25 ก.ค. 2023 เวลา 05:36 • ท่องเที่ยว
เขาโมโกจู หินเรือใบ

ยอดเขาโมโกจู ในวันฝนตกท่ามกลางฤดูหนาว

ยอดเขาโมโกจู มีความสูง 1964 ม.สูงที่สุดในผืนป่าตะวันตก และสูงเป็นอันดับ 8 ของประเทศไทยตั้งอยู่ใน อุทยานแห่งชาติแม่วงศ์ กินพื้นที่ 2 จังหวัดคือ นครสวรรณ์และกำแพงเพชร ลักษณะส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ
โดยผืนป่าแห่งนี้เป็นป่าที่มีความสมบูรณ์ ทำให้มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ รวมถึงประชากรเสือโคร่งจำนวนมากจนปัจจุบัน ได้เกิดความร่วมมือระหว่าง กรมอุทยาน และ WWF เพื่อฟื้นฟูและรักษาประชากรของเสือโคร่งในผืนป่าแห่งนี้
ทางอุทยานแห่งชาติแม่วงศ์จะเปิดให้เดินช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. ของทุกปี โดยจะเดินระยะทาง 64 กิโลเมตรทาง อุทยานเคลมไว้ว่าเป็นระดับ 5 ระดับโหดหินหรือ Extreme Treking โดยจะเป็นการนั่ง รถไปกลับ 14 กิโลเมตร เดินเท้า 50 กิโลเมตร(แต่ผมวัดได้แค่ 41 กิโลแฮะ) ระยะเวลา 5 วัน 4 คืน โดยจะแบ่งเป็นการตั้งแคมป์ ที่จุดสกัดแม่กระสา 1 คืน(คืนแรก) จุดตั้งแค้มป์แม่รีวา (คืนที่ 2 และคืนสุดท้าย) จุดตั้งแค้มป์ตีนดอย (คืนที่สามก่อนขึ้นยอดโมโกจู)
โดยในการเดินจะมีผู้ร่วมพิชิตทั้งหมด 24 คน บวกเจ้าหน้าที่ในการดูและ 5 คน โดยหน้าที่จะรับผิดชอบการ ประกอบอาหาร นำทาง ให้ความรู้ และให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้นเราควรพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุดนะครับ
แผนที่ในการเดินของเราในครั้งนี้
Day 1
เราเดินทางออกจากรุงเทพกันตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันจันทร์ที่ 21 พ.ย. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30 ชม. ก็มาถึงจังหวัดกำแพงเพชร ทำการเช็คอินเข้าที่พัก พักผ่อนเพื่อที่ในตอนเช้าเราจะเดินทางไปที่ อช.แม่วงศ์ โดยจากตัวเมืองจะใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง หลังจากจ่ายค่าเข้าอุทยาน เราก็ขับตรงตามทางมาเรื่อยๆ ก็จะถึงที่ทำการอุทยาน ทำการขนของลง เตรียมของทำธุระส่วนตัว จากในรูปเราเลี้ยวขวาเพื่อเข้าที่ทำการ ถ้าตรงไปอีกประมาณ 30 กม. ก็จะไปถึงช่องเย็น
กำลังเข้าอุทยานแล้ว
ได้เวลา 8.00 เราก็เริ่มทยอยเข้าห้องประชุม เพื่อฟังคำแนะนำต่างๆจากเจ้าหน้าที่
ฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง
ประมาณ 9.30 ก็ได้เวลาจัดของขึ้นรถ รับอาหารเที่ยวจากเจ้าหน้าที่ ออกเดินทางสู่พงไพร แห่งความสงบและสวยงามแห่งนี้กันครับ
ตระเตรียมของกัน
หลังจากระเด้งกระดอน ทับกันไปมา ละลายพฤติกรรมเพื่อนร่วมทริป กันอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงจุดปล่อยตัวจุดนี้ของเราไม่ต้องเอาลงนะครับเอาแค่น้ำดื่มข้าวขนม ติดตัวไว้ก็พอ เจ้าหน้าที่จะเอาของไปส่งให้เราที่แม่กระสาเลย
ระหว่างทางเข้าไปแคมป์แม่กระสา
