23 ก.ค. 2023 เวลา 06:46 • ท่องเที่ยว
สมุทรปราการ

[สมุทรปราการ] One Day Trip

ในวันหยุดพักผ่อนหรือพอมีเวลาสะดวก หลายคนคงวางแผนเดินทางท่องเที่ยวไปตามแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศหรือต่างจังหวัดไกลๆ แต่ในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวแล้วต้องระหกระเหินเดินทางนั่งรถไปไกลๆคงไม่สนุกสำราญนัก ในส่วนนี้จึงคิดค้นเส้นทางไม่ไกลกรุงเทพ ไม่ต้องนั่งรถนานเกินไปและที่สำคัญสามารถหลบแดดแรงอากาศร้อนอบอ้าวแสนหฤโหดเข้าเที่ยวชมภายในอาคารได้
ค้นหาสักระยะก็มาต้องตาต้องใจกับจังหวัด “สมุทรปราการ” หรือที่รู้จักกันในนาม”เมืองปากน้ำ” เมืองเล็กๆใกล้อ่าวไทยที่หลายคนมองข้ามแต่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามต้องการสำหรับ one day trip คือไม่ไกลกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกและที่สำคัญมีแหล่งเรียนรู้ภายในอาคารน่าสนใจหลากหลายเรื่องราวและให้มีเวลาในการเที่ยวชมแต่ละสถานที่และถ่ายภาพกันให้จุใจ ไม่รีบร้อนเร่งรัดเวลาจนเกินไปนัก
จังหวัดสมุทรปราการมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น บางปู ฟาร์มจระเข้ เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ช้างสามเศียร วัดอโศการาม ฯลฯ ซึ่งอาจเคยไปเที่ยวกันแล้ว แต่ในครั้งนี้อยากพาไปชมและสัมผัส 4 สถานที่ ให้เหมาะกับการท่องเที่ยวใน 1 วัน ดังนี้
- วัดธรรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง)
- พิพิธภัณฑ์ครุฑ
- อุทยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการ
- พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
เส้นทางที่ใช้ในวันนี้ เป็นถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นถนนทางหลวงแผ่นดินเส้นสำคัญ 1 ใน 4 สายที่ตัดตรงจากกรุงเทพฯ ไปภูมิภาคตะวันออก จ. สมุทรปราการ เป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย เมืองปากน้ำ (หรือเมืองพระประแดง, เมืองนครเขื่อนขันธ์) เมืองสำโรง (ตั้งชื่อตามต้นไม้ - ต้นสำโรง) ซึ่งมีแม่น้ำสำโรงตั้งอยู่ กล่าวกันว่าในยุคสมัยทวารวดีที่ขอมเรืองอำนาจนั้น ได้มีการขุดลอกคลองสำโรงพบเทวรูปพระนารายณ์ 2 องค์ คือพระยาแสนตาและพระยาบาทสังขกร จึงมีการตั้งศาลพระประแดง
แต่ในช่วงที่จะเสียกรุงฯ ครั้งที่สอง พระยาละแวกได้ยกพลมาตีพระประแดงและได้นำเทวรูปทั้งสองนี้กลับไปเขมรด้วย ต่อมาที่นี่มีชื่อว่า ต. เทพารักษ์ แม้ว่าชาวตะวันตกจะได้เริ่มเข้ามาทำการติดต่อค้าขาย ตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว แต่เป้าประสงค์มิได้เป็นไปเพื่อการล่าอาณานิคม
ต่อมาในตอนต้นของรัชสมัยรัตนโกสินทร์ ในช่วงรัชกาลที่ 2 ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการรักษาพื้นที่บริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์การโจมตีที่อาจเข้ามาทางเรือ จึงให้มีการสร้างเมืองพระประแดง (บริเวณคลองเตย คือวัดหน้าพระธาตุ และวัดทองล่าง ปัจจุบันรวมเป็นวัดธาตุทอง) และย้ายพลเมืองมาอาศัยอยู่ ทรงพระราชทานนามว่า นครเขื่อนขันธ์ โปรดให้ชาวมอญนำโดยพระยาดำรงราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) เป็นผู้ครองนคร
