ออกจากเซฟโซนของตัวเอง : ย้อนเวลาตามรอยหนังสุขสันต์วันโสด สู่บ้านแห่งความคิดถึง

#การเดินทางย้อนเวลาEp.1 #ขับมอเตอร์ไซค์เที่ยว
8
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ3ปีก่อน หลายๆคนอาจจะเคยได้ยิน หรือเคยได้ดูหนังเรื่องนึง ที่เล่าเรื่องการเดินทางของหญิงสาวคนนึงที่ผิดหวังจากความรัก จนต้องออกเดินทางไปพักยังโฮมสเตย์เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง จนได้พบกับชายหนุ่มผู้ที่เข้ามาเยียวยารักษาแผลใจ ชายหนุ่มก็ได้พาหญิงสาวรายนั้นไปยังโฮมสเตย์เล็กๆ บนหมู่บ้านที่ห่างไกลความวุ่นวายของผู้คน หมู่บ้านเล็กๆที่สงบ แห่งหนึ่งในอำเภอกัลยาณิวัฒนา เป็นโฮมสเตย์ที่เปรียบกับสถานที่บำบัดเยียวยาจิตใจของผู้ที่ "พัง" สำหรับใครหลายๆคน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้
หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องโลว์ซีซั่นจบ ก็ได้เกิดคำถามขึ้นมาว่า สถานที่ถ่ายทำของหนังคือที่ไหน สวยดี พอหาข้อมูลเพิ่มเติมทำให้ได้รู้ว่าโฮมสเตย์ในหนังมีอยู่จริงๆ ซึ่งก็มีชื่อว่า Doolaylay : บ้านแห่งความคิดถึง เป็นโฮมสเตย์ที่แตกต่างออกไปจากโฮมสเตย์ที่เราเคยรู้จัก ที่ดูเลเลเป็นบ้านที่เป็นเหมือนบ้านจริงๆ เป็นโฮมสเตย์ที่ออกแบบกิจกรรมให้ทุกคนมีส่วนร่วมด้วยกัน ทำความรู้จักกัน พาคนแปลกหน้ามาเจอเพื่อนใหม่ เป็นโฮมสเตย์ที่ไม่เหมาะกับคนต้องการความสะดวกสบาย เพราะเคยมีคนพูดไว้ว่า
ถ้าคิดจะพัก อย่าทักดูเลเล
พี่โอห์มไม่ได้กล่าวเอาไว้
การเดินทางสู่เชียงใหม่ด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจ
หลังจากจองได้ก็เริ่มออกเดินทาง จุดเริ่มต้นของการเดินทางในตอนนั้นคือ เดินทางจากจังหวัดอุดรธานี เริ่มออกเดินทางในตอนกลางคืน เพื่อที่จะให้ถึงดูเลเลก่อนค่ำ จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆได้ทัน ระหว่างทางก็จอดงีบพักสมองแล้วก็เดินทางต่อ
วิวระหว่างทางสวยงามเสมอ
ระหว่างที่ขับไปก็เจอฝนตลอดทาง แต่เตรียมชุดกันฝนมาอย่างดี เลยทำให้ไม่กลัวฝน แต่ก็ขับด้วยความระมัดระวังเพราะถนนลื่น ขับไปมองวิวข้างทางไป เข้าเขตภาคเหนือก็จะเจอภูเขาสีเขียวเต็มไปหมด ใจฟูหายเหนื่อเลยทีเดียวเชียว
เข้าเขตจังหวัดลำปาง
หนึ่งในความเหนื่อยล้าก็คือขับให้ข้ามจังหวัดลำปางนี่แหละ จะยาวไปไหน555 อารมณ์เดียวกับข้ามประจวบนั่นแหละฮะท่านผู้ชม
นอกจากจุดหมายปลายทาง ระหว่างทางก็มีเรื่องราวให้จดจำ
ขับไป จอดรถถ่ายรูปไป สวยแบบนี้ใครล่ะจะอดใจไหว
ป้ายนำทาง
พอเห็นป้ายโตๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ Google map นำทางแล้ว
หมอกฝนบนยอดเขา
ระหว่างทางที่ทำให้ใจฟูมากอย่างนึงก็คือ หมอกฝนบนยอดเขา ขับไปจอดถ่ายรูปไป เมื่อไหร่จะถึง ข้อดีอย่างหนึ่งของการเดินทางคนเดียว คือจะจอดถ่ายรูปเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ไม่มีใครมาเร่ง
