอบครัวจึงจำเป็นต้องพิจารณาตัดสินใจอย่างรอบคอบว่า ควรนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง หรือควรสงวนธุรกิจครอบครัวเอาไว้เพื่อส่งต่อให้ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นดีกว่า…
พบกันใหม่ กับสาระดี ๆ ของ ‘ธุรกิจครอบครัว’ ในบทความหน้า
ขอขอบคุณ GURU รับเชิญ : รศ. ทองทิพภา วิริยะพันธุ์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โฆษณา