30 ก.ค. 2023 เวลา 07:32 • ประวัติศาสตร์

25ศาสดา(นบี)ในศาสนาอิสลาม องค์ที่ 14

ยุคเปลี่ยนการปกครอง อิสราเอลตกเป็นทาสในอียิปต์
14 ศาสดา(นบี)มูซา หรือโมเสส (ขอสันติจงมีแด่ท่าน)
เป็นการกลับมากล่าวถึง นบีในสายเลือดอิสราเอล
ที่พระเจ้าได้เลือกอีกครั้ง หลังจากที่ย้ายมาอยู่ในอียิปต์
ได้ราว 400 ปี แห่งความสุขสบาย กับชนเผ่าพื้นเมือง
ที่เรียกว่า คิฟติ (ศาสนาคริสต์นิกายพื้นเมืองในอียิปต์
จึงเรียกว่า คอปคิค ในยุค นบีมูฮัมหมัด(ขอพระเจ้าทรงประทานพร)
ที่เกิดหลังจากยุคนี้)
ชาวอิสราเอลมีความสุขสบายกับราชวงศ์ ที่มีความเชื่อคล้ายกัน
ในการนับถือพระเจ้า ที่เหนือกษัตริย์ แต่ ในความสุขสบายนั่น
ความเคร่งครัดที่จริงจังมีอยู่ไม่กี่คน ในจำนวนประชากรราว 6แสนคน
ในเวลานั้น(ในทัศนะอิสลามนะ) ที่ถือว่าเป็นชนกลุ่มน้อย
ผู้มั่งคั่งและมีความรู้โอกาสในสังคม มากกว่าชนพื้นเมือง
ความเชื่อในศาสนา ได้จางหายไปในสังคมอิสราเอล
บางกลุ่มก็นับถือรูปปั้น ผสมปนเปกับคนพื้นเมือง
บางกลุ่มก็ไม่เชื่อในพระเจ้าแล้ว
บางคนที่ร่ำรวยยึดผูกขาดการค้า
อย่างเศรษฐีที่ชื่อกอรูนก็คิดว่าพระเจ้าเมตตา
เลือกเขารักเขาเป็นพิเศษ จึงรวยกว่าทุกคน
ในหมู่ชาวอิสราเอลด้วยกัน
ไม่ว่าเขาจะเอารัดเอาเปรียบใครก็ตาม ฯลฯ
ในความเชื่อในยุคแห่งความสุขสบาย
ที่คำสั่งเสียของ ท่าน อิสราเอลหรือนบียะกู๊บ
ที่ได้ให้ลูกหลานรับปากไว้
ไม่ใช่ภาระของคนส่วนใหญ่ของพวกเขา
อีกต่อไป นอกจากคนเคร่งครัด
ไม่กี่คนที่ตกยุคสมัย และมีความเชื่อว่า
พระเจ้าจะส่งคนมาฟื้นฟูศาสนาในสายเลือดเขาเสมอ
แล้ว อียิปต์ก็เกิดการเปลี่ยนราชวงศ์
ชาวอิสราเอล ที่แนบแน่นกับราชวงศ์เดิม
ถูกจับมาเป็นชนชั้นแรงงานทาส ทั้งหมด
ที่ทำงานร่วมกับทาสชาวพื้นเมือง
อียิปต์ ที่เปลี่ยนจากระบบ กษัตริย์ที่ปกครอง
ร่วมแบบคนธรรมดากลายเป็นฟาโรว์
ที่เป็นสมมติเทพ ที่ตัดสินเป็นหรือตายของผู้คนได้
แบบพระเจ้า ในร่างของมนุษย์
ที่ประชาชนต้องกราบไหว้แทนศาสนา
ด้วยอำนาจเด็ดขาด ในการปกครอง
อาณาเขตอารยธรรมอียิปต์และแผ่นดินกว้างไกลไปตามเส้นทาง
แม่น้ำไนล์ จรดคาทูม ในซูดาน และเริ่มก้าวขึ้นมา
เทียบรัศมีกับ อัสซิเรีย
ที่ครองพื้นที่เมโสโปเตเมีย ในอีรัค(เออร์)
ที่ นบี อิบรอฮีม ย้ายออกมาที่เป็นปู่ของ
นบีอิสรออีล หรืออิสราเอล(นบียะกู๊บ)
ฟาโรว์ฝันว่า มีลูกไฟดวงใหญ่พุ่งมาจาก
เยรูซาเล็ม ดินแดนคานาอัน
เข้าถล่ม แต่บ้านเรือนของชาวคิฟตีคนอียิปต์
แต่ไม่ทำลายบ้านเรือนของ
ชาวอิสราเอล โหรทำนายว่า