เริ่มเดินครับระยะทาง 9 กิโลเมตรไปยังแค้มป์แม่กระสา เป็นการเดินบนทางรถ มีเนินขึ้นลงพอให้ได้งองแงครับ ช่วงนี้ก็เดินชิวๆไปครับ เหนื่อยก็พักไม่ต้องรีบเร่ง
เดินเรื่อยๆทางราบๆครับ
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเราก็เดินมาถึงแล้วครับ จุดแค้มป์ของเรา ลานสวยมากติดลำธาร จะผูกเปลหรือกางเต้นท์ก็ตามสะดวกครับ
บรรยากาศลานกางเต้นท์
ที่นี้จะมีห้องน้ำไว้บริการ เป็นจุดสุดท้ายของการอาบน้ำและขับถ่ายแบบปกติ เพราะคืนต่อๆไปเราจะอาบแบบธรรมชาติกันอีก 3 คืนลำธารจุดนี้กว้างใหญ่มีหาดทราย
ห้องน้ำในวันนี้
บรรยากาศลำธาร น้ำใสไหลเย็น
ตกเย็นมา เจ้าหน้าที่จะทำอาหารให้เราทานครับ เชฟของเรานับจากวันนี้คือจ่าแดง คนนี้นี้เอง.. ทำอาหารอร่อยมาก จุดไฟเก่ง เดินเก่งกว่า ตามไม่เคยทัน
จ่าแดงกำลังหุงหาอาหาร
ก่อนเข้านอนพักผ่อนเราก็ นอนดูดาวกันครับ วันนี้คืนเดือนมืดฟ้าสวยมาก คงจะจดจำไปได้อีกนาน
ท้องฟ้ายามค่ำคืน
Day 2
วันนี้เราตื่นกันประมาณ หกโมงครึ่ง รับอาหารเช้าจาก จ่าแดง เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยมาฟังบรรยายสั้นๆจาก จารหนู หัวหน้ากลุ่มในครั้งนี้รับอาหารกองกลางที่เราต้องเฉลี่ยช่วยกันแบก คร่าวๆไม่เกินคนละ 3 กิโลกรัมครับก่อนเริ่มแบกเป้ อันเป็นภาระของเราจากนี้ เดินไปแค้มป์แม่รีวา ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร
เตรียมเป้ขึ้นหลังกัน
ทางวันนี้ไม่ชั้นมากครับ เดินไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นป่าไผ่ เป็นที่อยู่ของน้องช้าง
ทางค่อนข้างรกเนื่องจากเราเป็นกลุ่มแรกๆของปีนี้
มีสะพานไม้ไผ่ให้ข้ามพอเสียวๆครับ
ทางข้ามน้ำ
มาถึงแค้มป์แม่รีวาแล้ว จัดการลงเต้นท์ให้เรียบร้อย
บรรยากาศแค้มป์ของเรา
เสบียงทั้งหมดของเราในอีก 3 วันหลังจากนี้ หลังจากช่วยกันแบกมาก็เอามารวมกันตรงนี้
อาหารของเราทั้งหมดหลังจากนี้
หลังจากวางของ กางเต้นท์ ทานข้าวเที่ยงเราก็เริ่มออกเดินไป เล่นน้ำตกแม่รีวากัน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร จุดนี้พกน้ำดื่ม ไฟฉาย สเปร์ยกันยุงขนม นิดหน่อยไปด้วยนะครับ เดินได้เหนื่อยอยู่ มีปีนป่ายเล็กๆน้อยๆ
เดินกันแบบตัวเบา
หลังจากหลงทางกันนิดๆหน่อยๆเราก็มาถึงครับ น้ำตกแม่รีวา ส่วนตัวผมมองว่าคุ้มที่จะเหนื่อยเดินเข้ามาครับ สวยงาม น้ำแรง ใครอยากสดชื่น ถอดผ้าลงน้ำได้เลยครับแนะนำ สดชื่นมาก เราคงไม่ได้ทำแบบนี้กันบ่อยๆ
น้ำตกกลางป่า มันยิ่งใหญ่และถ้าไม่ใช้สองเท้าเข้ามาก็คงไม่ได้เห็น
อยู่ที่น้ำตกประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินกลับมาที่แค้มป์กัน ทานข้าวเย็นแล้วพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเดินไปแค้มป์ตีนดอยในวันพรุ่งนี้ตัวผมเองนอนไม่หลับเลยตื่นเต้น เพราะไม่เคยเดินทางที่ชันและไกลขนาดนี้มาก่อน
อาหารเย็นวันนี้
Day 3
คืนนี้เราตื่นกันแต่เช้ามืด เอาไฟฉายคาดหัว เริ่มออกก้าวเดิน ไปที่ความสูง 1900 ม.ระยะทาง 8.5 กม.
