28 ก.ค. 2023 เวลา 05:55 • ท่องเที่ยว
เชียงใหม่

เชียงใหม่ในความทรงจำ

" ถ่ายจากรถไฟชั้นสาม
ขาไปหรือกลับจากเชียงใหม่
จำไม่ได้แล้ว
ถ้าเรื่องราวไม่เกิดขึ้นตอนนั้น
เราก็นึกภาพตัวเองบนรถไฟฟรี
กับกลิ่นเหม็นๆ แล้วก็เสียงดังโหวกเหวกตลอดเวลา
กับบรรยากาศแห้งๆข้างทางไม่ออกแล้ว
แต่ตอนนั้นมันตื่นเต้นนะ
เรานั่งกอดกระเป๋าเป้ ใส่หูฟัง พยายามมีสติ
ครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดทาง
สองข้างทางให้บรรยากาศเหมือน leap year
แต่เป็นแบบแห้งๆ ไม่ชื้นเหมือนชนบทอังกฤษ
แต่ก็สดชื่นดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เจอธรรมชาติน่ะนะ
เราชอบช่วงเวลาสั้นๆ ชอบความรู้สึกดีๆของโมเม้นนั้น
ชอบที่มันเกิดขึ้น
แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่ที่นั่นคนเดียว
เรื่องราวมันคงเป็นอีกแบบนึง
เราชอบความโรแมนติก
ของคนแปลกหน้าสองคน
ที่เจอกันในที่แปลกๆ เหมือน before sunrise
จริงๆก็เหมือนรอมคอมอีกหลายๆเรื่องๆน่ะนะ
แล้วก็ชอบตอนจบของมัน
ที่พอถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป
แต่ทำไมพออะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์
มันถึงให้ความรู้สึกที่ไม่ดี
เราว่ามันสวยงามออก
วันนี้เราอาจจะต้องจากกัน
พรุ่งนี้อาจจะต้องห่างกัน
อีกหลายปีข้างหน้าได้กลับมาเจอกัน
"เห้ยย ไม่เจอกันตั้งนาน เป็นไงมั่ง"
เราว่ามันคลาสสิกดีออก
แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น
มันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วก็ได้ถ้าเป็นเราในตอนนี้
แต่เราก็ตื่นเต้นที่จะได้มีช่วงเวลาสั้นๆแบบตอนนั้นอีก
เสมอเสมอแหละ
คนอื่นเป็นไงไม่รู้นะ
แต่สำหรับเรา ถ้าชอบอะไรมากๆ
เราปล่อยไปก่อนก็ได้
(: "
เป็นโพสต์ที่คัดลอกมาจาก Facebook ส่วนตัว
โพสต์นี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2015 ค่ะ
แต่เหตุการณ์จริงน่าจะเป็นช่วงเมษาปี 2014
เค้าว่ากันว่าคนที่ไปทะเลไม่หนีร้อนก็หนีรัก ทะเลเศร้ามาเยอะแล้ว เราเลยเลือกไปเชียงใหม่แทนค่ะ จริงๆก็ทำเป็นพูดดีไปงั้น พอดีช่วงนั้นเพื่อนฝึกงานที่เชียงใหม่ หมายความว่า เราจะมีที่พักฟรี นั่นแหละค่ะ เด็กจบใหม่ อกหัก อยากหนีรัก แต่ก็ต้องประหยัด ทริปนั้นจึงเกิดขึ้นแบบงงๆ
เราจำได้ว่าสมัยนั้น 2014 น่ะค่ะ มีรถไฟฟรีชั้น 3 ไปเชียงใหม่ รอบบ่ายโมงที่หัวลำโพง แม้เราจะนั่งรถทัวร์ห้าร้อยกว่าโลกลับบ้านที่ต่างจังหวัดทุกปิดเทอม แต่การไปจังหวัดอื่นๆคนเดียวเป็นครั้งแรก ก็แอบกังวลอยู่บ้าง ก่อนขึ้นรถไฟ พ่อหนุ่มเจ้าของเรื่องโทรมาด้วยความเป็นห่วง ถามว่าจะไปจริงๆหรอ แหมตอนเลิกกันไม่เห็นรั้งเราแบบนี้เลย
การนั่งรถไฟชั้นสามสบายกว่าที่คิด แต่ก็มีเรื่องแบบที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเหมือนกันค่ะ เช่น เจอคนเมาพยายามจะมานั่งด้วย ตอนแรกเราทำตัวไม่ถูก แต่ก็ตัดสินใจเดินหนี แกล้งๆเดินไปรับลม และเนียนๆเดินไปตู้อื่นเลยค่ะ สุดท้ายก็เจอคนใจดีสละที่นั่งให้ เหตุการณ์นั้นทำให้เราหลับๆตื่นๆ จนเช้ามืดเกือบจะถึงลำพูน ลมปะทะเข้าที่หน้า รู้สึกว่าลำพูนส๊วยยยยสวยเลยค่ะ ลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปทันที
พอถึงเชียงใหม่ เพื่อนมารอรับที่สถานีรถไฟ สิ่งแรกที่เราอยากทำคือล้างหน้า ตอนนั้นยังเด็กมั้งคะ รู้สึกไม่ได้ทรมานกับการนั่งรถไฟนานๆ ถ้าเป็นตอนนี้คือปวดหลังแน่ๆ แต่ตอนนั้นแค่รู้สึกเหนียวตัว อยากงีบสักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่ด้วยความที่ไม่เจอเพื่อนมานาน แทนที่จะนอน ก็คุยกันยันเช้าเลยค่ะ