จะมีเด็กมาเกิดในหมู่ชาวอิสราเอล
ที่เขาจะทำลายราชวงศ์คนคิฟติจนหมดสิ้น
จึงมีคำสั่ง ให้ฆ่าเด็กที่เป็นชาวอิสราเอลให้หมดที่เกิดใหม่
แต่การก่อสร้างต้องใช้แรงงานจึงมีผู้คัดค้าน
สรุปที่ ฆ่าปีนึงเว้นปีนึง เรื่อยไป
ฮารูน พี่ชาย มูซา เกิดในปีที่เว้น
แต่ มูซาเกิดในปีที่ต้องถูกฆ่า
บางคนคลอดลูกปีนี้ ก็เอาไปทิ้งในป่า
แต่แม่ของมูซาคลอดเสร็จแล้ว
เธอให้ลูกดื่มนมตัวเองก่อนแล้วจึงใส่ตะกร้าลอยแม่น้ำ
แล้วให้ลูกสาววิ่งตามไป
และได้เห็นตะกร้าลอยเข้าไปติดในวัง
ภรรยาของฟาโรว์นั้นมีจิตใจเมตตา
เห็นเด็กในตะกร้า ถูกชะตา
จึงขอให้ฟาโรว์รับเลี้ยงไว้สักคน
จากคำอ้อนวอนฟาโรว์จึงให้
เธอเลี้ยงเด็กคนนี้ แต่เกิดปัญหาที่เด็กไม่กินนมใคร
พี่สาว มูซารู้ข่าวการประกาศหาแม่นม
จึงเสนอแม่ของเธอ และมูซาก็ได้
กลับมาเลี้ยง ที่บ้านแม่ของตนและเข้าออกในวังเมื่อโตขึ้น
ที่เรียน สรรพวิชา ตามที่เด็กในวัง
โอรสกษัตริย์ควรได้เล่าเรียนกัน
เมื่อโตเป็นหนุ่ม มูซา ไม่เหมือนชาวพื้นเมืองชนคิฟตี
ที่รู้กัน เพราะไม่ได้ตัวดำผมหยิก
แบบคนอัฟริกาชาวเมืองส่วนใหญ่
ชาวอิสราเอลเมื่อโดนกดขี่ หมดสภาพหมดศักดิ์ศรี
หลายคนโทษพระเจ้า
ส่วนคนที่เคร่งครัดก็รู้แก่ใจว่าคนส่วนใหญ่ของอิสราเอล
นั่นไม่ได้อยู่ในศาสนาที่ คำสั่งเสียและคำทำนาย
ของนบียะกู๊บที่ว่า
พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งชาวอิสราเอล และจะส่ง
คนมาช่วย เสมอ แล้วความหวังสุดท้ายนี้ได้กลาย
เป็นเสียงคร่ำครวญตัดพ้อพระเจ้า ที่ทอดทิ้งไม่ทำตามสัญญา
ที่ปล่อยให้พวกเขา ถูกกดขี่แสนสาหัสในการเป็นทาสแรงงานทั้ง
หมดในอียิปต์ ที่กระจายเริ่มพูดถึงพระเจ้า ของบรรพบุรุษขึ้นมา
อีกครั้งในทุกเผ่า ของอิสราเอล
เมื่อมูซาเข้าสู่วัยหนุ่มฉกรรจ์ เขามีพื้นฐานความเชื่อในพระเจ้า
องค์เดียวตามที่แม่ของเขาสอน ที่ไม่นับถือสิ่งใด มีพื้นฐานที่ดี
แต่เป็นคนใจร้อน มุทะลุดุดัน ร่างใหญ่โตแข็งแรง
แต่เขาพูดไม่ค่อยชัด มีปัญหาที่ลิ้น
และรักความยุติธรรม
วันหนึ่ง ในขณะที่ผู้คนพักผ่อนจากงาน เขาได้เข้ามา
ในเขตแรงงาน เกิดเหตุการณ์คนคิฟตีและคนอิสราเอลทะเลาะกัน
จึงเข้าไปห้ามและสอบถาม จนเกิดเรื่องชุลมุน มูซาได้พลั้งมือ
ชกชาว คิฟตี ครั้งเดียวเป็นเหตุถึงตาย เขาจึงหลบหนี
และเริ่มหวาดระแวง แต่อีกวันหนึ่งเขาพบคนอิสราเอลคนเดิม
ทะเลาะกับ ผู้อื่นอีก เขาจึงเข้าไปและพูดทำนองว่า คนอิสราเอล
นั่นแหละที่เป็นผู้สร้างปัญหา แต่เขาถูก สวนกลับมาว่า