นอกจากนั้นได้ทรงโปรดให้มีการสร้างป้อมปราการ จำนวน 6 ป้อมรายเรียงสองด้านแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันนี้ เหลือ 2 ป้อม คือ ป้อมจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันประเทศ รัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าซื้อปืนจากบริษัท Armstrong ประเทศอังกฤษ มาติดตั้งที่ป้อมทั้งสอง จึงสามารถยิงสกัดเรือนำร่องของฝรั่งเศสที่รุกล้ำเข้ามา ในเหตุการณ์ ร.ศ. 112 เกริ่นมายาวแล้ว ไปเริ่มที่ที่แรกกันเลยดีกว่าครับ
ปัจจุบันนี้ เหลือ 2 ป้อม คือ ป้อมจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทร
1. วัดธรรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง)
เริ่มจากคุณสมควร ศรีเฟื่องฟุ้ง นักธุรกิจเชื้อสายจีน ที่ติดต่อค้าขายไปมาที่ไต้หวัน เป็นผู้อัญเชิญภาพถ่ายเทพเจ้าเพื่อบูชาที่บ้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 และต่อมาได้มีการอัญเชิญเป็นเทวรูปเพื่อให้ชาวไต้หวันในประเทศไทยเข้ากราบไหว้ขอพรได้
ภายหลังคับแคบแล้ว ประกอบกับมีผู้บริจาคพื้นที่หลายแห่ง เมื่อมีพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ปรากฎว่าเทพท่านได้เลือกพื้นที่ปัจจุบันนี้ ที่บริจาคโดย คุณอุดมศรี ไพศาลกุล จำนวน 20 ไร่รวมกับพื้นที่ของมูลนิธิค่อยๆ รวบรวมจัดซื้อเพิ่มเติมรวมเป็น 26.5 ไร่ เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2531 โดยรูปแบบการก่อสร้างมีต้นแบบมาจากศาลเจ้าของมูลนิธิหนานคุนเซินไต้เทียนฟู่ ที่ประเทศไต้หวัน
วัดธรรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง)
หน้าวิหาร มีสิงโตคู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยแกะสลักขึ้นจากหินหยกเขียว นำเข้าจากประเทศจีน ได้รับการปลุกเสกคาถาศักดิ์สิทธิ์จากนักพรตในลัทธิเต๋า ที่ถือคติความเชื่อว่า สิงโตคู่นี้ มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถกำจัดสิ่งชั่วร้าย ภูตผีปีศาจ และสิ่งอาถรรพ์ทั้งปวงได้
มีจุดสักการะ 9 จุด
จุดที่ 1 เปรียบเหมือนประตูสวรรค์ ให้ไหว้ฟ้าดิน สักการะเทพสุริยะ เพื่อขอเปิดทางให้เข้าขอพร
จุดที่ 2 เข้าทางประตูขวามือ เปรียบเสมือนทางเดินมังกรเขียว (ทางออกคือประตูทางซ้ายมือ เปรียบเสมือนเสือขาว)
ไหว้เทพเจ้า 5 ตระกูล คือตระกูลหลี่, ฉือ, อู๋, จู และ ฟ่าน ซึ่งรวมเรียกว่า “อู๋ฟู่เชียนส่วย (โหงวหวังเอี้ย)” และเจ้าพ่อเสือ สามารถขอพร ได้ทุกเรื่อง เรื่องสุขภาพ การงาน อาชีพ เงินทอง โชคลาภ โดยตั้งจิตอธิษฐาน แจ้งชื่อ นามสกุลและสิ่งที่ปรารถนา
(ที่จุดนี้ สามารถเสี่ยงเซียมซีได้ โดยกวนกระบอกใส่ติ้วขนาดใหญ่ เลือกไม้ที่ยื่นสูงที่สุด แล้วไปเสี่ยงทายอีกครั้งกับไม้ทรงพระจันทร์เสี้ยว เพื่อถามว่าเบอร์ของติ้วนั้น ใช่คำทำนายตามที่ขอหรือไม่ โยนสามครั้ง หากไม้วางออกมา คว่ำหนึ่งอัน หงายหนึ่งอัน ติดกันสามครั้ง จึงไปอ่านใบเซียมซีหมายเลขนั้นได้ (โดย scan QR) หากไม้ทรงพระจันทร์เสี้ยวไม่เป็นดังกล่าว ไม่สามารถอ่านเซียมซีใบนั้นได้ โอกาสหลังให้มาใหม่)
จุดที่ 3 ไหว้เทพเจ้าจงจวินฝู่ ขอพรเรื่องงาน การเรียน การสอบ
จุดที่ 4 ไหว้เทพเจ้าเฉินหวังเหย่ ขอพรเรื่องความมั่นคงในชีวิต หรือความมั่นคงในอาชีพการงาน