ป่าสนบนทางภูเขา
พอเริ่มเห็นต้นสนแล้ว ก็เริ่มบ่งบอกได้แล้วว่าเราได้เดินทางสู่พื้นที่ที่มีความสูงในระดับนึง โฮมสเตย์ในหลายๆที่ ที่ผู้คนผิดหวังจากความรักมักจะมาใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง โฮมสเตย์ประเภทนี้จะสร้างขึ้นในพื้นที่ใกล้กับป่าสน เพราะมีที่มาจากวลีที่ว่า
ใครไม่สน แต่ต้นสนนะ
ผ่ามมม
หมู่บ้านในหุบเขา
ระหว่างทางในเขตอำเภอกัลยาจะเห็นวิวหมู่บ้านในหุบเขาสวยๆตลอดทาง จนต้องจอดแวะชมความงาม
ศาลเล็กๆข้างทาง
ก่อนจะถึงหมู่บ้านแม่แดดน้อย ที่เป็นที่ตั้งของดูเลเล ระหว่างทางฝนตกมาเรื่อยๆ มีทั้งลม ทั้งฝน ทำให้เกิดหมอกฝนสีขาวปกคลุมไปทั่ว บางครั้งจนมองไม่เห็นอะไร สีขาวเต็มไปหมด แต่สดชื่นมาก
วิวข้างทาง
หมอกเยอะจนเลนส์กล้องมือถือมีสภาพเป็นอย่างที่เห็น
ผู้ประสบภัย เอ้ย นักเดินทาง
เมื่อขับมาถึงจุดนึงแล้วสัญญาณมือถือหายไป แล้วก็อุทานขึ้นมาอย่างสุภาพว่า ขุ่นพระ! แล้วตรูจะไปที่พักถูกไหมเนี่ย อินเตอร์เน็ตไม่มี ค้นหาใน Googlemap ไม่ได้ ตอนปักหมุดมาก็เป็นหมู่บ้าน โดยปกติแล้วคนที่ขับรถมาเองพี่โอห์มจะส่งโลมาให้ทีหลัง เอ้ยโลเคชั่น ไม่รู้ว่าส่งให้มาหรือยัง แต่เน็ตไม่มีดูไม่ได้ เอาไงต่อดีล่ะทีนี้
นาบนยอดเขา
ระหว่างที่ยังงงกับว่าจะไปยังไงต่อ ก็เหลือบไปดูอีกฝั่ง สวยไม่ไหว จนต้องคว้ามือถือมาถ่ายอีกแล้ว แต่ด้วยที่มาถึงหมู่บ้านแล้วก็เบาใจ ค่อยถามชาวบ้านเอาก็ได้ แต่ความจริงแล้วที่จุดที่จอดรถถ่ายรูปนั่นแหละคือทางขึ้นดูเลเล เพราะว่ามีรถเหลืองมาจอดตรงนั้นพอดีแล้วมีคนลง 2 คน เป็นพี่ผู้ชายสองคน เราก็เลยถามไปว่า ขอโทษนะครับมันคือทางขึ้นไปไหนนะครับ พี่คนนึงก็เลยตอบมาว่า ดูเลเลครับ แล้วก็เดินหิ้วกระเป่าขึ้นไป เราก็เลยสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ขับตามขึ้นไป
ลานกองไฟแห่งดูเลเล
หลังจากที่ขับตามพี่สองคนขึ้นมาทีแรก พี่ๆเขาก็บอกว่า พี่ต้องจองก่อนนะครับ ที่นี่เขาไม่รับลูกค้า walk-in ก็เลยตอบกลับไปว่าจองแล้วครับ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าหนึ่งในนี้คือศิลปินที่ตอนนั้นคนอาจจะยังไม่รู้จักมากนัก แต่ปัจจุบันหลายๆคนน่าจะได้ฟังผ่านหูไม่มากก็น้อย ขออุบไว้ก่อน แล้วก็ขับมาถึงดูเลเลซักที มาถึงก็รายงานตัวกับพี่โอห์ม พี่โอห์มก็ให้วางกระเป๋านั่งพักก่อนรอให้เพื่อนมาครบเดี๋ยวไปนาขั้นบันไดด้วยกัน แขกคนแรกที่เจอก็เป็นพี่ที่มาจากสระบุรี หลังจากดูเลเลก็นับถือเป็นพี่ ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่อื่นด้วยกันอีก
กระท่อมในตำนานแห่งบ้านดูเลเล