“แล้วท่านจะฆ่าฉัน เหมือนที่ทำกับคนคิฟตีเมื่อวานหรือ”
มูซารู้สึกได้ทันทีว่า เขาตัดสินใจเร็วเกินไปที่ช่วยคนผิด
และมีคนสนิด ได้มาแจ้งข่าวให้หนีไปเพราะ ทางการรู้แล้ว
ว่าท่าน ฆ่าคนตาย
ท่านสำนึกผิด ขออภัยต่อพระเจ้าในความผิดพลาดครั้งนี้
แต่โทษอาญา ไม่อาจปฏิเสธใดๆได้
เขาจึงตัดสินใจหนี ไปอย่างไร้ทิศทางโดยไม่ได้เตรียมตัว
ใดๆ ด้วยความลนลานผ่านไปหลายวันในสภาพคนเร่ร่อน
ไปทาง อ่าวอะกอบะฮ์ โดยผ่านทะทรายซีนาย
จนมาถึงเขต อ่าวอะกอบะฮ์ ที่เป็นแนวริมทะเลเป็นของ
อดีตชาวเผ่า อัยกะฮ์ (พุ่มไม้) แห่งเมืองมัดยัน มีอิทธิพล
ในแถบนี้ ที่ถูกพระเจ้าทำลายไป
ที่นั่นท่านได้มาเจอ ผู้หญิงสองคนที่กำลังต้อนฝูงแกะ
ของตนเพื่อให้ได้กินน้ำจากบ่อ แต่ฝูงของนางเข้าไม่ถึง
เพราะมีแต่ผู้ชายที่ไม่ยอมเอื้อเฟื้อและแย่งตัดหน้า
ให้น้ำแกะของตน เธอทั้งสองจึงได้แต่รอ
มูซาได้เข้าไปช่วยให้เธอได้ตักน้ำให้ฝูงแกะของเธอ
เป็นเหตุให้ได้พบกับ นบีชุอัยบ์ที่เป็นพ่อของสองสาวนั้น
ที่ได้อพยพมาตั้งที่อยู่ใหม่ จากการทำลายเมืองมัดยัน
ของพระเจ้า ที่ท่านเคยเทศนา
มูซาได้ทำข้อตกลง เป็นลูกจ้าง แปดปี เพื่อแลกกับ
การจะได้แต่งงานกับลูกสาวของนบีชุอัยบ์ หรือจะอยู่
ที่นี่เลยก็ได้ นบีชุอัยบ์ ได้สอนศาสนา และแนวทางของ
พระเจ้าองค์เดียวที่ชัดเจน (เคยมีบางกระแสบอกว่านบี
ชุอัยบ์เคยพานบีอีซา มามักกะฮ์ ด้วยที่เป็นเรื่องเล่าของ
ชาวยิว)
อยู่มาได้ราว 10 กว่าปีมูซา ได้พาครอบครัวลา นบีซุอัยบ์
เพื่อกลับมา อียิปต์ แต่เดินทางอ้อมมาทางเทือกเขาซีนาย
ท่านได้หยุดพัก ตรงซีนาย และเห็นไฟบนยอดเขา ท่านจึง
ฝ่าขึ้นไปในความหนาวเหน็บของการเดินทาง
คิดว่าอาจมีใครช่วยได้บ้าง
เมื่อขึ้นไปถึง แสงนั้นได้บอกว่า นี่คิดเสียงของพระเจ้า
ที่พูดโดยตรง ให้ถอดรองเท้า ถ้าไม่เชื่อก็โยนไม้เท้าที่ลงไป
พอโยนลงไป มันกลายเป็นงู และเมื่อเอาขึ้นมาถือมันกลาย
เป็นไม้เท้าดังเดิม และให้เอามือล้วงเข้าไปในอกเสื้อเอาออกมา
มือมีรัศมี ลูบไปตรงที่เป็นโรคผิวหนัง หายไปทันที
พระเจ้าบอกให้ท่านเป็นนบี มีภาระกิจไปเผยแผ่ศาสนา
แก่ฟาโรว์ แห่งอียิปต์ที่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า และช่วยเหลือ
ชาวอิสราเอล แล้วพระเจ้าจะช่วยเหลือในภาระกิจของท่าน
มูซาได้ขอให้ ฮารูน พี่ชายท่าน เป็นนบีด้วย
เพื่อช่วยท่านเทศนาเพราะเขา
เป็นคนที่พูดคล่อง และใจเย็นอ่อนโยน และขอ
ให้ท่านพูดได้ปกติ พระเจ้าให้ท่านตามคำขอ
และท่านก็มุ่งสู่อียิปต์ ด้วยภาระที่หนักหน่วงรออยู่ที่นั้น
โฆษณา