จุดที่ 5 ไหว้เทพไท้ส่วยเอี๊ย เทพเจ้าประจำราศีเกิด ขอพรเสริมดวงชะตา สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง
จุดที่ 6 ไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิม ขอพรเรื่องสุขภาพ
จุดที่ 7 ไหว้แปะกง ขอพรเพื่อการเงิน
จุดที่ 8 ไหว้พระแม่บังเกิดเกล้า เพื่อขอบุตร หรือเกี่ยวกับบุตร
จุดที่ 9 ไหว้เทพเจ้าวั่นซานเหย่ ขอพรเรื่องโชคลาภ เงินทอง
ภาพหมู่กับคณะผู้ร่วมทริป ที่วัดธรรมกตัญญู (เสียนหลอไต้เทียนกง)
จุดที่ 5 ไหว้เทพไท้ส่วยเอี๊ย เทพเจ้าประจำราศีเกิด ขอพรเสริมดวงชะตา สะเดาะเคราะห์ แก้ปีชง
ผู้ที่มาสักการะสิ่งศักด์สิทธิ์มักชอบบรรยากาศภายในบริเวณวัดธรรมกตัญญู(เสียนหลอไต้เทียนกง) เพราะกว้างขวาง สวยงามสะอาดตา เงียบสงบ ไม่มีเสียงดังรบกวนสมาธิ สามารถเดินไหว้พระ สักการะสิ่งศักด์สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการจุดธูปบูชาและให้คำแนะนำในการสักการะให้ถูกต้องอีกด้วย คิดว่าถ้าทุกท่านได้มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่แล้ว รับรองว่าจะต้องติดใจกับบรรยากาศและอิ่มบุญ อิ่มใจอย่างแน่นอน
2. “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” โดย ธนาคารทหารไทยธนชาต
เรานั่งรถต่อมาอีกเล็กน้อยก็ถึงพิพิธภัณฑ์ครุฑ ประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ครุฑ เกิดในปี พ.ศ. 2554 มีการควบรวมกิจการของธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารธนชาต ผู้บริหารธนาคารธนชาตเห็นคุณค่าของครุฑพระราชทานกว่า 150 องค์ ที่เคยประดิษฐานอยู่หน้าธนาคารนครหลวงไทยทั่วประเทศไทยมารวบรวมและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
เพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในวโรกาสที่ขึ้นครองราชย์ครบ 84 ปี และตระหนักถึงคุณค่าและความเชื่อเรื่องพญาครุฑที่มีต่อสังคมไทย เนื่องจากพญาครุฑ เป็น สัญลักษณ์แห่งความกตัญญู ความดีงาม และความซื่อสัตย์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต ได้มีการควบรวมกิจการ เป็นธนาคารทหารไทยธนชาต แต่ยังคงสืบสานเจตนารมณ์ในการจัดให้มีพิพิธภัณฑ์ครุฑต่อไป และเพิ่มการใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ ช่วยให้การนำเสนอเรื่องราวของพญาครุฑให้น่าสนใจและน่าติดตามยิ่งขึ้น
ตามความเชื่อจากลัทธิเทวราชของอินเดีย ที่ถ่ายทอดถึงไทยมาแต่โบราณนั้น เชื่อว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ มีครุฑเป็นผู้มีฤทธิ์มาก เป็นพาหนะของพระนารายณ์ ครุฑจึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ เรียกว่าตราครุฑพ่าห์ พบปรากฎในทุกที่ที่พระมหากษัตริย์เสด็จไป
ในวรรณกรรมไตรภูมิพระร่วง ได้กล่าวไว้ ว่าเมื่อพระพรหมสร้างโลกนั้น มีเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล มีทะเลล้อมรอบ 7 ชั้น รวมเรียกว่า มหานทีสีทันดร ที่เชิงเขาพระสุเมรุนั้น มีป่าหิมพานต์ มีบรรดาครุฑอาศัยบนต้นงิ้วที่เรียกว่า ฉิมพลี และมีทะเลน้ำนม (เกษียรสมุทร) อันเป็นที่อยู่อาศัยของนาค ซึ่งผู้จะบินผ่านทะเลนี้ได้ต้องมีพละกำลังมหาศาล เช่นครุฑเท่านั้น เนื่องจากน้ำนมนี้มีความละเอียดอ่อนมาก แม้แต่ขนนกที่ตกลงไปในทะเลนั้น ก็จะจมลงก้นมหาสมุทร