ระหว่างนั่งรอก็ถ่ายรูปไปเรื่อย หนึ่งในซิกเนเจอร์ของบ้านดูเลเลก็กระท่อมหลังนี้แหละ ซึ่งมารู้ทีหลังเพราะพี่โอห์มบอกว่า มีคนนึงมาพักอยู่ 4 วันแล้ว ไม่ยอมมาคุยกับใคร กินแค่ข้าวก็กลับไป ไม่รู้พังอะไรมา พอเจอพี่เขาตอนมาตักข้าวก็ไม่คุยจริงๆนะ แค่ยิ้มทักทายเป็นมารยาท เรื่องส่วนตัว ความสบายใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าพังมาจริงๆ ก็คงต้องใช้เวลาในการรักษาเยียวยากจากธรรมชาติ ที่เขาว่ากันว่า ธรรมชาติบำบัด
โคมไฟนำทางสว่าง
สว่างกว่าอนาคตของผมก็โคมไฟของที่นี่แหละครับ
น้องส้มคันเก่งของบ้าน
พอทุกคนอยู่ครบก็พากันขึ้นน้องส้ม จำไม่ได้ว่าเขาเรียกชื่อว่าอะไรน้องส้มหรือลุงส้ม หรืออะไร 3 ปีแล้ว ลืม55555 นั่งหน้า นั่งหลังตามที่สะดวก
นาขั้นบันไดสุดเขียวขจี
และแล้วก็มาถึง นาขั้นบันไดของหมู่บ้านแม่แดดน้อย ทางที่ไปจะไปทางบ้านห้วยปู พอไปถึงก็แยกย้ายชมความงามของนาขั้นบันได ถ่ายรูปตามตามมุมถนัดของตัวเอง ส่วนพี่โอห์มก็ขึ้นไปถ่ายรูปจากมุมสูงให้ทุกคน ส่วนตัวผู้เขียนขอหลบมุม ไม่อยากมีภาพขึ้นเพจกลัวโดนแม่ว่าหนีเที่ยวบ่อย5555 ก็เลยได้ภาพนี้มา
นาขั้นบันไดกับหนุ่มสาวชาวดูเลเล
พอภาพนี้ลงเพจไป ก็มีคนมาแซวตอบกลับว่าพวกเขาเป็นคนไปดำนา แต่คนได้รูปสวยๆคือกรุ๊ปนี้ 5555
ลานกิจกรรมแห่งบ้านดูเลเล
พอกลับมาจากนาก็กลับมาอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็มานั่งเล่นลานกิจกรรมของบ้าน บางคนก็นั่งร้องเพลงกับพี่โอห์ม บางคนก็นั่งชิลล์กับบรรยากาศรอบๆ รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย
วิวภูเขามองจากระเบียงบ้าน
นี่ก็เป็นหนึ่งในวิวภูเขารอบๆตัวบ้าน มองไปทางไหนเจอแต่ภูเขาเต็มไปหมด ดีงามจริงๆ
ครัวและบาร์กาแฟ
ด้านในครัวก็เตรียมอาหารรอทุกคน ข้างนอกก็นั่งร้องเพลงรอด้วยความหิวโหย
กระท่อมยามค่ำ
พอตกค่ำสีฟ้าก็เริ่มเปลี่ยน สีของต้นหญ้าก็เริ่มมีแสงสีส้มมาตกกระทบ สวยไปอีกแบบ
แสงของลานกิจกรรมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังจากร่วมทานข้าวเย็น เก็บจานไปล้าง ทำอะไรเสร็จก็เริ่มทยอยกันมายังลานกองไฟ บางคนก็นั่งจิบเครื่องดื่มมองวิวเพลินๆ บางคนก็นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ
กองไฟแห่งความอบอุ่นได้ถูกจุดขึ้นแล้ว
พอทุกคนมาพร้อมหน้า ก็เริ่มจุดกองไฟขึ้น ความสนุกกำลังก่อตัวขึ้นแล้ว
ทุกคนขยับมานั่งข้างกองไฟกันแล้ว
เมื่อจุดไฟแล้วทุกคนก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้กอง นั่งล้อมรอบกองไฟอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เครื่องดนตรีประเภทสายก็นำมาเตรียมบรรเลงเพลงในค่ำคืนนี้แล้ว
ห้องพักอีกหลังในยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ
แต่ดันใดนั้น สิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด ก็ได้เกิดขึ้น !
