27 ก.ค. 2023 เวลา 10:23 • การศึกษา

ทฤษฎี มิติ กาลเวลา คลื่นความถี่

โลกเรามีหลายมิติซ้อนทับกันอยู่ เหมือนคลื่นวิทยุที่มีหลากหลายความถี่ซ้อนทับอยู่ ณ ที่เดียวกัน เราจึงฟัง FM95 กับ จส.100 ได้แค่เปลี่ยนการรับคลื่นความถี่ แต่ไม่ต้องย้ายวิทยุไปไหน
ไม่ใช่ทุกมิติจะรับรู้กันและกันหรือมองเห็นกันได้ อย่างปีกแมลง ตอนมันขยับที่ความถี่สูงมาก ๆ จนเกินขอบเขตที่ตาเราจะมองได้ทัน เราก็จะเห็นว่าปีกแมลงมันหายไป อุปมาเช่นนี้เพื่อจะทำให้เข้าใจว่า เรามองไม่เห็นมิติที่คลื่นความถี่สูงกว่ามนุษย์เรามีความเป็นอยู่ในมิติที่ 3 และมีร่างเนื้อ
เราจึงมองไม่เห็นความเป็นอยู่ ในมิติที่ 4, 5 และสูงขึ้นไป ซึ่งเขามีความเป็นอยู่ ที่ไม่มีร่างเนื้อแบบเรา และตั้งแต่มิติที่ 5 ขึ้นไปนั้นจะเป็น Light Being อยู่ในรูปของแสง
ความเป็นอยู่ ในมิติที่ต่ำกว่าเรา คือพวกสัตว์อื่น ๆ อย่างสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้ชีวิตตามสัญชาติญาณเป็นหลัก ไม่มีสมองทรงภูมิปัญญาแบบมนุษย์ สมสู่กันได้แม้เป็นพ่อแม่ลูกกัน
การแยกมิตินี้ อีกนัยนึงมันก็แยกขีดจำกัดความสามารถของ ความเป็นอยู่ นั้น ๆ เช่น หมามันคงไม่เข้าใจว่ามนุษย์สร้างเครื่องยนต์ขึ้นมาได้ไง มันคงมองเราเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามีเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่นกันกับที่เราอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติที่ 4 และสูงขึ้นไป
โดยเฉพาะเรื่อง “เวลา” ที่ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ตั้งแต่มิติที่ 5 เป็นต้นไป จะ “ไม่มีเวลา” นั่นคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกอย่างอยู่ที่เดียวกันหมดเราอาจจะนึกภาพไม่ออกหรอก เหมือนที่เราดูฉากสุดท้ายใน #Interstella แล้วมึน ๆ น่ะ นั่นน่าจะเป็นการพยายามอธิบายมิติที่ 5 เลยแหละ ซึ่งก็ไม่แปลกที่เราจะไม่เข้าใจ เพราะเราอยู่ในมิติที่ 3 เรื่องพวกนี้แหละที่ #พระพุทธเจ้า เรียกว่า “อจิณไตย” เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในมิติที่ 3
.
ความเป็นอยู่ มิติที่ 4 คือ ภูติ ผี วิญญาณ เทพ เทวดา พวกนี้ไม่มีร่างเนื้อแบบเรา แต่หากมนุษย์บางคนมีคลื่นความถี่จิตที่สูงจนรับรู้มิติที่ 4 ได้ เขาจึงเห็น และสื่อสาร ในมิติที่ 4 ได้ เกิดเป็นเรื่องเล่า ผีสางนางไม้ เทพ เทวดาต่าง ๆ พญานาค พญาครุฑมากมาย พอเอามาเล่าต่อให้ชาวบ้านที่เขามองไม่เห็นฟังเข้าใจง่าย ๆ ก็เรียกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป
.
