6 ส.ค. 2023 เวลา 00:58 • ท่องเที่ยว

หนึ่งวันเที่ยวรอบ Luzern ขึ้นเขา ล่องเรือฟรี ด้วย Swiss Travel Pass

Luzern หรือ Lucerne จะเขียนยังไง คนไทยก็รู้จักในชื่อ ลูเซิร์น อีกหนึ่งเมืองที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการท่องเที่ยวของสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งทางบกและทางน้ำ เป็นเมืองที่มีตำแหน่งที่ตั้งที่รายล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของสวิส เมืองแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้เป็นจุดพักแรมสำหรับนักท่องเที่ยว และโดยเฉพาะคนไทยด้วยแล้ว ต้องบอกว่าเดินไปทางไหนใน Luzern ก็ต้องเจอคนไทยแน่ๆ
พวกเราครอบครัว "กลางสายทาง" ในทริปที่เดินทางไปสวิสช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เราก็มีโปรแกรมที่จะพักที่ Luzern 2 คืน และมีเวลา 1 วันเต็มที่จะเที่ยวรอบๆ Luzern ซึ่งแพลนที่เราวางไว้ และเที่ยวได้จริง ที่อยากนำมารีวิวให้ได้อ่านกัน เป็น One Day Trip ที่เดินทางง่าย เที่ยวแบบสบาย ในสไตล์ครอบครัว ที่แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มถ้าเรามี Swiss Travel Pass อยู่แล้ว
เที่ยวแบบครอบครัว ในสไตล์พวกเรา "กลางสายทาง"
ก่อนมาที่ Luzern เราไปชมใบไม้เปลี่ยนสีช่วงกลางเดือนตุลาคมในแถบ St.Moritz มาก่อน กว่าจะเดินทางมาถึง Luzern ก็ในราวๆ สี่โมงเย็น ซึ่งเรามีแพลนที่จะเข้าพักที่โรงแรม Holiday Inn Express Luzern - Kriens เป็นเวลา 2 คืน ไปอ่านรีวิวที่ว่านั้นได้ที่ https://www.blockdit.com/posts/64b2c6b8ef90e4fe45e3aa6e
และในวันที่เราเดินทางมาถึง Luzern หลังจากเช็คอินเข้าโรงแรมแล้ว เรายังมีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินให้ได้ออกเที่ยว เราเลยตัดสินใจไปที่ Stanserhorn เมือง Stans ซึ่งสามารถนั่งรถไฟไปจาก Luzern แค่ไม่กี่นาที และที่สำคัญคือ หากใครมี Swiss Travel Pass สามารถใช้ขึ้นไปถึงบนยอด Stanserhorn ได้ฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
บรรยากาศบนกระเช้าขึ้น Stanserhorn
ในหลายๆ ปีที่ผ่านมา รวมถึงปี 2022 ที่เราไปเที่ยวที่สวิส นักท่องเที่ยวที่ถือ Swiss Travel Pass จะสามารถขึ้นยอดเขาฟรี 3 แห่ง คือ Stanserhorn, Rigi และ Stoos และในปี 2023 ทั้ง 3 เส้นทางนี้ก็ยังฟรีเช่นกัน โดยทั้ง 3 ยอดเขานี้ ตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง Luzern นี่เอง เราเลยสามารถใช้ Luzern เป็นศูนย์กลางการเดินทางเที่ยวทั้ง 3 สถานที่นี้ได้เลย
ถ้าหากมาในฤดูร้อนที่มีกลางวันยาวนาน การเที่ยวเก็บทั้ง สามยอดเขาในวันเดียวก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้ามีเวลาเที่ยวน้อยลงในฤดูอื่น หรือไม่อยากเหนื่อยมาก ก็ควรแยกเก็บแค่ สองเขาใน 1 วัน ส่วนอีกหนึ่งเขาจะเก็บในวันอื่นๆ ก็ได้ ซึ่งในทริปนี้เราเลยเลือกที่เที่ยว Stanserhorn ก่อนในวันแรกที่มาถึง Luzern เพื่อเก็บ Rigi และ Stoos ในวันถัดไป