เริ่มเดินกันแต่ฟ้ายังมืดอยู่
ระหว่างทางเดินเราได้พบกับ รอยเท้าสัตว์เสือและสัตว์ จำนวนมาก ที่เป็นสิ่งการันตีว่าป่าแห่งนี้ สมบูรณ์ น่าหวงแหนและอันตรายมากเพียงใด
รอยเท้าเสือระหว่างทาง
พอฟ้าเริ่มสาง ฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราวกับว่าเราอยู่ท่ามกลางฤดูฝน
ฝนตกลงมาไม่หยุด
ระหว่างทางเราจะมีจุดให้เรา เติมน้ำบริเวณคลอง 1 เป็นจุดที่ค่อนข้างไกลจากที่เราเริ่มเดินมา ฉะนั้นอย่าลืมเติมน้ำให้เต็มจากแค้มป์แม่รีวากันนะครับ
ลำธารระหว่างทาง
เดินไปเรื่อยๆครับ จะมีจุดที่ชันมากจนเราต้องไต่เชือกอยู่สามจุด มาถึงตรงนี้เราทั้งเปียกทั้งเหนื่อย
บางจุดชันมากจนต้องไต่เชือกขึ้นไป
ประมาณกิโลเมตรสุดท้ายจะเป็นทางเดินลงไปยังจุดตั้งแค้มป์ตีนดอย
ทางลงไปจุดแคมป์ของเรา
หลังจากเดินมาประมาณ 7 ชม.เราก็มาถึงแค้มป์ พร้อมฝนที่ยังคงตกอยู่เหมือนเดิม จ่าแดงเริ่มก่อไฟเพื่อทำอาหารให้พวกเรา
หาทางก่อไฟท่ามกลางสายฝน
พวกเราเริ่มกางเต้นท์ฟลายชีทกันเพื่อทำการนอนแบบปลาทู ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำนี้และเคยนอนแบบนี้ ผมเริ่มตระหนักได้ว่าพวกผมน่าจะยอมแบกเต้นท์ขึ้นมา แต่ยังไงซะก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกดีครับ
สภาพการนอนคืนนี้ครับ
พอทานกันอื่ม ทุกคนก็เริ่มใช้กองไฟเป็นที่ตากผ้าและถุงนอน ที่อยู่ในสภาพเปียกปอนกันหมด ผมพึ่งรุ้ว่า raincover ไม่สามารถช่วยให้ของเรา ในเป้เราไม่เปียก ในสภาพฝนที่ตกหนักได้ ฉะนั้นทุกคนควรมีถุงพลาสติกหรือถุงกันน้ำใส่ถุงนอนและเสื้อผ้าถ้าต้องเดินป่าที่มีฝน
ของทุกอย่างเปียกหมด
หลังจากอิ่มแล้วก็เข้านอน เพื่อที่จะไปขึ้นยอดโมโกจู กันแต่เช้า หลังจากนอนไปไม่ถึงสิบนาที ฝนเจ้ากรรม ก็เทลงมาอีกและไม่หยุดอีกเลยในอื่นนั้นทำให้เราทุกคนอยู่ในสภาพไม่ต่างอะไรกับนอนในบ่อน้ำ ทีมีน้ำหยดใส่หน้าตลอดเวลา
นอนแบบระแวง น้ำก็ตกใส่หัวตลอดเวลา
Day 4
หลังจากตื่นขึ้นมากันในสภาพโงนเงน เรื่องจากไม่มีใครได้นอน เราก็เริ่มเอาชุด พร้อมกับรองเท้าที่เปียกเหมือนเมื่อวานมาใส่ และเดินขึ้นยอดเขาโมโกจูกันสภาพทางขึ้น ระยะทาง 1.5 กิโลเมตรใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชม.ทางจุดนี้ลื่นมากๆ ทำเอาเราก้นลงไปถูพื้นอยู่คลายครั้ง
