Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พูดคนเดียวกับฉัน
•
ติดตาม
4 ส.ค. 2023 เวลา 17:15 • การศึกษา
รีวิวการทำงานที่เคยทำตั้งแต่เด็กจนโต
#รีวิวทำงาน #ครู #รีวิวประสบการณ์ เราช่วยงานที่บ้านตั้งแต่เด็กตั้งแต่จำความได้ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านปลูกต้นมะลิ เราจะช่วยแม่เก็บมะลิไปร้อยพวงมาลัย บางครั้งก็ไปขายกับแม่ที่ตลาด เดินขายไม่มีหน้าร้าน แม่ตื่นเช้ามากในแต่ละวัน แม่เป็นคนที่ขยันมาก ซึ่งเราไม่เคยเห็นแม่หยุดทำงานเลยสักครั้ง ไม่มีวันหยุดทำทุกวัน
พอเราขึ้นมาอยู่กรุงเทพก็ขึ้นมาทั้งครอบครัวตอนที่เราอยู่ ป.3 เราช่วยแม่ขายเสื้อผ้า รองเท้า จากนั้นพี่ชายก็เปิดร้านขายเสื้อยืด หลังเลิกเรียน เราจะมาช่วยพี่เฝ้าร้านทุกวัน จนถึง ตอน ม.5-6 เราเห็นว่าปิดเทอมยาว อยากลองไปทำงานในห้างดู
งานแรกคือ พนักงานขายโดนัท ทำได้ประมาณ 4 เดือนก็ออก เพราะขี้เกียจ 5555 จากนั้นก็กลับไปช่วยแม่ พอ ม.6 เราไปทำงานร้าน บาร์บีคิว พลาซ่า ทำได้แค่ 6 วัน เพราะถาดที่เอาไปเสิร์ฟมันหนักมาก ทำหล่นใส่ลูกค้า เราเป็นเด็กอายมากก็เลยลาออกวันนั้น กลับมาช่วยแม่เหมือนเดิม จากนั้นก็ลองไปสมัครพนักงานสเวนเซ่นส์เพราะเห็นชุดมันน่ารักดีเลยไปทำ ทำได้ 4-5 เดือนออก เพราะหัวหน้างานทะลึ่ง และพูดจาไม่ดี ด่าเราโง่ เราเลยร้องไห้และลาออกวันนั้นเลย เด็กอ่ะเนอะจิตใจบอบบาง
จากนั้นถึงมหาลัยช่วยแม่ขายของเหมือนเดิม ไปขายน้ำที่ตลาดเจเจกรีนได้ 2-3 วัน ก็เลิกเพราะขี้เกียจเดินทางไกลและแบกของเยอะ กลับมาช่วยแม่เหมือนเดิม
จนเรียนจบอยากไปหาประสบการณ์ดูแลชีวิตตัวเองเลยสมัครงานไกลๆบ้าน อยู่คนเดียวมาสามปี เราทำงานเป็นครูสอนอนุบาล โรงเรียนแรกเป็นโรงเรียนสองภาษาเพื่อนร่วมงานน่ารักมาก ๆ แต่หัวหน้าต่างชาติไม่ค่อยดี และเราเป็นคนหัวแข็ง พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่งตอนนั้นก็ยังโต้แย้งได้ 55555 และด้วยความที่เราเป็นเด็ก เราไม่เคยต้องมาทำงานพูดคุยเข้าสังคมทำให้เราต้องปรับตัวอย่างหนักในการเข้าหาผู้ปกครอง
เราไม่ค่อยอยากพูดคุยกับผู้ปกครองเพราะเราเป็นคนพูดห้วนๆเลยไม่พูดดีกว่า พอไม่พูดก็มีปัญหา และผู้ปกครองอยากให้มีไลน์กลุ่ม ทั้งๆที่โรงเรียนไม่ให้มี แต่เค้าแค่อยากดูรูปลูกๆของเค้า
เราเลยสร้างไลน์กลุ่มเพื่อส่งรูปอย่างเดียว จากนั้นมีผู้ปกครองคนนึงร้องเรียนบ่อยและเยอะมาก และเราในตอนนั้นก็มีความเป็นเด็กและความอดทนต่ำ เลยโต้ตอบไปไม่กี่คำ เรารู้เลยเค้าไม่พอใจ เราเป็นคนพูดตรงนี้แหละสาเหตุที่ไม่คุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่พึ่งรู้จัก ผู้ปกครองก็รายงานเรา บลาๆ ให้ประธานฟัง ประธานก็เข้าข้างผู้ปกครอง
เราเลยโดนเชิญออกแบบ งง ๆ แต่เราก็เอากฎหมายแรงงานสู้ เลยได้เงินเดือนฟรีมา 2 เดือน จากนั้นโรงเรียนก็ทำสัญญาใหม่ เพราะเราคนเดียว 555555555555
โรงเรียนที่สองทำมาสองปี เป็นโรงเรียนที่ประชุมเก่งมาก ประชุมนานพูดไปเรื่อย เพื่อนร่วมงานบางคนก็ดี บางคนก็งูพิษ โรงเรียนนี้ทำเราเป็นโรคเกี่ยวกับอารมณ์ ฟ้องกันเก่งมากอันดับหนึ่ง เราจบครูอนุบาลให้เราไปสอนประถม
เราปฎิเสธก็หาว่าเราไม่ฉลาดทำไมแค่นี้สอนไม่ได้ สรุปก็ต้องไปสอนปรับตัวไปพักนึง สอนเกือบทุกวิชา มีเวลาพักแค่ 1 ชั่วโมง สุดมาก ผอตรรกะป่วยมาก แล้วครูรรนี้เวลาคุยกันชอบใช้อารมณ์ตะโกน ตอนแรกไม่ชินเลยรู้สึกไม่ชอบ เราเป็นคนไม่ค่อยดุเด็ก แต่มีครูคนนึงจะมาบ่นบ่อย ๆ ว่าเด็กห้องเราดื้อเด็กห้องเราซนน้องต้องดุบ้างนะ จนเราประสาทเสียไปดุเด็กตามที่เค้าพูดเพราะเค้าจะได้เลิกพูดสักที