บนยอด Stanserhorn
ในอีกวันต่อมา เรามีเวลา 1 วันเต็มที่จะออกเที่ยวในอีก สองยอดเขาที่เหลือ แต่จะเที่ยวยังไง เริ่มจากไหนไปไหนและจบวันที่ไหน เราก็ต้องเอาแผนที่ออกมากาง พร้อมกับเปิดแอพ SBB เพื่อดูตารางรถไฟ รถบัส และเรือ ประกอบการวางแผน
บทสรุปของแผน Luzern Day Trip ที่เราได้คือ ออกจาก Luzern ตอนเช้า เดินทางบนบกด้วยรถไฟและรถบัส มุ่งหน้าไปขึ้นเขา Stoos แล้วตอนบ่ายย้อนกลับมาขึ้น Rigi ก่อนที่ตอนเย็นจะล่องเรือในทะเลสาบ Lucerne กลับที่พัก
แพลนเที่ยว หนึ่งวันรอบ Luzern
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ใน Luzern ที่ที่ประวัติศาสตร์บรรจบกับธรรมชาติ แต่พวกเรา "กลางสายทาง" เป็นครอบนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติมากกว่าประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเน้นความเป็นธรรมชาติและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นเป็นหลัก หลังจากทานมื้อเช้าจากโรงแรมเสร็จ เราจึงออกเดินทางด้วยรถไฟ มุ่งหน้าจุดหมายปลายทางแรกของวันที่หมู่บ้าน Stoos
จาก Luzern ต้องนั่งรถไฟมาลงที่ Schwyz ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้ Stoos ที่สุด การนั่งรถไฟจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของชนบทในสวิส มองเห็นเนินเขา หมู่บ้านที่มีเสน่ห์ และทะเลสาบอันบริสุทธิ์ เมื่อไปถึง Schwyz เราก็ต่อรถบัส ไปยังสถานีในหุบเขาที่ชื่อ Stoosbahn ซึ่งเป็นสถานีขึ้นรถไฟไต่เขาที่ชันที่สุดในโลก โดยจุดที่ชันที่สุดมีความชันถึง 110% และถือเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมากกับการได้นั่งรถไฟสายนี้
Stoosbahn รถไฟไต่เขาที่ชันที่สุดในโลก
เอาจริงๆ ก็เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเป็นรถไฟไต่เขาหรือกระเช้าไฟฟ้ากันแน่ แต่ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของการออกแบบของ Stoosbahn คือรูปแบบตัวรถและรางที่สร้างสรรค์มากๆ ทางรถไฟวางตัวขึ้นไปยังหน้าผาสูงชัน ส่วนของห้องโดยสารเป็นทรงกลมที่สามารถหมุนเพื่อรักษาระดับการยืนของผู้โดยสารได้ ซึ่งช่วยให้เคลื่อนตัวไปตามทางลาดชันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้รางยังรองรับด้วยเสาหลายชุดและยึดไว้กับทางลาดของภูเขาโดยใช้เทคนิคการก่อสร้างเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจในความมั่นคงและความทนทาน