ทางขึ้นลื่นมากๆ
ใกล้ถึงแล้วยอด โมโกจู
กำลังจะถึงแล้ว
ฟ้าปิดลมแรง เรามองไม่เห็นอะไรเลย
ถึงแล้วยอดเขาโมโกจู หินเรือใบ ลมแรงเปียก และหมอกล้อมจนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เราก็รู้สึกอิ่มอยู่ดี คงเพราะว่าเราชินแล้ว กับอะไรที่คงไม่ได้เป็นดั่งใจเราเสมอไป หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศและผลัดกันถ่ายรูปซักพัก
หินเรือใบ กับหมอกและความหนาว แต่เราก็สุขใจและปลื้มใจกันมากๆ
กลับลงมาที่แค้มป์ เพื่อเตรียมตัวที่จะเดินลงไปที่แค้มป์แม่รีวา
เตรียมตัวลงกัน
ระหว่างทางเดินกลับฝนก็ยังคงตกไม่หยุด แต่ด้วยฝนที่ตกไม่หยุดก็ทำให้บรรยากาศรอบๆเราสวยมากเช่นกัน
ถ้าฝนไม่ตกเราคงไม่ได้บรรยากาศแบบนี้
หลังจากเดินลงเขามาประมาณ 5.30 ชม. เราแบกเข่าที่ปวดของเรามาถึงแค้มป์แม่รีวาในเวลา 4 โมงหลังจากพักทานข้าวอาบน้ำเรียบร้อยเราก็นั่งรอกลุ่มของเราที่เหลือที่ยังไม่ลงมา จนถึงเวลา 19.30 น.จากนั้นเข้านอน พร้อมฝนที่เทลงมาอีกรอบ เป็นคืนสุดท้ายของทริปนี้
เราเหนื่อยกันมากในคืนนี้ หลังจากเดินมาทั้งวัน
Day 5
หลังจากตื่นเช้าทานข้าวต้มฝีมือจ่าแดง เราได้เริ่มเดินกลับมาที่แม่กระสา ประมาณเที่ยงเราก็มาถึงจุดสกัดแม่กระสา
ข้ามน้ำกลับไปที่แคมป์
ล้างเนื้อล้างตัว เตรียมตัวนั่งรถไปที่ ที่ทำการ อุทยาน
รองเท้าคู่ใจของพวกเรา ล้างซะหน่อย
เราขึ้นรถกลับมาที่อุทยานใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
กลับแล้ว คงคิดถึงความสุขในการเดินทางครั้งที่ไม่มีวันลืมเลือน
สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณอุทยานแห่งชาติแม่วงค์ เจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ปฎิบัติงานได้เป็นอย่างดี ช่วยเหลือและให้ความรู้พวกเรา ขอบคุณเจ้าหน้าที่กรมอุทยานป่าไม้ทุกท่านที่รักษาผืนป่าแห่งนี้ไว้ให้เราทุกคน
ไม่ว่าฝนจะตก ลมจะแรงแค่ไหน เรื่องราวดีๆคงจะมีให้เราเสมอ ขอเพียงเราเปิดใจยอมรับ
เราเอง
โฆษณา