มิติที่ 5 เป็นต้นไป นี่คือ ความเป็นอยู่ ที่คลื่นความถี่สูงจนไร้ซึ่งอารมณ์โกรธ โลภ กลัว เหล่านี้ อันเป็นเป็นพลังงานคลื่นความถี่ต่ำ ความเป็นอยู่ ในมิติที่ 5 เป็นพลังงานบริสุทธิ์ความถี่สูงที่ตรงข้ามกับความกลัว นั่นคือ Unconditional Love ไม่ใช่รักแบบหนุ่มสาว รักแบบพ่อแม่ แต่เป็นรักแบบที่ทุกคนเท่ากัน รักด้วยความเมตตาอย่างแท้จริง
.
มิติทั้งหมดมี 12 มิติ และมีการระบุว่า มิติที่ 12 คือนิพพาน เมื่อเราเข้าสู่มิตินี้แล้ว เราจะไม่กลับลงมามิติที่ต่ำกว่าอีก
.
หรือว่าที่พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ไว้ แต่ละชั้นมีรูปแบบและลักษณะอย่างไร สวรรค์บางชั้นเวลาเดินช้า บางชั้นไม่มีกาลเวลา มันอาจจะเป็นเรื่องเดียวกันกับมิติเหล่านี้ก็ได้
.
อธิบายได้ว่าทำไมคนที่ฝึกจิตมาก ๆ จนความถี่สูงเข้ามิติที่ 4 ก็จะมองเห็นกายเนื้อและจิตแยกกัน สภาวะนี้แหละคือการถอดจิตได้ แวปไปอีกฝั่งของโลกได้ในพริบตา ท่องไปนอกโลกก็ทำได้ มองเห็นภูติผีเทวดาในมิติที่ 4 ได้ และถ้าพัฒนาจน Access ข้อมูลใน ATMA ได้ ก็จะระลึกชาติได้ ทฤษฎีนี้มันอธิบายปรากฎการณ์เหล่านี้ได้ทั้งหมด
มนุษย์ต่างดาวส่วนมาก มีความเป็นอยู่ ในมิติที่ 4 เขาอยู่ในคลื่นความถี่ที่สูงกว่าเรา เราจึงมองไม่เห็นเขา พวกเขามีหลายเผ่าพันธุ์เหมือนที่เรามีหลายเชื้อชาติ หน้าตาแปลกประหลาดเหมือนในนิยาย Sci-fi บางเรื่องเอาภาพจริง ๆ ของมนุษย์ต่างดาวมาทำเป็นหนังด้วยซ้ำ คนที่ตื่นรู้แล้ว ต่างกำลังพยายามเผยความจริง แต่ต้องเล่าผ่านหนัง เพื่อให้คนเห็นภาพและเข้าถึงได้ และตัวละครในวรรณคดีไทยอย่างครุฑ พญานาค ล้วนมีจริงหมด เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งของ มิติที่ 4 นั่นเอง
.
เรื่องทั้งหมดนี่อาจฟังดูเป็นแค่นิยายไร้สาระ แต่ประเด็นที่คิดว่ามันมีประโยชน์ คือกลไกของการหลุดพ้นจาก Matrix โฮโลแกรมเหล่านี้ มีทางเดียวคือยกระดับความถี่ของจิตเราเข้าสู่มิติที่ 5
.
วิธีการ ฝึกจิต ให้ละวางอารมณ์ ทำจิตให้ Netrual วางเฉยต่อทุกสิ่ง ไม่ยึดโยงกับสิ่งใด พัฒนาจนสามารถเกิดสภาวะ Unconditional love ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ระดับมิติที่ 5 ได้ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการไป นิพพาน เขาบอกต้องทำแบบนี้เท่านั้น จึงจะเอาชนะ implant ที่กดความทรงจำ กดความสามารถที่แท้จริงของเราไว้ได้ แล้วเมื่อจิตเรายกระดับขึ้น จนเชื่อมต่อกับ ATMA ตัวตนที่แท้จริงของเราในมิติที่ 5 ได้ เราก็จะเข้าใจทุกอย่าง ซึ่งทางพุทธก็เชื่อว่าคนเราทำได้แม้ตอนที่มีร่างเนื้อ
.
ขอขอบคุณที่มา : https://citly.me/EKB1R
โฆษณา