ทีมออกแบบที่อยู่เบื้องหลัง Stoosbahn ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยรถไฟขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ทำให้เป็นรูปแบบการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานที่น่าทึ่งของนวัตกรรมทางวิศวกรรม มาตรการด้านความปลอดภัย และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมด้วยนะ
บน Stoosbahn ใกล้จุดที่ว่าชันที่สุด
Stoosbahn พาเราขึ้นมาถึงด้านบนหมู่บ้าน Stoos พร้อมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ แต่เท่าที่ดูพวกเราแทบจะเป็นชาวเอเชียครอบครัวเดียวด้วยซ้ำ เพราะส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรเปี้ยนที่เราเองก็ไม่สามารถระบุสัญชาติได้ แต่แทบทุกคนมาพร้อมกับชุดและอุปกรณ์เดินป่าเป็นส่วนใหญ่ เพราะที่นี่มีเส้นทางเดินขึ้นเขาที่ได้รับความนิยมมากๆ แต่พวกเราคงไม่สามารถไปเดินกับเขาได้ เพราะงานนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเหนื่อยเลย
Stoos ในวันที่เราไปเยือนอากาศแจ่มใสมาก เมฆน้อยถึงแทบจะไม่มีในบางช่วง ดูแล้วก็เหมาะกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งมากๆ ทันทีที่เราเริ่มเดินออกจากสถานี Stoos เราก็พบว่า Stoos เป็นหมู่บ้านบนภูเขาที่ดูเงียบสงบ มีเสน่ห์ในตัว บ้านเรือนผู้คนตั้งอยู่ห่างกัน มีร้านอาหาร คาเฟ่ มีทุ่งหญ้า น้องวัว และฉากหลังเป็นเทือกเขาสูง เราเดินเล่นๆ มาจนพบโบสถ์หลังหนึ่งซึ่งทั้งสถาปัตยกรรมและตำแหน่งที่ตั้งมันดูแปลกตาและดูว้าวมาก จนต้องหยุดถ่ายภาพรัวๆ
Stoos หมู่บ้านบนภูเขาอันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ท่ามภูมิประเทศที่สวยงาม
เราเดินชมบรรยากาศหมู่บ้านมาเรื่อยๆ จนมาถึงสถานี Stoos Bergstat ที่เป็นสถานีขึ้น Chairlift ไปยังจุดชมวิวที่มีชื่อว่า Fronalpstock จุดที่มีทิวทัศน์มุมกว้างที่สวยงามของภูเขาโดยรอบและทะเลสาบลูเซิร์น ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้รักธรรมชาติ มีเส้นทางให้เทรคกิ้งขึ้นไปหลายเส้นทางอย่างที่บอกในตอนต้นว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมมาเดินป่ากันที่นี่ แต่สำหรับพวกเราแล้วขอขึ้น Chairlift ไปดีกว่า
แต่ Chairlift ที่ขึ้นไปถึง Fronalpstock ไม่ได้ฟรีสำหรับผู้ถือ Swiss Travel Pass นะ อันนี้เราต้องซื้อตั๋วเพิ่มโดยแจ้งเจ้าหน้าที่ห้องขายตั๋วตั้งแต่สถานี Stoosbahn ที่อยู่ด้านล่างได้เลย ส่วนราคาในแต่ละฤดูและแต่ละเส้นทางก็ไม่เท่ากัน โดยสามารถตรวจสอบราคาและซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่ https://stoos-muotatal.ch/en/
นั่ง Chairlift ขึ้นไป Fronalpstock