วิทยากรปูพื้นและนำชมพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทุกวันนี้ ตรารูปครุฑที่เราพบเห็นอยู่เสมอ ติดอยู่หน้าธนาคาร บริษัทห้างร้านที่มีความเป็นมายาวนาน เรียกว่า “ตราตั้งห้าง” หรือ “ตราตั้ง” เป็นรูปครุฑพ่าห์หรือครุฑซึ่งเป็นพาหนะ ตราครุฑพ่าห์ (พระครุฑพ่าห์) ถูกใช้ในส่วนราชการมายาวนานซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์
ก่อนจะมีการออกแบบตราครุฑพ่าห์สำหรับใช้เป็นตราตั้งห้างสำหรับภาคเอกชน จะมีลักษณะต่างกันเล็กน้อย โดยธุรกิจของเอกชนสามารถขอตราตั้งห้างประดับอาคารที่ทำการได้ ด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากสำนักพระราชวัง โดยมีเงื่อนไขว่ากิจการนั้นจะต้องปลอดหนี้สิน ทำธุรกิจด้วยความสุจริต และทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เป็นต้น
ชมครุฑในรูปแบบต่างๆกันอย่างจุใจ
3. อุทยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารโพธิ์ทะเลแล้ว ก็มุ่งหน้าไปหาความรู้เรื่องเมืองสมุทรปราการและชมวิวงามๆของโค้งน้ำเจ้าพระยาถึงปากอ่าวไทยกัน
อุทยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการ ตั้งอยู่บนถนนอมรเดช ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่บริเวณที่ใช้เป็นที่ตั้งของอุทยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการแห่งนี้ เดิมเคยเป็นสถานที่ตั้ง “เรือนจำกลางสมุทรปราการ” ซึ่งเรือนจำกลางดังกล่าวได้ย้ายออกไปตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2544
ร่องรอยของเรือนจำกลาง (เก่า) ที่หลงเหลืออยู่
โครงการอุทยานการเรียนรู้และหอชมเมืองสมุทรปราการ สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์สำคัญในประเทศไทยของเมืองหน้าด่านทางทะเลที่ขนานนามว่า “เมืองปากน้ำ” บอกเล่าความเป็นมาผ่านนิทรรศการชุด “ร้อยเป็นเรื่องเมืองปากน้ำ” ที่แบ่งเป็น 6 โซน
นำเสนอเรื่องราวทั้งการเป็นเมืองท่า เมืองหน้าด่านทางทะเลจนมาเป็นเมืองอุตสาหกรรมในปัจจุบัน รวมถึงวิถีชุมชนทุกยุคทุกสมัย ผสานกับนวัตกรรมอันทันสมัย อีกทั้งยังมีนิทรรศการรวบรวมความผูกพันของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่ออาณาประชาราษฎร์ที่เกิดขึ้น ณ สมุทรปราการ
หลังจากชมนิทรรศการ “ร้อยเป็นเรื่องเมืองปากน้ำ” ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราว ความเป็นมาที่นำเสนอด้วยสื่อมัลติมีเดียอย่างน่าสนใจของเมืองสมุทรปราการแล้ว ก็มาถึงHighlight อีกอย่างของการมาเที่ยวชมแหล่งเรียนรู้ที่นี่คือขึ้นลิฟต์โดยสารไปชมหอชมเมืองสมุทรปราการ
หอชมเมืองสมุทรปราการมีความสูงถึง 179.55 เมตร สร้างเป็นอาคารฐานทรงกลม 2 ชั้น แกนกลางมีลักษณะเป็นแท่งแปดเหลี่ยม เป็นหอคอยทรงกระบอก(ชั้น 23) มองผ่านกระจกใสทรงกลม เป็นจุดชมวิวปากแม่น้ำเจ้าพระยาอันงดงามและทัศนียภาพโดยรอบของเมืองสมุทรปราการ แบบ 360 องศา จากมุมสูงให้ได้ชมอย่างตื่นตาตื่นใจและถ้าใครอยากเห็นภาพพื้นที่ไหนชัดๆ เต็มตาก็มีกล้องส่องทางไกลให้หยอดเหรียญบริการอีกด้วย
ขึ้นลิฟต์มาชั้น 23 เพื่อชมทัศนียภาพในมุมสูงของเมืองสมุทรปราการ
4. พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือตั้งอยู่ ณ ถนนสุขุมวิท ตำบลปากน้ำ ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ จากแยกบางนาไปสำโรงประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นสถานที่รวบรวมและอนุรักษ์วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งรวบรวมข้อมูลและยุทโธปกรณ์รอบด้านตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบันเอาไว้
สามารถเดินชมอาคารทั้ง 2 อาคาร จัดแสดงประวัติบุคคลสำคัญของกองทัพเรือ อาทิ พระเจ้าตากสินมหาราช กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาของทหารเรือไทย เครื่องแบบทหารเรือไทย เรือโบราณ และอุปกรณ์ในการเดินเรือต่าง ๆ เช่น เรือที่ใช้ในพระราชพิธีกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารคในสมัยรัชกาลที่ 5 เรือหลวงพระร่วง เรือเหรา และไฮไลต์สำคัญคือ เรือหลวงมัจฉาณุ เรือดำน้ำรุ่นแรกของกองทัพเรือไทยและนิทรรศการหมุนเวียน เช่น ยุทธนาวีที่เกาะช้าง สงครามเอเชียมหาบูรพา ยุทธการบ้านชำราก ฯลฯ
โดยบริเวณชั้น 1 อาคาร 2 จัดแสดงสิ่งของ สรรพาวุธ ในอดีตที่น่าสนใจอย่างแรกที่มุ่งไปชม คือ ”ปืนเที่ยง” ที่ได้ยินจากสำนวน”ไกลปืนเที่ยง” เมื่อไปถึงก็ได้รับการต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรีและการนำชมอย่างดียิ่งจากนายทหารประวัติศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑ์ ได้อธิบายอย่างน่าสนใจว่า…หน้าที่หนึ่งของกองทัพเรือ คือการบอกเวลา ในสมัยโบราณใช้”ปืนเที่ยง”เพื่อยิงบอกเวลาเที่ยงวัน ปืนที่เห็นอยู่ใช้ในราชการกองทัพเรือสมัยรัชกาลที่ 5 โดยกองเรือกล
วิทยากรทหารเรือบรรยายถึงโขนเรือเห-รา, ปืนเที่ยง, ประภาคารสันดอน ฯลฯ
จากนั้นได้ขึ้นไปชมนิทรรศการที่ชั้น 2 อาคาร 2 จัดแสดงเรือพระราชพิธี(จำลอง)สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และการตั้งกระบวนเรือสำหรับประกอบพระราชพิธีชลมารค ซึ่งโชคดีที่วิทยากรที่มาบรรยายให้ความรู้เคยรับหน้าที่ฝีพายหลวงของเรืออเนกชาติภุชงค์ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือสำคัญของกระบวนเรือพระราชพิธี จึงอธิบายให้เราฟังอย่างเจาะลึกเพราะมีประสบการณ์ตรง
นอกจากนี้บนพื้นที่ชั้น 2 นี้ยังจัดแสดงเรือรบทางทะเลสมัยโบราณประเภทเรือใบและเรือกลไฟ เช่น เรือพระที่นั่งครุฑ สร้างในรัชกาลที่ 1 เรือวิทยาคม สร้างในรัชกาล ที่ 3 เรือยงยศอโยชฌิยา สร้างในรัชกาลที่ 4 เรือพิทยัมรณยุทธ สร้างในรัชกาลที่ 5 แสดงหัวเรือมกุฎราชกุมาร (ลำแรก) หัวเรือพาลีรั้งทวีป และหัวเรือสุครีพครองเมือง (เรือปืนในรัชกาลที่ 5)
ครุฑขนาดใหญ่ติดที่เสาหน้าของเรือพระที่นั่งมหาจักรีลำที่ 2 ครุฑติดหัวเรือหลวงรัตนโกสินทร์ ซึ่งแต่ละชิ้นประณีตงดงามและมีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย รวมถึงเครื่องแต่งกายทหารประจำเรือพระราชพิธีและเครื่องแบบทหารเรือสมัยต่างๆตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน และเครื่องหมายแสดงความสามารถพิเศษ
โบราณวัตถุและสิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ทหารยังมีอีกมากที่วันนี้ยังชมไม่ครบ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือมีสิ่งใดให้ชมบ้างได้ตามลิ้งค์นี้
ตั้งใจว่าต้องหาโอกาสและเวลามาเยี่ยมชมแบบเจาะลึกกันอีกในโอกาสต่อไป
อัพเดทข่าวสารและติดตามกิจกรรมทริปล่าสุดได้ที่
โฆษณา