1 ส.ค. 2023 เวลา 11:30 • ท่องเที่ยว
สวิตเซอร์แลนด์

เที่ยว Titlis ในวันที่หิมะตก เล่น Snow Tubing ท้าลมหนาว และพาดู Chapel Bridge

📌Titlis - Chapel Bridge📌
สำหรับวันที่ 3 เราจะพาทุกคนไปยังยอดเขาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเมือง Lucerne นั้นก็คือเขา Titlis นอกจากนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสะพานไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองด้วยกับ Chapel Bridge นั้นเอง ถ้าพร้อมแล้ว ลุยกันเลยยย
ไม่รอช้า เริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า เราขึ้นรถไฟที่สถานี Lucerne และไปลงที่ Engelberg ใช้เวลาประมาณ 43 นาทีก็ถึงแล้ว โดยนั่งสาย IR ชานชาลาที่ 12 ครับ
ก่อนจะนั่งรถไฟสายนี้เนี่ย ผมแนะนำว่าให้นอนหลับมาให้เพียงพอ อย่าเผลอหลับบนรถไฟเด็ดขาด เพราะผมว่าเส้นทางนี้ เป็นหนึ่งในเส้นทางที่วิวสวยที่สุดที่ผมนั่งมาในสวิสเซอร์​แลนด์​เลยล่ะครับ สามารถเลือกนั่งได้ทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวาเลยน้า อยากบอกว่าสวยเหมือนกันทั้งคู่ครับ
วิวข้างทางเขียวขจีมาก ถึงอากาศจะไม่ค่อยสดใสเท่าไร แต่บรรยากาศแบบนี้ก็ให้อารมณ์ความโรแมนติกได้เป็นอย่างดีเลยครับ
รู้ตัวอีกทีกก็เดินทางมาถึงสถานี Engelberg แล้วครับ พอลงมาเราก็จะเจอกับป้ายบอกทางให้เดินไปที่ขึ้นกระเช้าเลยครับ ใช้เวลาเดินไปอีก 10 นาที
วิวระหว่างทางเดินก็สวยงามมากเลย ด้านข้างเป็นลำธารเล็กๆ ส่วนข้างหลังก็เป็นภูเขาอันสูงใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อากาศตอนนี้กำลังเย็นสบาย มีฝนตกลงมาเล็กน้อย
คิดดูนะครับ ว่าถ้าฟ้าเปิด และเห็นภูเขาแบบชัดๆ จะสวยและยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถ้าใครมีภาพวันที่ฟ้าเปิดก็เอามาแชร์กันได้นะครับ ผมอยากเห็นมาก
เดินมาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆเราก็เจอกับสถานีกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขา Titlis แล้ว ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเที่ยงแล้ว คนข้างนอกดูไม่ค่อยเยอะเท่าไรครับ เราต้องเดินเข้าไปในอาคารด้านหลังเพื่อซื้อตั๋วก่อนน้า
แต่พอเข้ามาในอาคารเท่านั้นแหละ คนต่อคิวรอซื้อตั๋วเยอะมาก แต่รอคิวไม่นานมากครับ เพราะเจ้าหน้าที่มีเยอะ
ราคาค่าขึ้นอยู่ที่ 48 CHF ตีเป็นเงินไทยก็เกือบ 1,800 บาท ขนาดมี Swiss pass ที่ได้ลด 50% แล้วนะ ก็ถือว่าแพงอยู่ครับ แต่มาถึงแล้วขึ้นเถอะครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง
ซื้อบัตรเสร็จแล้วก็เดินตามทางเพื่อไปขึ้นกระเช้าได้เลย วิวบนกระเช้ามองย้อนกลับลงไปเราก็จะเห็นเมือง Engelberg สวยมาก
ขึ้นมาได้ไม่นานจากวิวที่เราเห็นเขียวๆเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ได้หายไปแล้วเปลี่ยนเป็นวิวหิมะแทน มองไปทางไหนก็ขาวโพลนเต็มไปหมดเลย
ก่อนจะขึ้นไปยังยอดเขา Titlis เราต้องมาเปลี่ยนกระเช้าที่สถานี Trubsee ก่อนนะครับ ต้องเดินลงมาแล้วไปต่อกระเช้าอันใหม่