การนั่ง Chairlift เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้เครื่องเล่นในสวนสนุกสำหรับเด็กๆ เลย ทั้งสองพี่น้อง มัชฌิ มัชฌิม ดูตื่นเต้นและชอบมากๆ ตั้งแต่การไปยืนรอเพื่อขึ้นนั่งให้ทันแล้ว และตอนที่ Chairlift ลอยไปตามสายเคเบิล แม้มีวิวทิวทัศน์สวยๆ ให้ชื่นชมตลอดทาง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองลงไปข้างล่างเป็นระยะ จน Chairlift มาถึงปลายทาง การลงและเดินออกให้ทันก็เป็นอีกอย่างที่ตื่นเต้นและสนุกไม่แพ้กัน
เราขึ้นมาถึงด้านบนที่เรียกว่า Fronalpstock นอกจากวิวที่ว่าอลังการแล้ว บนนี้มีกิจกรรมหลากหลายสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีร้านอาหารให้บริการ มีจุดให้ยืนชมวิวถ่ายรูป แต่จุดที่ดึงดูดเด็กๆ ได้มากที่สุดคือสนามเด็กเล่น มีเครื่องเล่นต่างๆ เช่น สไลเดอร์ ชิงช้า โครงปีนป่าย และกระบะทราย เหมาะสำหรับเด็กทุกวัย ณ จุดนี้จึงเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์สำหรับครอบครัวมากๆ
วิวสวยๆ บน Fronalpstock
ทันที่ Chairlift พาเรามาถึง Fronalpstock เจ้าสองมัช มองเห็นสนามเด็กเล่นอยู่ก่อนแล้ว พอลง Chairlift แล้วก็ปรี่ไปที่สนามเด็กเล่นกันทันที โดยไม่สนใจไปถ่ายรูปชมวิวกับพ่อแม่เลย ก็เลยต้องทางใครทางมันสักพัก ผุ้ใหญ่ก็เดินชมวิวไป ถ่ายรูปไป เด็กๆ เจอสนามเด็กเล่นบนยอดเขาแบบนี้ก็สนุกสานกันไป ถือว่าคุ้มค่ามากๆ กับค่า Chairlift ที่จ่ายขึ้นมา
สนามเด็กเล่นบน Fronalpstock
ต้องบอกว่าเป็นสนามเด็กเล่นที่วิวสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อากาศวันนี้ก็เป็นใจซะด้วย ลมพัดเย็นสบาย แดดก็ไม่ค่อยแรง พวกเราเลยใช้เวลาอยู่ที่นี่พอสมควร และระหว่างนั่งดูเด็กๆ เล่นสนุกอยู่นั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เวลาที่ไทยน่าจะเกือบสี่โมงเย็น ของวันที่ 16 ตุลาคม เลยเอาโทรศัพท์ขึ้นตรวจสลากกินแบ่งซะหน่อย...
เฮ้ย...!!! ถูกหวย พ่อกับแม่ถูกหวย เลขท้าย 2 ตัวจากแอพเป๋าตัง มีเงินเที่ยวต่อแล้วพวกเรา อย่างแรกเลย ต้องลงไปหาร้านนั่งกินข้าวเที่ยงฉลองกันก่อนเลย เย้ๆๆๆๆ
1
ไปเที่ยวไกลถึงสวิส  ถูกหวยเฉยเลย
ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจ เพราะถูกหวยรอบนี้ถูกเลขทะเบียนรถที่ตามมาทุกงวด ก็ได้ทั้งพ่อและแม่รวมๆ กันก็พอสมควรแหละ เลยชวนกันลงไปหาอะไรกินฉลองที่หมู่บ้าน Stoos เพราะก่อนหน้านี้อาหารแทบจะทุกมื้อเราหลีกเลี่ยงการนั่งทานในร้านมาตลอด เพราะรู้ว่าราคาแพงมาก ก็เลยใช้การพึ่งพาร้านสะดวกซื้อเป็นหลัก แต่นี่จะเป็นมื้อแรกที่เราจะลองหาร้านทานดีๆ นั่งทานกัน
ระหว่างนั่ง Chairlift ลงเขา เราก็เห็นวิวอีกด้าน โดยเฉพาะตัวหมู่บ้าน Stoos ที่มองจาก Chairlift ดูสวยมาก ยิ่งมีสีสันของต้นไม้ที่ใบเริ่มเปลี่ยนสียิ่งดูสวยขึ้นไปอีก ดูแล้วเป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่จริงๆ
1
หมู่บ้าน Stoos มองจาก Chairlift
