27 ก.ค. 2023 เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

Stay Invested : 7 หุ้นที่ชี้นำ Nasdaq 100 จนทำให้ต้องปรับดัชนีเป็นรอบพิเศษ!

การปรับสมดุลพิเศษของ Nasdaq 100 จะเกิดขึ้นก่อนตลาดเปิดในวันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม เพื่อ "จัดการกับน้ำหนักหุ้นที่มากเกินไปในดัชนีโดยการกระจายน้ำหนักอีกครั้งเป็นกรณีพิเศษ" โดยทาง Nasdaq เคยทำการปรับสมดุลน้ำหนักหุ้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เพียงสองครั้งในประวัติศาสตร์ในเดือนธันวาคม 2541 และพฤษภาคม 2554
ดัชนี Nasdaq 100 คือ ดัชนีที่จะสะท้อนผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) สูงที่สุด 100 อันดับแรกของ Nasdaq Stock Market ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มี Market Cap สูงที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจาก New York Stock Exchange
ดัชนี Nasdaq 100 ถูกตั้งค่าให้ปรับน้ำหนักของส่วนประกอบ 100 รายการ โดยมีหุ้น "Magnificent Seven" ได้แก่
  • 1.
    Microsoft (MSFT)
  • 2.
    Apple (AAPL)
  • 3.
    Nvidia (NVDA
  • 4.
    Tesla (TSLA)
  • 5.
    Google parent Alphabet (GOOGL)
  • 6.
    Meta ปัจจุบันแพลตฟอร์ม (META)
  • 7.
    Amazon.com (AMZN)
มีน้ำหนักมากกว่าครึ่งหนึ่งของดัชนี โดยหุ้น 7 ตัวนี้ คิดเป็น 55.28% ของดัชนี Nasdaq 100 นอกจากนี้ Nasdaq จะเพิ่ม Trade Desk (TTD) ใน Nasdaq 100 ก่อนเปิดทำการในวันที่ 17 กรกฎาคมแทนที่ Activision Blizzard (ATVI) Microsoft ดูเหมือนว่าใกล้จะปิดการครอบครอง Activision แล้ว
Nasdaq 100 จะปรับน้ำหนักของหุ้น 7 ตัวหลักนั้นอย่างไร?
ตามระเบียบวิธีการกำหนดดัชนีของ Nasdaq 100 น้ำหนักรวมของ 5 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปที่ใหญ่ที่สุดจะถูกกำหนดเป็น 38.5% บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่ง ได้แก่ Apple, Microsoft, Google, Amazon และ Nvidia มีน้ำหนักรวมกัน 46.7% ซึ่งนั่นแสดงว่าจะมีการลดน้ำหนักสัดส่วนในดัชนีของหุ้นทั้ง 5 หลักทรัพย์ข้างต้น
สำหรับ Nasdaq 100 น้ำหนักของ Magnificent Seven ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2566 โดยมีบริษัทที่ใหญ่ที่สุดทั้งเจ็ดแห่งใน Nasdaq 100 คิดเป็น 55.28% ของดัชนี ซึ่งน้ำหนักรวมกันนี้จะลดลง ประกอบด้วย
หุ้น Microsoft มีน้ำหนักมากที่สุดที่ 12.75% โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 44.31% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
หุ้นของ Apple มีน้ำหนัก 12.03% แม้ว่าจะมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 2.999 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับ Microsoft ที่ 2.51 ล้านล้านดอลลาร์ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 55.11% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
หุ้นของ Nvidia กระโดดขึ้นสู่ระดับ 3 ที่สัดส่วนน้ำหนักในดัชนี 7.27% โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 224.56% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
1
หุ้นของ Amazon มีสัดส่วนในดัชนีที่ 6.89% แม้ว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าอย่างมากที่ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์ก็ตาม โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 55.63% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
หุ้นของ Tesla มีสัดส่วนในดัชนีที่ 4.45% โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 168.62% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
หุ้น Meta Platforms สัดส่วนในดัชนีที่ 4.42% โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 149.01% นับตั้งแต่ต้นปี 2566
หุ้น Google Class A แม้ว่าจะอยู่อันดับ 7 แต่หากรวมกับทั้ง 2 Share Class ที่อยู่ในดัชนี คือเมื่อรวมคลาสหุ้น GOOGL และ GOOG จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 3.79% และ 3.68% ตามลำดับ รวมกันจะมีสัดส่วนน้ำหนักในดัชนี เท่ากับ 7.47% หรือจะกลายเป็นบริษัทอันดับที่ 3 ของดัชนีใน Nasdaq 100
เหตุการณ์นี้หากมองย้อนกลับมาที่ดัชนีหลักของประเทศไทย คือ SET50 Index ก็ดูเหมือนหลายๆ ครั้งที่เจอปัญหา มีลักษณะคล้ายๆ กันที่ถูกหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มที่ส่งผลมีอิทธิพลต่อดัชนีมากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็น DELTA หรือ BAY หรือกลุ่มพลังงาน ที่ก็เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันจนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องออกมาตราการ หรือ ปรับปรุงดัชนีให้มีความสมดุลเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งก็อาจจะบ่งบอกได้ว่า เหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวไม่ใช่เรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ขนาดในตลาดที่พัฒนามากๆ แล้ว ก็ยังคงต้องคอยปรับปรุงแก้ไขกันไปตามสภาวะตลาดที่เกิดขึ้นต่อไป
อ้างอิง :
คอลัมน์: Investment-Focus by KTAM
โดย: คุณชัชพล สีวลีพันธ์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บลจ. กรุงไทย
ขอขอบคุณ ทันหุ้น
โฆษณา