แต่ระหว่างเดินออกมาเราก็แวะถ่ายรูปสักหน่อย บรรยากาศดีมากกกกกก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย คนไม่ค่อยเยอะแล้วด้วย เมฆหมอกบังเขาหมดเลย
นั่งกระเช้าต่อกันครับ คราวนี้เราจะนั่งทะลุเมฆ เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว กระเช้าที่เรานั่งครั้งนี้เรียกว่า Titlis Rotair เป็นกระเช้าลอยฟ้าแบบหมุนได้คันแรกของโลก คือตัวกระเช้ามันจะหมุน 360 องศาเลยครับ หมุนจบ 1 รอบ ก็ถึงยอดเขาพอดีเลย
พอขึ้นไปถึงแล้วเราก็แวะ Glacier cave ก่อน โดยถ้ำนี้เป็นถ้ำใต้ธารน้ำแข็ง ที่มีอายุยาวนานกว่า 5,000 ปี และมีความยาวประมาณ 150 เมตร อุณหภูมิภายในถ้ำอยู่ระหว่าง -1.5 – 1 องศาเซลเซียส และระหว่างทางก็จะมีไฟประดับประดาไว้สวยงามเลยครับ เสียดายว่าไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไร
ออกมาจากถ้ำเราก็ขึ้นลิฟต์ออกมาชั้นบนสุด เพื่อจะไปยัง Cliff Walk ครับ บรรยากาศตอนนี้คือมีหิมะตกหนักมาก ตอนที่อยู่ข้างล่างฝนตก แต่พอขึ้นมาแล้วฝนก็กลายเป็นหิมะเลยครับ
หิมะตกหนักมากจริงๆ ต้องใส่เสื้อหนาวถึง 3 ชั้นแหนะ และผมแนะนำว่าให้เอาถุงมือมาด้วยนะ ไม่งั้นมือเราจะชามากเลย
ดูครับ วิวที่ควรจะเห็น และวิวที่เราเจอจริงๆเป็นยังไง ขาวไปหมดเลย ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหิมะ ทัศนวิสัยมองเห็นได้ไม่ไกล ถ้าเค้าไม่มีไม้กั้นตามทางเดินนะ ผมว่าต้องมีคนเดินหลงบ้างแหละ เพราะเราไม่เห็นเลยว่าข้างหน้าที่เรากำลังเดินไปมันเป็นอะไร
อันนี้เป็น Ice Flyer ครับ จริงๆมันก็คล้ายๆกระเช้าแต่จะเปิดโล่ง นั่งชมวิว แต่ว่าวันนี้ไม่เห็นวิวอะไรเลย เลยไม่มีใครเล่น ถ้าจะเล่นต้องเสียเงินเพิ่มนะครับ ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะอยู่ที่ 9 CHF
เดินมาจาก Ice Flyer อีกนิดเดียวเราก็จะถึง Cliff Walk ละครับ Cliff Walk เป็นสะพานแขวนที่สูงที่สุดในโลก ยาว 100 เมตร และสูง 3,041 เมตรจากระดับน้ำทะเล
จริงๆผมเป็นคนที่กลัวความสูง แต่พอวันนี้หิมะตก ทำให้มองไม่เห็นว่าข้างล่างมันลึกแค่ไหน เลยทำให้กลัวน้อยลงนิดนึงครับ ส่วนสะพานถ้าเดินไปมันก็จะแกว่งๆหน่อย ก็ทำให้ผมเสียวๆเหมือนกัน แหม่ขี้กลัวจังเลยนะเรา
หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศบนยอดเข้าเรียบร้อยแล้ว เราก็นั่งกระเช้ากลับลงมาที่สถานี Trubsee เพื่อเล่น snow tubing
มันก็คือนั่งบนห่วงยางแล้วสไลด์ลงมานี่แหละ เมื่อก่อนตอนเด็กๆเคยไปเล่นที่ดรีมเวิลด์อยู่ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนึงเราจะได้มีโอกาสมาเล่นบนหิมะของจริง
เค้าไม่จำกัดว่าเราจะเล่นกี่รอบ อยากเล่นทั้งวันยังได้เลยครับ ถ้าไม่เหนื่อยซะก่อน จะลงพร้อมกันเป็นคู่ หรือจะลุยเดี่ยวคนเดียวก็ตามใจชอบเลย
เราเล่นกันเป็น 10 รอบเลย สนุกมากเลย จริงๆอยากจะเล่นนานกว่านี้ แต่ถ้ามัวแต่เล่นเดี๋ยวเราจะอดไปเที่ยวที่อื่นกัน พอลงไปถึงข้างล่างเราก็ต้องลากห่วงยางขึ้นมาข้างบนนะครับ แต่ยังดีที่เค้ามีสายพานให้เราขึ้นมาได้ง่าย ไม่ต้องลากขึ้นมาให้เหนื่อย
ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว เรากลับไปเมือง Lucerne ดีกว่า นั่งกระเช้าลงมาเล้ยย วิธีเดินทางกลับ ก็กลับทางเดียวกับขามาเลย เรียกว่ามาทางไหนกลับทางนั้น
พอกลับมาถึง Lucerne เราก็แวะมากินข้าวเย็นกันก่อน เพราะหิวแล้ว มื้อนี้เราจัดอาหารไทยเลยย ชื่อร้านว่า “พริกไทย” อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ Lucerne เลย สำหรับราคาอาหารของที่นี่โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 20-30 CHF ซะส่วนใหญ่ เราสั่งทั้งต้มยำกุ้ง ยำทะเล ละก็กะเพราครับ แต่ละจานก็ใหญ่พอสมควร กินเกลี้ยง จุใจเลยครับ
อิ่มท้องกันแล้ว เราก็มีแรงเที่ยวต่อแล้ว เราเดินกลับมาทางสถานีรถไฟทางเดิมเลย เพื่อไปยัง Chapel Bridge นั้นเอง สะพานนี้ก็เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง Lucerne ใครมาก็ต้องห้ามพลาด ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง
ตลอดแนวสะพานก็จะประดับด้วยภาพเขียนที่บอกเล่าเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำหรับหอคอยตรงนี้ เมื่อก่อนเคยใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ และเก็บเอกสาร รวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้ด้วย
ส่วนตัวสะพานจะมีความยาวประมาณ 204 เมตร และทอดยาวผ่านแม่น้ำรอยส์ เมื่อเดินอยู่บนสะพานจะสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่ ความขลัง และสวยงามไปพร้อมกันเลยหละครับ
ฝั่งตรงข้ามนี้ก็จะเป็นย่าน Old Town ของเมือง Lucerne ครับ จะเห้นว่าบรรยากาศวันนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไร เพราะว่าเป็นวันอาทิตย์นั้นเอง
ดื่มด่ำกับ Chapel Bridge กันเรียบร้อย ต่อมาเราก็จะเดินทางไปอนุเสาวรีย์สิงโตครับ โดยเราก็จะนั่งรถบัสสาย 1 หรือ 19 จากหน้าสะพานเลย นั่งไปประมาณ 7 นาที เราก็ลงที่ป้าย Löwenplatz แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 3 นาทีก็ถึงแล้ว
มาถึงแล้ว อนุเสาวรีย์สิงโต แต่ข่าวร้ายคือมันกำลังปิดปรับปรุงนี้สิครับ มองแทบจะไม่เห็นสิงโตเลย เสียดายมาก
สำหรับประวัติคร่าวๆของอนุเสาวรีย์นี้ ก็สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารสวิสผู้กล้าหาญที่เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ป้องกันพระราชวัง ในคราวปฏิวัติใหญ่ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทหารส่วนใหญ่เป็นชาวลูเซิร์น ตัวสิงโตสื่อถึงทหารกล้าที่เสียชีวิตไป ส่วนบนหัวจะมีโล่ที่มีสัญลักษณ์ของสวิสเซอร์แลนด์ และมีหอกปักอยู่กลางหลัง สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดโศกเศร้า
จบวันของเราแล้วครับ หลังจากผิดหวังเล็กน้อยกับเจ้าสิงโตไป เราก็เลยกลับมาพักผ่อนกันที่โรงแรมแล้ว ตรงนี้เป็นบรรยากาศใกล้ๆโรงแรมเราเอง เขาด้านหลังคือ Pilatus ที่เราไปมาวันที่ 2 นั้นเอง ส่วนวันพรุ่งนี้เราก็จะเดินทางไป Interlaken แล้ว ฝากติดตามต่อด้วยนะคร้าบบบบ
โฆษณา