ลงมาถึงหมู่บ้าน Stoos เราก็มองหาร้านอาหารเที่ยง ก็มาเจอร้าน Restaurant Sternegg ที่อยู่หน้าสถานีรถไฟไต่เขา Stoos เห็นคนนั่งทานกันเยอะเลยคิดว่าน่าลองดูหน่อย แต่คนส่วนใหญ่เขานั่งตากแดดกันนอกร้าน พวกเราเองคนเมืองร้อนแท้ๆ กลับรู้สึกไม่ชอบแดด เลยขอนั่งข้างในแทน แล้วก็สั่งอาหารมาทานในแบบที่คิดว่าเด็กทานได้ ผู้ใหญ่ทานดี ก็หนีไม่พ้นไก่ทอด กับสปาเก็ตตี้ ก็อร่อยอยู่นะ ถือว่าโอเคเลยแหละ ราคาก็แรงอยู่ถ้าเทียบกับบ้านเรา แต่ก็ถือว่าราคากลางๆ ถ้าเป็นที่สวิสนะ
ทานจนอิ่มเพราะหิว นึกขึ้นได้อีกที ลืมถ่ายรูปบรรยากาศในร้านซะงั้น มีแค่คลิปสั้นๆ ที่แคปเป็นภาพมา กับภาพจากเว็บไซต์ https://www.stoos.ch/en/stories/sternegg มาให้ชม ยังไงเข้าไปดูเมนูอาหารในเว็บไซต์ก็ได้ แต่เหมือนจะเป็นภาษาเยอรมันนะ
มื้อเที่ยงที่ Restaurant Sternegg (ภาพส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์)
ทานมื้อเที่ยงเสร็จเราก็ได้เวลาลงจาก Stoos นั่งรถบัสย้อนกลับมาที่สถานี Schwyz จากนั้นต่อรถไฟย้อนทางเดิมที่จะกลับไป Luzern แต่เราลงระหว่างทางที่สถานี Arth-Goldau เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถไฟขึ้นเขาไปที่ Rigi ราชินีแห่งขุนเขา
การขึ้น Rigi สามารถขึ้นลงได้ 2 ทาง คือทางฝั่งตะวันออกจากเมือง Arth-Goldau และทางฝั่งตะวันตกจากเมือง Vitznau ซึ่งในที่นี้หมายถึงการนั่งรถไฟขึ้นเขา แต่ถ้าอยากนั่งเป็นกระเช้าไฟฟ้า ก็ยังสามารถขึ้นลงจาก Weggi ก็ได้เช่นกัน
ระหว่างทางนั่งรถไฟขึ้นยอดเขา Rigi จากฝั่ง Arth-Goldau
เมื่อลงรถไฟที่ Arth-Goldau เราก็เดินต่อตามป้ายบอกทางไปที่สถานี Arth Goldau RB ซึ่งเป็นสถานีต้นทางสำหรับรถไฟขึ้นเขา โดยไปสิ้นสุดที่สถานี Rigi Kulm อย่างที่บอกว่ารถไฟไต่เขาขึ้นไปยัง Rigi Kulm มีสองเส้นทาง โดยฝั่งที่ขึ้นจาก Arth Goldau เท่าที่เห็นจะเป็นขบวนสีฟ้า ส่วนที่ขึ้นจากฝั่ง Vitznau จะเป็นขบวนสีแดง หรือรุ่นใหม่เหมือนจะเป็นสีน้ำตาลคาดขาว
จากสถานี Arth Goldau RB รถไฟจะค่อยๆ วิ่งไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ และทิวทัศน์สองข้างทางก็เริ่มสวยงามขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน เรียกว่ายิ่งสูงยิ่งสวยก็ว่าได้ และด้วยรถไฟที่ค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปไม่ได้ใช้ความเร็วมากนักๆ ทำให้มีเวลาได้ชื่นชมกับทิวทัศน์สองข้างทางได้อย่างเต็มอิ่ม จนกระทั่งรถไฟมาจอดที่ปลายทางสถานี Rigi Kulm เราก็ต้องลงจากรถแล้วออกแรงเดินขึ้นเนินอีกหนึ่งเหนื่อยใหญ่ๆ เพื่อไปให้ถึงยอด Rigi ที่มองเห็นเสาส่งสัญญาณอะไรซักอย่างตั้งอยู่
บนยอดเขา Rigi สามารถมองวิวได้แบบ 360 องศา
สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เดินขึ้นเขาหรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จากสถานี Rigi Kulm จนถึงจุดชมวิวด้านบนก็ทำให้หอบได้เหมือนกันนะ งานนี้ คนที่ฟิตสุดกลายเป็นพ่อกับมัชฌิม ที่วิ่งขึ้นไปยืนหอบข้างบนได้ก่อน ส่วนมัชฌิกับแม่ค่อยๆ เดินลากกันขึ้นมา กว่าจะถึงก็แทบหืดจับเหมือนกัน
1
แต่ต่อให้เหนื่อยขนาดไหน วิวด้านบนก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งภายในไม่กี่นาทีเพราะได้รับการต้อนรับด้วยทิวทัศน์สวยๆ ที่มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา และด้วยอากาศที่แจ่มมากๆ เราสามารถมองเห็นเทือกเขา Swiss Alps ที่สูงตระหง่านในระยะไกลได้ด้วย เรียกได้ว่าสมแล้วกับฉายา "ราชินีแห่งขุนเขา"
เดินเล่นชมวิวราชินีแห่งขุนเขาจนหายเหนื่อย
เราเดินเล่นชมวิวด้านบน Rigi อยู่พักใหญ่ ก็วนลงมาจนถึงจุดขึ้นรถไฟตรง Rigi Kulm อีกครั้ง ก็แวะเข้าห้องน้ำห้องท่า เพื่อรถรถไฟขาลงโดยเราจะนั่งรถไฟลงอีกฝั่งไปที่ Vitznau ซึ่งเท่าที่ดูตารางรถไฟเที่ยวที่กำลังจะมาถึง เราจะลงไปทันเรือเที่ยวสุดท้ายเพื่อกลับ Luzern พอดี แต่ถ้าพลาดเรือเที่ยวนี้ เราก็ต้องเปลี่ยนแผนเป็นนั่งรถบัสและและรถไฟแทน
วิวสองข้างทางรถไฟขาลงฝั่งตะวันตกก็สวยไม่แพ้ฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะบางช่วงจะมองเห็นทะเลสาบลูเซิร์นด้วย แล้วช่วงเวลาที่เราลงเขา พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ ยิ่งเพิ่มความงามให้กับวิวสองข้างทางไปอีกแบบ
1
ขาลงเรานั่งรถไฟลงฝั่ง Vitznau
และแล้วก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล็กน้อย... ในขณะที่ที่รถไฟกำลังเคลื่อนตัวลงเขามาเรื่อยๆ จนจะถึงสถานี Vitznau อยู่แล้ว แต่อยู่ๆ รถไฟก็หยุดเหมือนรออะไรสักอย่าง เราก็ต้องรีบมองนาฬิกา สลับกับเช็คตารางเวลาเรือด้วยความกระวนกระวายใจ เพราะกลัวจะไม่ทันเรือเที่ยวสุดท้ายกลับ Luzern แล้วดูแล้วไม่ใช่แค่พวกเราที่รู้สึกเป็นกังวล เพราะดูนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน
หยุดจอดอยู่ไม่นาน รถไฟก็ค่อยๆ เคลื่อนลงมาถึงสถานี Vitznau เป็นเวลาเดียวกันกับที่เรือจะต้องมาเทียบท่า พวกเรารวมถึงนักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดที่มารถไฟขบวนเดียวกันต่างก็รีบกรูกันไปที่ท่าเรือซึ่งอยู่ติดๆ กับจุดจอดรถไฟเพียงไม่กี่ก้าว และก็ได้รับข่าวดีว่า เรือเที่ยวสุดท้ายยังมาไม่ถึง ต้องต่อแถวรออีกสักพัก ซึ่งก็ไม่นานก็ได้ยินเสียงหวูดเรือดังมาแต่ไกล และมองไปก็เห็นเรือลำใหญ่กำลังแล่นเข้ามาเทียบที่ท่าเรือ Vitznau
1
ที่ ท่าเรือ Vitznau
เรือที่เข้าเทียบท่าเพื่อรับเราล่องทะเลสาบกลับ Luzern เป็นเรือ 2 ชั้น โดยนักท่องเที่ยวที่ถือ Swiss Travel Pass สามารถขึ้นเรือได้เลย แล้วค่อยไปแสดงตั๋วให้พนักงานดูบนเรือเหมือนๆ กับการนั่งรถไฟ หรือรถบัส แต่มีข้อควรรู้อยู่อย่างคือ เรือที่มี 2 ชั้น คนที่จะสามารถขึ้นชั้นบนได้ ต้องเป็นผู้โดยสารที่ถือตั๋วชั้น 1 (1st Class) เท่านั้น ซึ่งในทริปนี้เราก็ถือ Swiss Travel Pass ชั้น 1 เลยสามารถขึ้นไปนั่งชมวิวบนดาดฟ้าเรือที่ชั้นบนได้