เรารำคาญเราซึมซับนิสัยตะโกนดุเด็กจากโรงเรียนนี้ เสียสุขภาพจิตมาก ถึงเค้าบอกอยู่สังคมแบบไหนก็จะได้นิสัยนั้น พอลาออกก็มีเงื่อนไขมากมาย จะไม่จ่ายเงินเดือนสุดท้าย แต่ทำไรเราไม่ได้เราเป็นคนที่รอบคอบสุด ๆ ทำงานทุกอย่างเสร็จก่อนเวลากำหนด จริง ๆ จะลาออกตั้งแต่ปีแรก แต่ทนมา สองปี สุดปัง ประสาทเสียจนต้องหาหมอจิตเวชกินยา
เราเคยเป็นแพนิคที่โรงเรียน ก็มีคนพูดว่าเราแกล้งทำ ตอนนั้นอยากรี๊ดใส่หน้าคนพูดมากๆ แต่ก็หนีไปร้องไห้คนเดียว ร้องไห้บ่อยมาก เพราะสติพังหมดแล้ว แม่บอกให้ลาออกไปเลย แต่เราอดทนเพราะห่วงเด็กในชั้นเรียน อดทนจนถึงปลายเทอมสอง แข็งแกร่งสุด ๆ มีเรื่องเยอะมากจากรรนี้เป็นพิษสุดๆเรารู้เลยเราไม่เหมาะกับสังคมแบบนี้ ยี๋การเป็นครูโรงเรียนไทยไปเลย ไม่คิดที่จะสมัครงานในโรงเรียนไทยเพราะเข็ด
พอลาออกเราพักทำงานปี นึงเพื่อรักษาตัวเองไม่อยากไปทำงานแล้วประสาทเสียใส่คนอื่น มีความรับผิดชอบต่อสังคม หยุดปีนึงไปอยู่กับแม่ที่ตจว อยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเลย
จากนั้นก็สมัครงานเป็นฟรีแลนด์เขียนบทความต่างๆให้กับเว็บไซด์และทำงาน dropship กับให้เช่าพื้นที่ขายของหน้าบ้าน ได้เงินพออยู่ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงิน จนเริ่มเบื่อและรู้สึกว่าตัวเองกลับมาเป็นคนปกติแล้วเลยกลับมากรุงเทพ
สมัครงานเยอะมาก และเลือกงานด้วย ไปสัมภาษณ์เค้ารับเกือบทุกที่ แต่เราปฎิเสธเพราะเราดูสังคมในที่ทำงานดูจากที่เค้าถาม จากที่เค้าตอบคำถามของเรา
ไปสัมภาษณ์งานคือไม่ใช่แค่เค้าสัมภาษณ์เรา เราก็สัมภาษณ์เค้าดูเชิง ถามทุกอย่างละเอียดยิบ เลือกงานที่ใกล้บ้าน และสังคม เวลาทำงาน เงินเดือนเหมาะสมไหมกับวันนึงที่เสียไปคิดหมด
จนมาเจองานปัจจุบันสัมภาษณ์เป็นโรงเรียนนานาชาติแล้วชอบมาก ส่งอีเมล์ไปถามเค้าทุกวันเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ จะว่าตื้อก็ได้เพราะอยากทำที่นี่จริงๆ ใกล้บ้าน สภาพสังคมเพื่อนร่วมงานน่ารัก งานเอกสารน้อย มีเวลาไปทำอย่างอื่น
เราเอาเวลาที่เลิกงานเสร็จไปยิม ไปหาความรู้ หาช่องทางหาเงินอื่น ๆ ศึกษาไปเรื่อย ๆ ลองผิดลองถูก แต่มีความสุขมาก งานเสริมล่าสุดคือวาดรูปส่งขายในเว็บ และถ่ายรูปส่งขายในเว็บ งานเขียนบทความที่รับบ้างไม่รับบ้าง ขายน้ำผลไม้หน้าบ้านในวันหยุดยาว เอาเงินไปลงทุนในหุ้น(แต่อยู่ในช่วงศึกษา) เป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์(อยู่ในช่วงศึกษา)
เราเคยเห็นคนรับสมัครงาน 8.00-22.00 ได้เงิน 700 คือรับไม่ได้มาก ๆ ไม่ใช่แค่เสียเวลาไป 1 วันกับเงินแค่ 700 บาท แต่จะเสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตในอนาคต และคนก็จะมาบ่นว่าเงินไม่พอใช้ เรียนเถอะ หาความรู้ให้เป็นต้นทุน ลงทุนซื้อหนังสือมาอ่านศึกษา คิดเยอะ ๆ ลองผิดลองถูกอย่าจมกับงานเดียว เพราะเราจะไม่มีสิทธิ์ ก้าวหน้าเลย
ถ้าเราติดอยู่ใน comfort zone ที่สังคมเราสอนให้เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ถึงแม้เราจะผิดพลาดก็ดีกว่าเราปล่อยเวลาไปกับสิ่ง ๆ นึงที่ได้ผลตอบแทนอันน้อยนิด เวลามันผ่านไปทุกวัน อยากทำอะไรให้ลงมือทำเลย คนเราจะเรียนรู้จากการลงมือทำมากกว่าการคิดทฤษฎี ถ้ามันผิดพลาดก็ถือว่าเราได้เรียนรู้ ไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย