25 ก.ค. 2023 เวลา 09:16 • บันเทิง

นารูโตะ ภาคพิเศษ : พายุหมุนในวังวน - ด้ายสีแดงและประกายแสงสีทอง

หากพูดถึง “นามิคาเสะ มินาโตะ”
เราจะนึกถึงอะไรบ้าง?
(บทความนี้เหมาะสำหรับ
คนที่อ่านมังงะ One-shot
“พายุหมุนในวังวน” แล้วนะครับ)
.
.
.
เชื่อว่าอย่างแรกสุดที่ผุดขึ้นมาในหัว
คือความเป็น “อัจฉริยะ” แห่งโลกนินจา
ที่หาตัวได้ยากยิ่ง กว่าจะเจอแบบนี้สักคน
แค่เพียงพูดชื่อก็รับรู้ถึงความเก่งกาจ
จารึกประวัติศาสตร์เอาไว้มากมาย
กลายเป็นเรื่องราวที่ได้รับการเล่าขาน
ร่ำลือมานานแสนนานจนปัจจุบัน
หากเรียงตามไทม์ไลน์ของเรื่องก็จะได้เป็น
- เด็กเทพที่เป็นหัวกะทิของรุ่น เรียนเก่งเป็นเลิศ จากสถิติที่เคยทำคะแนนสอบจูนิน (พาร์ทข้อเขียน) ได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ รร.นินจาโคโนฮะเลยทีเดียว
- เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เคยสยบเหล่านินจาคุโมะได้สบายๆ เพียงลำพัง ทั้งที่ยังเป็นแค่เกะนิน อายุแค่ราวๆ 11-12 ปี พร้อมช่วย “อุซึมากิ คุชินะ” (ที่ตอนนั้นยังเป็นเพื่อนใหม่ร่วมห้อง) กลับมาได้อย่างปลอดภัย
- ความอัจฉริยะของเขา คือความเป็นคนหัวไว ไหวพริบดี เรียนรู้ ซึมซับวิชาใหม่ๆ ได้เร็ว ทั้งโหมดเซียนที่เรียนกับครูจิไรยะและท่านเซียนกบแห่งภูเขาเมียวโบคุ อย่างล่าสุดในมังงะฉบับพิเศษ “พายุหมุนในวังวน” ก็ยังฝึกวิชาผนึกแห่งตระกูลอุซึมากิที่ฝึกกับคุชินะทุกวันจนใช้ได้คล่อง
แรงบันดาลใจในการคิดค้น "กระสุนวงจักร"
และที่สำคัญวิชากระสุนวงจักรของเขา ก็ได้มาจากการสมัยสงครามนินจาครั้งที่ 3 เมื่อครั้งสู้กับเหล่านินจาร่างสถิตจากอิวะฯ และต้องเจอไม้ตายบอลสัตว์หางของ “โกคู-โคคุโอ” สี่และห้าหาง เลยเกิดเป็นไอเดียไม้ตายใหม่ในหลักการคล้ายกัน ให้อานุภาพที่ทรงพลังได้ด้วยการใช้จักระอย่างช่ำชอง ไม่ต้องอาศัยการประสานอินให้เสียเวลา
ทว่าระหว่างการฝึก มินาโตะกลับเกิดอาการตีบตันไปต่อไม่ถูก เมื่อการควบคุมจักระมันยากกว่าที่คิด แป้กมั่ง ระเบิดมั่ง ครูเลยแนะว่าควรรีดเร้นจักระให้วนไปตามขวัญบนหัว แต่ตัวเองก็ดันมีขวัญแฝด
ฝึกมานาน ในที่สุดก็ทำสำเร็จ
พอครูเอาไอติมแท่งคู่มาให้กิน ถามว่าจะเอาแท่งไหน มินาโตะเลยบอกแท่งไหนก็ได้ กลายเป็นปลดล็อคไอเดียขึ้นมา มองว่ารีดเร้นจักระไปทางไหนก็เหมือนกัน จนสำเร็จวิชาเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด พร้อมตั้งชื่อว่า “กระสุนวงรัศมีหวานเย็นขวัญแฝดจิไรยะ” (รู้เลยว่านารูโตะได้ความเฉิ่มนี้มาจากใคร อัจฉริยะแค่ไหน ถ้าเรื่องตั้งชื่อนี่ต้องเว้นไว้เลย ฮ่าา)
มีดคุไนแบบพิเศษ อีกหนึ่ง Signature ประจำตัว
- เติบโตมาเป็นยอดฝีมือแห่งยุคอย่างแท้จริง สร้างปรากฏการณ์ช่วงสงครามโลกนินจาครั้งที่ 3 ด้วยการได้รับความไว้วางใจให้ตามไปเป็นแนวหน้าของสมรภูมิรบ พร้อมช่วยพลิกวิกฤตของโคโนฮะ โค่นกองทัพอิวะงาคุเระนับพันชีวิตด้วยตัวคนเดียว จนซึจิคาเงะยอมเจราจาสนธิสัญญาด้วย เพราะตระหนักในฝีมือ