เวลคัมดริ๊งของดูเลเล
นั่นแหละฮะท่านผู้ชม ฝนตก !!!
ต้องมูฟเข้าใต้ถุนบ้านอย่างเร่งด่วน เพราะฝนตกหนักจนกองไฟไม่สามารถต้านทานความชุ่มเย็นของสายฝนได้ เมื่อเข้ามาข้างในทุกคนอยู่พร้อมหน้า บทเพลงก็เริ่มดังขึ้น เสียงถูกขับขานโดยศิลปินคนที่พูดถึงไว้ก่อนหน้านี้ เขาคนนั้นคือ คือ คือใครนะ ลืมแล้ว หยอกกก ศิลปินท่านนั้นคือ ปัง ตันเต๊ก : PUNG TANTEK ศิลปินแนวเพลงอินดี้ ถือว่าเป็นความโชคดีของแขกที่พักในวันนั้นหลายต่อ นอกจากจะมีนักร้องในคราบเภสัชกรมาร้องเพลงเพราะให้ฟังแล้ว พี่โอห์มยังใจดีเลี้ยงน้ำผลไม้อย่างบ๊วยดองอีกด้วย ดีงามมากก
หมอกยามเช้าที่ดูเลเล
หลังจากที่ได้ดื่มน้ำบ๊วยดอง ของฟรีที่พี่โอห์มเลี้ยงขอบคุณพี่ปังแล้ว ฟังเพลง ร้องเพลงได้ที่แล้ว ก็แอบหนีไปนอน เพราะไม่ไหวจริงๆ555 ตื่นมาตี4-5 ยังได้ยินเสียงเพลงอยู่เลย อย่างที่เขาบอกจริงๆ คิดจะพักอย่าทักดูเลเล 5555 ภาพตัดมาอีกทีก็สว่าง ตื่นเช้ามาเป็นคนแรกๆ เพราะหนีมานอนก่อนชาวบ้านเขา ตื่นเช้ามาก็อย่างที่เห็น หมอกคลุมทั่วโฮมสเตย์ เป็นเช้าที่สดใสดีจริงๆ ไม่ต้องขับรถออกไปไหนเพื่อดูหมอก
หมอกปกคลุม
ว่าแล้วก็ถ่ายรูปซักหน่อย หิ้วขาตั้งกล้องไปทั้งที
หมอกฝนกลืนหมู่บ้าน
โลว์ซีซั่น = กรีนซีซั่น
ก่อนหน้านี้ใครหลายคนยกให้หน้าฝนเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เป็นช่วงที่ไม่เหมาะการท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันมุมมองหลายคนเปลี่ยนไป จากโลว์ซีซั่นกลายเป็นกรีนซีซั่น ซีซั่นที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกไปดูป่า ดูภูเขา มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด มีหมอกฝนเข้าเติมแต่งให้สวยงามและสดชื่นขึ้นไปอีก
หมู่บ้านแม่แดดน้อย
จากระเบียงดูเลเลก็จะเห็นหมอกฝนที่ปกคลุมหมู่บ้าน สดชื่นจริงๆ
ห้องพักสำหรับผู้หญิง
ก่อนกลับก็แอบขอเข้าไปถ่ายอีกห้องให้ดูเขานอนกันยังไง
หนึ่งในความผิดพลาดก็คือการเลือกพักแค่คืนเดียว ทั้งที่พี่โอห์มให้สิทธิ์พักต่ออีก 1 คืน แต่ตอนนั้นจองที่พักที่ปายไว้แล้ว เลยต้องไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งนึงเลยชีวิตเลย อย่างแรกคือ การมาดูเลเลควรพักอย่างน้อย 2 คืน เพราะมาแค่คืนเดียวมันไม่พอ การพักคืนแรกเป็นการทำความรู้จักกัน ละลายพฤติกรรมกรรม พอได้เริ่มรู้จักกัน การออไปเที่ยวในวันถัดไป ทำกิจกรรมอื่น ความสนุกมันจะต่างจากการที่คนพึ่งได้มาเจอกันแล้วไปเที่ยวด้วยกัน ถ้าใครสนใจจะไป ควรจองอย่างน้อย 2 วัน หรือถ้าติดลม 2 วันอาจจะไม่พอ555
ขาดรถเหลือง
ผลของความผิดพลาดในวันนั้นอีกเรื่องคือ หลังจากออกมาจากบ้านในช่วงสายๆ ตอนบ่ายของวันนั้น กองทัพศิลปินก็แห่เข้ามาพักที่ดูเลเล ไม่ว่าจะเป็นเขียนไขและวานิช วรินทร์ ต่าย อภิรมย์ และคนอื่นๆ อีกหลายคน เสียดายมาก ถ้ารู้แบบนี้อยู่ต่อแล้ว มารู้จากไอจีของเพื่อนที่อยู่ต่อ แต้มบุญไม่มีจริงๆ ชอบทุกคนที่มาเลย
หลังจากออกมาจากบ้าน ก็ชวนกันไปเที่ยวต่อ ทั้งคนที่พักต่อละคนที่กลับ ชวนกันขับรถไปที่ป่าสนวัดจันทร์ มาถึงก็เดินเล่นถ่ายรูปตามอัธยาศัย จนมาถึงจุดนี้ จุดถ่ายรูปปกของหนังเรื่องนี้ คนครบแล้วขาดรถเหลือง555
บ้านเอเฟรมที่พักของป่าสนวัดจันทร์
เจ้าหน้าที่ที่นี่บอกว่าอยากจะให้ช่วยฝากประชาสัมพันธ์ให้คนมาพักกันเยอะ ที่นี่มีบ้านพักรับรองมากกว่า 20 กว่าหลัง ลานกางเต็นท์ ใครอยากหาที่พักบรรยกาศดีๆแนะนำที่นี่เลยครับ ยิ่งหน้าหนาวอ่างเก็บน้ำที่นี่จะหมอกขึ้นมาเหมือนที่ปางอุ๋งเลย
ท้องฟ้ากับป่าสน
คาเฟ่
นอกจากกาแฟแล้วยังมีของฝากที่ระลึกด้วยนะ
อ่างเก็บน้ำป่าสนวัดจันทร์
แก๊งสาวๆแห่งบ้านดูเลเล *(PDPA)
แก๊งหนุ่มๆแห่งบ้านดูเลเล *(PDPA) เว้นพี่ปังคนนึงเพราะเป็นบุคคลสาธารณะ555
หลังจากถ่ายรูปร่วมกันแล้ว ก่อนจากกันก็บอกลากัน เป็นการเดินทางที่พาเราไปพบเจอมิตรภาพที่ดี พาเราออกจากเซฟโซนของตัวเอง เปลี่ยนจากการเดินทางคนเดียวมาเป็นการมารู้จักคนใหม่ๆ ทำอะไรที่ไม่เคยทำกับคนใหม่ๆ เป็นประสบการณ์ที่พอนึกย้อนกลับไปยังคิดถึง คิดถึงทุกอย่างที่นั่น สมกับเป็นบ้านแห่งความคิดถึงจริงๆ ยิ่งเขียนไปยิ่งคิดถึงจนจะต้องหาวันกลับไปจองอีก ก่อนจากกันพี่โอห์มพูดขึ้นมาว่า ในทุกๆวัน พี่ต้องพูดบอกลากับทุกคน มันเป็นคำที่พูดแล้วรู้สึกใจหายที่ต้องจากกัน ขอเปลี่ยนเป็นคำว่า "แล้วเจอกันใหม่"
บทสรุปของการเดินทางในครั้งนี้ คือเป็นการเดินทางครั้งใหม่ ก้าวออกจากเซฟโซนของตัวเอง จากเดินทางคนเดียวมาหลายปี เปลี่ยนเป็นมาลองเจอคนใหม่ๆ ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายที่น่าจดจำ ที่พอนึกย้อนกลับไปก็คิดถึงทุกครั้ง จนเมื่อปีที่แล้วได้กลับไปบ้านหลังนี้อีก จนพี่โอห์มมีน้องตัวน้อย ไว้เดี๋ยวเล่าให้ฟังในep. ถัดไป ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงจนตอนนี้ ถ้าชอบก็รบกวนฝากแชร์ต่อให้กับคนที่ชอบอ่านบทความแบบนี้ ให้มาอ่านด้วยกัน แล้วเจอกันใหม่ ในการเดินทางย้อนเวลา ep.ถัดไป สวัสดีครับ
โฆษณา