เป็นเวลาที่เหมาะเจาะมากๆ กลับการล่องเรือบนทะเลสาบ Lucerne ในตอนพระอาทิตย์กำลังคล้อยตกพอดี ทั้งบรรยากาศ แสง สี ธรรมชาติ ชมชนริมทะเลสาบต้องบอกว่าลงตัวมาก แม้จะใช้เวลาบนเรือไม่นาน แต่รู้สึกว่าเต็มอิ่มมากๆ กับวิวทิวทัศน์ที่ได้เห็น และเด็กๆ ก็ดูจะชอบการนั่งโต้ลมชมวิวบนดาดฟ้าหัวเรือแบบนี้มากๆ ด้วย
1
ตื่นเต้น สนุกสนาน กับการล่องเรือบนทะเลสาบ Lucerne
ยิ่งเรือแล่นเข้าใกล้ Luzern ภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งสวยขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นจังหวะที่พอดิบพอดีกำแสงแดดอ่อนๆ ที่สาดเข้าตัวเมืองพอดี ทำให้เห็นความงามของสถาปัตยกรรมของเมืองริมทะเลสาบ ที่เหมือนภาพในเทพนิยายอย่างไงอย่างนั้น
1
เมือง Luzern มองจากทะเลสาบ Lucerne
เรือแล่นเข้าเทียบท่าที่ Luzern ในเวลาที่เกือบจะเป็นแสงสุดท้ายของวัน ทำให้ยังพอมีเวลาที่เราพอจะได้เดินเที่ยวเล่นในเมืองอีกพักใหญ่ๆ ก่อนจะกลับเข้าที่พัก เพราะโรงแรมที่เราพักของอยู่ต้องนั่งรถไฟไปอีก 2 สถานี เราเลยตัดสินใจเดินเล่นให้มืดก่อนแล้วค่อยกลับเข้าที่พักทีเดียว
เราเลือกเดินไม่ไกลจากท่าเรือและสถานีรถไฟนัก โดยเดินมาที่ Chapel Bridge หรือที่คนไทยรู้จักในนาม สะพานไม้ชาเปล สะพานไม้ที่เก่าแก่ที่มีอายุหลายร้อยปี พาดข้ามแม่น้ำรอยส์ มีป้อมปราการแปดเหลี่ยมตั้งอยู่กลางสะพาน เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ของ Luzern โดยใต้หลังคาคลุมสะพานมีภาพเขียนเรื่องราวประวัติความเป็นมาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตลอดแนวสะพาน เป็นภาพเขียนเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี
เดินเล่น Chapel Bridge
เดินเล่นบน Chapel Bridge จนแสงสุดท้ายของวันหมดไป พอดีกับมีฝนตกลงมาปรอยๆ ทำให้เราตัดสินใจจบทริปหนึ่งวันรอบ Luzern ไว้แค่นี้ แล้วก็เดินทางกลับโรงแรม เพื่อพักผ่อนเอาแรงไว้ออกเที่ยวในวันถัดไป
สรุปว่าภารกิจเที่ยว One Day Trip รอบๆ Luzern กับ 2 ยอดเขา 1 ทะเลสาบ และแถมปิดท้ายด้วย 1 สะพานไม้โบราณใน 1 วันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อย หรือรู้สึกว่าเป็นชะโงกทัวร์แต่อย่างไร เรียกได้ว่าจัดทริปนี้ได้ลงตัว และพอดิบพอดีกับสไตล์การท่องเที่ยวแบบครอบครัวของพวกเรา "กลางสายทาง"
1
ปักหมุดการเดินทาง
สถานีรถไฟ Luzern :
สถานีรถไฟ Schwyz :
Schwyz, Stoosbahn :
Stoos :
Stoos(Sesselbahn Fronalpstock) :
Fronalpstock :
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่เพจนี้ และ
โฆษณา