เร็วยิ่งกว่า A
- ชายผู้ได้รับการขนานว่านี่คือนินจาที่ “เร็วที่สุด” แห่งยุค จากการนำวิชา “เทพอัสนี” ของท่านโฮคาเงะ รุ่นที่ 2 มาต่อยอดเป็น “เทพสายฟ้าเหิน” ที่เพียงลงอักขระพิเศษไว้ตามจุดต่างๆ ก็สามารถพาตัวเองวาร์ปไปได้ดั่งใจนึก พิฆาตศัตรูให้แดดิ้นในชั่วพริบตา
เคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นประกายดุจสายฟ้า จนเป็นที่มาของฉายา “ประกายแสงสีทอง” แห่งโคโนฮะ ซึ่งความเร็วที่ว่านี้แม้แต่ “A” ไรคาเงะรุ่นที่ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วขั้นสุดไม่แพ้ใคร ยังต้องยอมสยบให้ เมื่อครั้งประมือกันแล้วแพ้พ่ายมินาโตะราบคาบ และให้การยอมรับนับถือตั้งแต่นั้นมา
อัดโอบิโตะจนบาดเจ็บหนัก
นอกจากนี้เขายังสามารถใช้มันวาร์ปคน สิ่งของ สสารอื่นๆ ให้ไปที่อื่นได้ด้วย แบบที่เคยวาร์ปบอลสัตว์หางอันทรงพลังของคุรามะ แถมยังพัฒนาถึงขั้นที่ 2 จนชายสวมหน้ากาก(โอบิโตะ)ยังเสียท่า เรียกได้ว่าใช้วิชานี้ได้เร็วและพลิกแพลงได้ดียิ่งกว่าต้นตำรับเสียอีก⚡⚡
- อีกหนึ่ง Signature ประจำตัวของมินาโตะคือ “มีดคุไนแบบพิเศษ” ที่เขาได้ลงอักขระไว้หมด เป็นทั้งอาวุธและอุปกรณ์เสริมในการปักหมุดให้ตัวเองวาร์ปจู่โจมตามจุดต่างๆ ได้อย่างอิสระ คาดเดาได้ยากมากๆ
- จากผลงานมากมายและฝีมือที่เอกอุเหนือใคร ทำให้มินาโตะได้รับการแต่งตั้งเป็นรุ่นที่ 4 นับเป็นโฮคาเงะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ (และหล่อที่สุดเช่นกัน มีเพียงคาคาชิยามถอดหน้ากากที่พอสู้ได้)
- เป็นเลิศด้านการตรวจจับศัตรู เพียงปลายนิ้วสัมผัสลงพื้นดินก็รับรู้ได้ถึงจำนวนอีกฝ่าย เวลาต่อสู้ก็มี Sense ที่ดีเยี่ยม ด้วยการที่เขามักจะวิเคราะห์มองเกมขาดอยู่ตลอด รู้จุดแข็ง-จุดอ่อนศัตรู รู้บริบทของภารกิจ พร้อมสั่งการลูกทีมได้อย่างเด็ดขาด แม่นยำ มีความเป็นผู้นำสูง
แม้จะมีประสบการณ์น้อยในการเป็นโฮคาเงะ แต่ในยามที่หมู่บ้านกำลังเจอวิกฤตครั้งใหญ่ ก็คุมสตินิ่ง เยือกเย็น ใจดีสู้เสือไม่มีหวั่น แม้ต้องเจอกับศัตรูใหม่อย่างโอบิโตะที่รับมือยาก การโจมตีทางกายภาพทำไรมันไม่ได้ ก็สู้ไปวิเคราะห์ไปเรื่อยๆ จนพลิกเกมเป็นของตัวเองได้ในที่สุด
กลับมาได้ด้วยคาถา "สัมภเวสีคืนชีพ"
- แม้ตายจากไปนานแล้ว แต่พอได้กลับมาด้วยคาถาสัมภเวสีคืนชีพของโอโรจิมารุ นอกจากความเทพจะไม่ลดลงแล้ว ยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งความเร็วที่ยังดีเหมือนเดิม มาถึงสมรภูมิรบก่อนโฮคาเงะรุ่นก่อนๆ
ทั้งการที่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกับคุรามะอีกครึ่ง เข้าโหมดอาภรณ์สัตว์หางได้ พร้อมประสานพลังกับลูกได้อย่างไร้รอยต่อ แถมพอแขนขาดไปก็ยังประสานอินมือเดียวได้อีก