พอช่วงสาย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพื่อนก็ทิ้งเราไว้ที่นิมมาน สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีรีวิวร้านรวงมากมายเหมือนทุกวันนี้ เราใช้วิธีเดินไปเรื่อยๆค่ะ ชอบร้านไหนก็นั่ง แต่สิ่งที่ประทับใจในนิมมานดันไม่ใช่คาเฟ่ แต่เป็นร้านหนังสือค่ะ ชื่อร้านเล่า หลังจากวันแรกที่ไป เราก็กลับไปร้านนั้นทุกวันตลอดทริปเชียงใหม่เลยค่ะ
และอีกร้านที่เราไปฝากท้องทุกวัน คือร้านก๋วยเตี๋ยวอัญชันค่ะ ไม่ได้ติดใจก๋วยเตี๋ยวนะคะ แต่ติดใจน้ำอัญชันค่ะ 55555 ล้อเล่น จริงๆก๋วยเตี๋ยวก็รสชาติธรรมดานะคะ หมายถึงมาตรฐานทั่วไป แต่ความพิเศษคือเส้นอัญชันนี่แหละค่ะ แต่น้ำอัญชันชื่นใจจริงๆนะคะ 555555
เนื่องจากช่วงนั้นเพื่อนๆฝึกงานกันหมด เราเลยต้องเที่ยวคนเดียว สมใจเลย แต่จริงๆแค่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศ จะได้เลิกคิดถึงใครบางคน แต่หนีไปไกลขนาดนั้นก็ยังคิดถึงอยู่ดีค่ะ ฮ่า
แต่ไหนๆก็มาแล้ว ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพสักหน่อย แล้วก็นั่งรถแดงไปต่อที่พระตำหนักภูพิงค์ ช่วงนั้นเราไปกุหลาบยังไม่บานเลยค่ะ เจ้าหน้าที่บอกต้องมาหน้าหนาว ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นวันธรรมดาเลยไม่ค่อยมีคน หรือเพราะไม่มีใครมาเที่ยวเชียงใหม่หน้าร้อนกันแน่ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เราเดินจนทั่วเลยค่ะ มีกุหลาบพันธุ์สีสวยๆเพียบ เรานั่งรถแดงไปจนสุดถึงดอยปุยเลยค่ะ แต่ตอนนั้นคิดอะไรไปเรื่อย อกหักแหละ ไม่ค่อยมีสติ 😂
พอตกเย็นก็นัดเจอกับเพื่อนที่มช เพื่อนพาแว้นมอไซค์ทัวร์มชแบบรีบๆหนึ่งรอบถ้วน คณะสถาปัตย์มชตึกสวยมากกกก หยั่งกะยุโรปแน่ะ ส่วนอ่างแก้วตอนเย็นก็บรรยากาศดีมากค่ะ กาดหน้ามออาหารก็ถูกมาก ตอนนั้นรู้สึกอิจฉาเด็กมชขึ้นมาทันที ทำไมเราไม่มาเรียนเชียงใหม่น้าาา แต่ประทับใจสุดในคืนนั้นก็ต้องยกให้ข้าวขาหมูช้างเผือก อร่อยมากกก เป็นข้าวขาหมูที่อร่อยที่สุดที่เคยกินในชีวิตเลยค่ะ จากใจคนไม่ชอบข้าวขาหมู 55555
เราก็ใช้ชีวิตเปื่อยๆอยู่เชียงใหม่อีกสามสี่วันเลยค่ะ บรรดาเพื่อนๆก็วนเวียนสลับกัน อาสาพาเราไปเที่ยวโน่นนี่ เรียกได้ว่าเก็บครบทุกแลนมาร์ค ทั้งประตูท่าแพ ถนนคนเดิน ท่าช้างเราก็ไป ไปทุกคืนเลยด้วย อิอิ
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่หยุดคิดถึงพ่อหนุ่มคนนั้นเลยค่ะ หนีไปตั้งไกลขนาดนั้น เรายังตั้งเสตตัส Facebook 'ฉันมาทำอะไรที่นี่' ก็ดูเอาเถอะ ขนาดได้มาในที่ใหม่ๆ รายล้อมด้วยเพื่อนสนิท ได้รู้จักคนใหม่ๆ ความคิดเราก็ยังวนเวียนอยู่กับอะไรเดิมๆอยู่ดี หนีรักอาจจะหนีได้ แต่หนีใจตัวเองยังไงก็ไม่พ้นนะคะ ฮ่า
1
ทริปนี้จึงเป็นทริปที่น่าจดค่ะ แม้จะผ่านมาเป็นสิบปี แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานจริงๆ
กับพ่อหนุ่มที่ทำให้เราหนีรักไปเชียงใหม่ ผ่านมาสิบกว่าปี ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ แต่เป็นเพื่อนที่คุยกันปีละครั้งนะคะ ฮ่า จะว่าไป นี่น่าจะเป็นแฟนเก่าไม่กี่คนที่ยังเป็นเพื่อนกันได้
เพราะเราเคยบอกเค้าว่า 'เราอาจจะเป็นเพื่อนดีๆให้เธอไม่ได้ แต่มิตรภาพระหว่างเรายังสวยงามอยู่นะ' ก็นั่นแหละค่ะ อิอิ
ส่งท้ายด้วยรูปนี้นะคะ เรากับอ่างแก้วเมื่อสิบปีที่แล้ว
ตอนนั้นผอมเชียววววว คงเพราะอกหัก 55555
ตอนแรกจะแวบมาสั้นๆ ยาวอีกตามเคย
ไว้เจอกันใหม่ blog หน้านะคะ :)
โฆษณา