มินาโตะจึงเป็นนินจา
ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์
และมากล้นด้วยพรแสวง
รวมถึงคุณสมบัติอันล้ำเลิศ
ที่ส่งให้เขาอยู่ระดับชั้นแนวหน้า
ซึ่งหากมองลึกลงข้างในจะพบว่า
“แก่นแท้” ของมังงะฉบับพิเศษนี้
ไม่ได้ฉายแค่ความเป็น
อัจฉริยะของเขาเท่านั้น
หากแต่ยังบอกเล่าเรื่องราวสำคัญ
สะท้อนตัวตน มุมมอง ความฝัน
ของชายผู้มีหัวใจรักอันมุ่งมั่น
ลึกซึ้งมากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะมีได้
และเมื่อนำเส้นเรื่องรองตรงนี้
มาปะติดปะต่อเข้ากับเส้นเรื่องหลัก
ก็เหมือนได้นำจิ๊กซอว์ทั้งหมดมาเติมเต็มกัน
จนเห็นเป็นภาพที่สมบูรณ์กว่าเดิม
ชนิดที่พอได้รับรู้ทุกมุมมอง
คุณจะรักมินาโตะขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว
.
.
.
1. ประกายแสงที่พร้อมส่งต่อ
ความเฉิดฉายของมินาโตะนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาโดดเด่นเป็นนินจาที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง แต่เขายังส่งต่อประกายแสงของตัวเองไปสู่คนรอบข้างให้รับรู้ถึงคุณค่าในตัวเองได้ ไม่ว่าใครจะมองยังไง
เป็นแสงสว่างให้คุชินะ จากวันที่ก้าวเดินเข้าสู่โคโนฮะในฐานะคนนอกผู้สูญเสียบ้านเกิดเมืองนอน มีเพียงชะตาผูกมัดให้ต้องเป็นภาชนะของเก้าหาง เพราะคนตระกูลอุซึมากิมักจะมีจักระมหาศาล เลยได้มาเพื่อเป็นผู้สืบทอดต่อจากคุณยายมิโตะ ภรรยาท่านโฮคาเงะรุ่น 1 ด้วยเป้าประสงค์ หวังใช้เธอเป็นเครื่องคานอำนาจแคว้นอื่นๆ ในสงครามนินจาอันร้อนระอุ
มาถึงโรงเรียนก็ไม่เป็นที่ต้อนรับของเพื่อนๆ จากผมยาวสีแดงฉานดูเด่นแปลกตากว่าชาวบ้าน สำเนียงการพูดจาแปลกๆ พูดรัวจนมีคำติดปาก “ดัดเตบาเนะ” ที่เป็นคำว่าเน้อลงท้ายประโยค (รู้เลยว่านารูโตะได้การพูดแบบนี้มาจากใคร) แถมมาถึงก็ประกาศกร้าวอยากจะเป็นโฮคาเงะหญิงคนแรกของหมู่บ้านนี้ แต่ระหว่างที่ทุกคนในห้องมองความฝันนั้นเป็นเรื่องตลก พูดพล่อยๆ ก็มีเด็กหนุ่มผมเหลืองอร่ามคนหนึ่ง ยืนขึ้นยิ้มให้แล้วบอกว่าฉันเองก็อยากเป็นโฮคาเงะเหมือนกัน ประมาณว่าเรามาพยายามไปด้วยกันนะ
ซึ่งช่วงนั้นคุชินะที่กำลังถูกเพื่อนๆ หมั่นไส้ โดนทั้งบูลลี่ ทั้งกลั่นแกล้ง เรียกเป็นยัยมะเขือเทศ จนทนไม่ไหว องค์แม่ลงสอนมวยให้พวกมันรู้ จนได้ฉายา “ยัยพริกขี้หนูแดงคลั่งเลือด" แทน ก็ยังมีสายตาที่อ่อนโยนคอยมองอยู่ห่างๆ พร้อมหัวเราะเบาๆ ในความเป็นผู้หญิงลุคน่ารัก คาวาอี้ แต่ก๋ากั่นไม่ยอมใคร
และในวันที่เสียท่า ถูกพวกคุโมะลักพาตัว ได้แต่ดึงผมตัวเองโปรยไว้กลางทาง ท่ามกลางความหวังอันริบหรี่ว่าคงยากที่จะมีใครมาช่วยคนนอกอย่างเธอ กระทั่งมีพระเอกที่แม้ไม่ได้ขี่ม้าขาว แต่ก็บุกเข้ามาช่วยเธอไว้ได้ทันแบบไม่เหนือบ่ากว่าแรง ด้วยกำลังตัวคนเดียวและใจดวงเดียวที่มองเห็นผมสีแดงของเธออยู่เสมอ อุ้มพาเด็กสาวร่างสถิตหนีไปท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวงอันพร่างพราว ทว่ากลับไม่งดงามเท่ารอยยิ้มของชายหนุ่มที่ส่งออกมา
เส้นผมเธอสวยมากเลยนะ เห็นปุ๊บฉันก็รู้เลย
มินาโตะ
แต่นายไม่เคยมาช่วยฉันเลยนี่!
คุชินะ
เพราะฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งมากยังไงล่ะ ทั้งกายและใจ
แต่นี่เป็นปัญหาระหว่างหมู่บ้าน
ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่เธอสู้มา
ก็เลย...ไม่อยากเสียเธอไปน่ะ
มินาโตะ
(ทั้งที่ฉันเป็นคนนอกน่ะเหรอ?)
คุชินะ
ทำไมพูดแบบนั้น?
เธออยู่ในโคโนฮะ
ก็แปลว่าเป็นพวกเรานะ
มินาโตะ
จากตอนแรกที่คุชินะมองมินาโตะเป็นเพียงเด็กหนุ่มทั่วไปคนหนึ่งไม่ได้ดึงดูด สร้างอิมแพ็คตั้งแต่แรกเจอ ทว่าตอนนี้กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นกว่าใคร ผู้หญิงแม้จะแกร่งและดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน ลึกลงไปแล้วเธอก็ยังต้องการ ใครสักคนมาปกป้องดูแลเหมือนกัน ณ ห้วงเวลานั้นมินาโตะ ดูเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ผู้เข้ามาเปลี่ยนโลกทั้งใบของคุชินะ จากเด็กสาวผู้ถูกตีกรอบด้วยโชคชะตา
จากที่เคยเกลียดสีผมตัวเองนักหนาก็เริ่มที่จะรักมันและหันมารักในคุณค่าของความเป็นตัวเอง พร้อมกับที่รักมินาโตะทั้งใจ อย่างที่คุณยายมิโตะเคยบอกไว้ ว่าเราต้องหาความรัก มาเติมในภาชนะนั้นเสียก่อน ต่อให้ต้องใช้ชีวิตในฐานะร่างสถิตก็ยังมีความสุขได้ พวกเราอาจตกอยู่ในวังวนแห่งชะตาก็จริง แต่หากพยายามปีนขึ้นไป ก็ย่อมจะตามหา “ความรัก” จนเจอ เมื่อถึงตอนนั้นวังวนเองก็กลายเป็น “เกลียววงจักร” ที่มีมิติมากกว่าได้เช่นกัน
ความรักคือพลังอันแข็งแกร่ง ที่ส่งให้ผนึกเก้าหางแน่นหนาขึ้น แม้แต่คุรามะเองยังหวาดหวั่น จนต้องแสดงตัวออกมา “นินจาระดับเจ้า ไฉนมายึดติด กับนังหนูพรรคนี้ล่ะ?” ก่อนที่หนุ่มมากพรสวรรค์จะตอบ
“ฉันชอบคนเก่ง คนที่เข้มแข็งกว่าฉัน
เพราะงั้นเลยชอบคุชินะ
ใครจะยอมเสียเธอไปล่ะ”
มินาโตะ
พลังรักอันบริสุทธิ์ของมินาโตะ ไม่เพียงปลุกคุชินะให้ฟื้นคืนสติจากโหมดอาภรณ์สัตว์หาง แต่ยังระเบิดพลังโซ่ผนึก พุ่งเข้าสะกดมันอย่างแข็งแกร่ง เปลี่ยนความหวาดกลัวที่มีต่อมันมาตลอด ให้กลายเป็นความกล้าที่จะหันหน้าเข้าสู้ ขัดขืนให้มันฤทธิ์ซะบ้าง
ถึงเขาจะโดนโต้มันกลับจนบาดเจ็บหนัก ยังกัดฟันสู้เพื่อเธอไม่ยอมห่าง เปลี่ยนความคิดเธอไปอีกครั้ง ว่าไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นร่างสถิตอย่างที่ชะตาและใครต่อใครบอกกล่าว แต่เป็นหญิงสาวที่เขารักที่สุดและพร้อมจะทุ่มเททุกหยาดหยด ระดมทุกจักระเข้าแลกเพื่อให้เธอปลอดภัย
“ในใจของคุชินะมีฉันอยู่เสมอ เพราะงั้นฉันไม่ยกเธอให้แกหรอก!”
มินาโตะ
ด้วยพลังของพวกเขาทั้งสองรวมกัน จึงสามารถสยบได้กระทั่งบอลสัตว์หางของคุรามะ พ่ายไปเป็นครั้งแรกนับแต่นั้นมา สื่อให้เห็นว่าความรักนี่แหละ คือพลังและคาถาที่มีพลานุภาพสูงสุดเท่าที่โลกนินจาเคยมี ผมสีแดงที่ใครต่างพากันรังเกียจในวันนั้น ได้กลายเป็นด้ายสีแดงนำพารักแท้มาให้เจอแล้วในวันนี้ ด้ายที่มีประกายแสงสีทอง ส่องสว่างเรืองรอง เคียงคู่ไปด้วยกัน
2. เชื่อมั่นในตัวผู้อื่นเสมอ
ความเชื่อมั่นที่มินาโตะมีต่อคุชินะนั้น ยังส่งมาถึงทุกคนที่เขาให้ความสำคัญอยู่เสมอ ส่งพลังให้ครูจิไรยะเชื่อมั่นตามคำพูดของปู่เซียนกบว่าวันหนึ่งจะมีเด็กในคำทำนายที่มาเปลี่ยนโลกนินจาให้ดีกว่าเดิม ในสายตาคนอื่นที่มองว่านิยายของครูดูเพ้อฝันเกินจริง ก็เป็นเขาและเธอที่อิน เข้าถึงเนื้อหาใจความของมัน ถึงขั้นตั้งชื่อลูกตามตัวเอกของเรื่อง และให้ครูเป็นพ่อทูนหัวของลูกต่อไป
นำแสงสว่างมาให้ “คาคาชิ” ที่ใช้ชีวิตในความมืดมน หลังจากต้องสูญเสียพ่อผู้เป็นฮีโร่ในดวงใจ เมื่อเขี้ยวสีขาวในตำนานที่สร้างคุณงามความดีไว้มากมาย กลับต้องมาตายและโดนหยามเกียรติ ข้อหาเลือกพวกพ้องมาก่อนภารกิจ จนหัวใจของเด็กหนุ่มอัจฉริยะนินจาในตอนนั้นมืดดำ ไร้มนุษยสัมพันธ์กับคนรอบตัว พร้อมจะทิ้งเพื่อนเพื่อภารกิจ ไม่ยอมถูกตราหน้าซ้ำรอยพ่ออีก จนค่อยๆ รู้ซึ้งถึงความสำคัญของทีมเวิร์คจากครูและเพื่อนๆ “ริน-โอบิโตะ”
ถึงจะยังเป็นโจนินใหม่แกะกล่อง แต่มินาโตะก็แสดงความเป็นครูผู้เชื่อมั่นในลูกศิษย์ วางใจให้คาคาชินำทีมลุยภารกิจสำคัญ ระหว่างที่เขาต้องบุกไปช่วยแนวหน้าสงคราม ถึงจะมีเหตุให้ต้องเสียพวกพ้องคนสำคัญไป ก็เชื่อเหลือเกินว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ประกายแสงสีทองก็จะยังเชื่อในทีมของเขาอยู่ดี แสดงให้เห็นว่านินจาจะเก่งแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้ทุกอย่าง ทีมเวิร์คต่างหากที่สำคัญที่สุด จนคาคาชิค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาเป็นคนปกติ เดินออกมาจากเงามืดสมัยอยู่หน่วยลับ มาเป็นครูผู้ถ่ายทอดคุณค่าของมิตรภาพสู่ทีม 7 ของพวกนารูโตะได้ต่อ
แม้ขณะที่กำลังเผชิญวิกฤตเก้าหางถล่มหมู่บ้าน ทุกอย่างดูไร้ซึ่งหนทาง ทว่ามินาโตะยังคงมีความหวัง เชื่อมั่นว่าอนาคตข้างหน้า หากชายสวมหน้ากากกลับมา นารูโตะจะมีพลังต่อกรกับมันได้ ด้วยการผนึกจักระครึ่งหนึ่งของมันไว้กับลูก พร้อมจักระของเขาและเธอ
ในยามที่เจ้าเด็กเลือดร้อนถูกพลังด้านมืดของมันครอบงำ ยั่วยวนให้ปลดผนึกขึ้นมา แสงสว่างของทั้งคู่จะคอยชี้นำให้ฟื้นคืน เชื่อในตัวลูกเสมอว่าควบคุมมันได้ในที่สุด ซึ่งนารูโตะก็ทำได้จริงๆ เพราะเขารู้ว่านอกจากเพื่อนๆ แล้ว ยังมีพ่อและแม่ที่ยังคอยเฝ้ามองและเชื่อในตัวเขาอย่างแท้จริง
รวมถึงท้ายเรื่องของภาคพายุสลาตัน ระหว่างที่คาคาชิกำลังปลิดชีวิตโอบิตะเพื่อนเก่าที่ดูไร้ทางเยียวยา ก็เป็นครูมินาโตะนี่แหละที่เข้ามาห้ามไว้ได้ทัน เห็นได้ชัดว่าถึงจะเป็นร่างสัมภเวสี แต่ตัวตน ความเมตตา และความเชื่อมั่นในตัวศิษย์ของเขายังคงเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม
3. ยอดคนผู้เสียสละ
การก้าวมาเป็นโฮคาเงะรุ่นที่ 4 นั้น ไม่ได้ทำให้มินาโตะเหลิง หลงระเริงในอำนาจและเสียงเชิดชูแต่อย่างใด เมื่อทุกอย่างที่เขาคิดอ่านและทำลงไป ล้วนมาจากการคิดเพื่อส่วนรวมมาก่อนตัวเอง เริ่มจากลงทุนวางอักขระไว้ทั่วหมู่บ้าน เมื่อเกิดเหตุขึ้นมาจะได้วาร์ปไปช่วยทัน บริหารจัดการโคโนฮะด้วยความเป็นผู้นำเกินวัย แบ่งงาน มอบหน้าที่ให้แต่ละทีมอย่างเด็ดขาด โดยมีเขาพร้อมคอยซัพพอร์ต
เห็นได้ชัดเจนสุดจากวีรกรรมที่โอบิโตะลักพาตัวคุชินะไป แล้วปลุกคุรามะหรือเก้าหางออกอาละวาดหวังทำลายหมู่บ้าน เมื่อช่วยครอบครัวเสร็จ ก็เป็นเวลาที่มินาโตะพร้อมสวมเครื่องแบบโฮคาเงะออกไปสู้ศึก รับมือทั้งสัตว์หางผู้บ้าคลั่งทรงพลังและศัตรูปริศนาพร้อมกันได้อย่างไม่หวาดหวั่น ทำยังไงก็ได้ให้คนในหมู่บ้านปลอดภัยที่สุด เริ่มจากการวาร์ปบอลสัตว์หางไปที่ไกลห่าง พลิกชนะโอบิตะและคลายคาถาปลดเก้าหางออกจากพันธนาการ
ด้วยเกียรติของโฮคาเงะ ฉันต้องปกป้องหมู่บ้านและครอบครัวให้ได้ นั่นคือหน้าที่ฉัน!
มินาโตะ
เมื่อถึงห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย ระหว่างที่คุชินะเสนอให้เขา ผนึกเก้าหางกลับไปในตัวเธอเพื่อจะได้ตายตกตามกัน สามีและลูกจะได้ปลอดภัย แต่มินาโตะก็ยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่ยินยอมจะเสียหญิงผู้เป็นที่รักไป ต่อให้มีโอกาสแม้เพียงบางเบาเขาก็จะช่วยเธออย่างสุดกำลังและหัวใจ เท่าที่ชายคนหนึ่งจะทำได้จริงๆ ถึงขั้นยอมใช้คาถา “ผนึกซากอสูร” ที่ต้องแลกด้วยชีวิตของผู้ใช้มัน ยอมดึงจักระครึ่งหนึ่งของเก้าหางมาไว้ในตัวเอง เพราะลูกยังเล็ก ไม่สามารถรับมันได้หมด เพื่อให้คุชินะอยู่รอด เลี้ยงดูลูกไปจนเติบใหญ่
คุชินะ เป็นเพราะเธอ ฉันถึงเป็นโฮคาเงะรุ่นที่ 4 ได้ เธอเลือกฉันเป็นผู้ชายของเธอ ให้โอกาสฉันเป็นพ่อเด็กคนนี้ ฉันไม่ได้ทำเพื่อเธอเท่านั้น แต่เพื่อนารูโตะด้วย เพื่อลูกแล้ว ต่อให้ต้องตายก็ยอม นั่นคือหน้าที่ของคนเป็นพ่อ เก็บจักระที่เหลือนั้นไว้พบกับนารูโตะเถอะนะ
มินาโตะ
เหมือนก่อนหน้านี้ วิชาระดับชั้นนำอย่าง “กระสุนวงจักร” มินาโตะก็คิดค้นมันขึ้นมาเพื่อคุชินะ ยอมผิดสัญญา โดดฝึกวิชาผนึกกับเธอเพื่อไปซุ่มฝึกมัน เพียงเพราะอยากมอบเป็นของขวัญ ให้เธอได้นำไปใช้เป็นวิชาต่อกรกับพวกพลังสถิตร่างคนอื่นๆ ท่ามกลางยุคสงครามที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย และพวกสถิตร่างก็มักจะโดนเพ่งเล็งอยากเอาไปใช้เป็นเครื่องมือ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อความสุขและความปลอดภัยในชีวิตเธอ
ตอนนี้กำลังมีสงครามใช่มั้ยล่ะ? เธอจะถูกส่งตัวไปสนามรบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันเลยคิดค้นวิชาใหม่ที่สอดคล้องกับปริมาณจักระในตัวเธอซึ่งเป็นพลังสถิตร่าง โดยเน้นพัฒนาให้ใช้ต่อสู้กับสัตว์หางของพลังสถิตร่างที่เป็นศัตรูได้ มอบให้เธออีกต่อ,,,
.
.
.
ฉัน...ไม่อยากเสียเธอไปน่ะ : )
มินาโตะ
ประโยคที่มินาโตะเคยพูดเมื่อครั้ง
บุกช่วยคุชินะจากพวกคุโมะในวันนั้น
ยังคงเต็มเปี่ยมด้วยความรักต่อเธอ
อยู่เต็มหัวใจเสมอมาจนทุกวันนี้
เปลี่ยนวังวนชีวิตที่น่าเบื่อ จืดชืด
ต้องอยู่แต่ในวังวนชะตาร่างสถิต
อยู่ในความดูแลของหน่วยลับ
ที่ตามติดเสมือนเงาดูอยู่ไม่ห่าง
ให้ได้พบกับรักดีแท้ระหว่างทาง
เป็นวงจักรที่พร้อมจะจับมือเคียงกัน
ถึงปลายทางอย่างสุดหัวใจ
ไม่ว่าต้องทางข้างหน้าจะลำบากแค่ไหน
ก็พร้อมจะสู้ฝ่าฟัน
รู้มั้ยคนดี? ผมสีแดงของเธอ
ที่ใครต่างพากันล้อเลียนมัน
ฉันกลับตกหลุมรักในความเป็นเธอขึ้นมา
รู้มั้ยเวลาที่เธอไล่อัดพวกเด็กเกเรขี้แกล้ง
ฉันสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง
ของเด็กสาวผู้เต็มเปี่ยมด้วยพลัง
กล้าหาญ ยืนหยัด ไม่ยอมใคร
แล้วรู้มั้ยว่าฉันไม่เคย
มองเธอเป็น “คนนอก” เลย
แต่เป็น “คนใน” ทั้งคนของหมู่บ้าน
และ “คนในหัวใจ” เสมอมา
รู้ไว้เถิดหนาว่า “กระสุนวงจักร”
ที่เธอเคยตั้งชื่อให้
ไม่ได้เป็นแค่ท่าไม้ตายทรงพลัง
พร้อมทะลวงศัตรูให้วายวอดเท่านั้น
หากแต่ยังเป็น “สื่อแห่งรัก” และความเชื่อมั่น
ของเราสองคนที่รักในกันและกันเสมอมา
ซึ่งความรักนี้ยังได้ส่งต่อไปยัง
ลูกชายของเราให้เติบโตมา
ด้วยหัวใจรักในแบบเดียวกัน
ถึงจะต้องเปลี่ยวเหงา
โดนเหยียดหยามเป็นเด็กต้องสาป
จนต้องแสดงความแสบซน
เพื่อเรียกร้องความสนใจ ณ ตอนนั้น
เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มที่พร้อมจะมอบ
พลังรักและมิตรภาพตรงนี้ให้
กับคุณครู เพื่อนๆ รึแม้แต่ศัตรู
ให้รับรู้ได้ว่ายังมีมิตรแท้ในโลกนินจา
โดยเฉพาะคุรามะที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จากปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเลือดเย็น
ที่กลายเป็นมิตรแท้เคียงข้างกันไป
เติบโตเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
เต็มเปี่ยมด้วยความรักในภาชนะ
พร้อมส่งต่อให้ทุกคนรอบตัว
สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่
เชื่อมหัวใจนินจาทุกแคว้นทุกคนไว้ด้วยกัน
จนนำมาซึ่งสันติสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาได้เป็นผู้ชายที่เท่ยิ่งกว่าพ่อ
และเป็นนินจาที่แข็งแกร่งกว่าแม่
ตามที่เคยพูดไว้แล้วล่ะ!
ถึงจะได้กลับมาดูโลกในร่างสัมภเวสี
ก็นับว่าฉันโชคดีจริงๆ ที่ได้เห็น
ว่านารูโตะเติบโตมาดีแค่ไหน
อยากจะนำเรื่องราวตรงนี้ไป
บอกเล่ากับเธอที่รออยู่บนสวรรค์
เคยรักเธอยังไง
ก็จะยังคงรักอยู่แบบนั้น
ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป
หัวใจก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง,,,
ประกายแสงสีทองที่ส่องหาด้ายสีแดง
ได้รวมกันเป็นโฮคาเงะสีส้มผู้แข็งแกร่ง
เป็นรุ่นที่ 7 ผู้ยิ่งใหญ่ มีผองเพื่อน
และพันธมิตรมากมายคอยเคียงไม่ห่าง
ความฝันของเราสองคน
นารูโตะสานต่อมันได้แล้วจริงๆ
ดีใจเหลือเกินที่ได้อ่านมังงะพิเศษฉบับนี้
ในโอกาสครบรอบ 20 ปีนารูโตะ
พร้อมลายเส้นที่ชวนให้คิดถึง
คืนวันเก่าๆ เมื่อครั้งวัยใสไร้เดียงสา
ก็ได้กลับมาเป็นความทรงจำดีๆ อีกครั้งหนึ่ง
ช่วยลบฝันร้ายที่แปดเปื้อนจากโบรุโตะ
ให้คลายออกไปได้บ้างในที่สุด
(ภาคแรกยังปวดใจ ภาคสองก็กำลังจะมา)
แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่า
โลกนินจาเคยมีคนสองคนผู้เสียสละ
นำมาซึ่งสันติสุขและสร้างแรงบันดาลใจ
ส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้อย่างงดงาม
ยังไงฉันก็เป็นโฮคาเงะ
และจะไม่ตายง่ายๆ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
โฮคาเงะคนนี้จะปกป้องลูกเอง
ไม่ต้องกังวลนะ ก็ฉันเป็นพ่อเขานี่
.
.
.
พ่ออยากบอกลูกมาตลอดเลย
สุขสันต์วันเกิดนะ!
ลูกโตมาเป็นหนุ่มน้อยที่วิเศษมาก
พ่อสัญญาว่าจะบอกแม่ทุกอย่าง
มินาโตะ
ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่
ก็ขอให้รู้ว่าด้ายสีแดงของแม่
และประกายแสงสีทองของพ่อ
จะถักทอส่องสว่างอยู่เคียงข้างลูก
เสมอตลอดมาและจะเป็น
เช่นนั้นเสมอตลอดไป,,,🌀🌀❤️💛
โฆษณา