5 ส.ค. 2023 เวลา 08:55 • ข่าว

ชวนย้อนเส้นทาง “จอมแฉ” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว...

นับเป็นเรื่องที่ช็อกผู้คนที่ติดตามข่าวสารการเมืองเป็นอย่างมาก เมื่อ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพิ่งออกมาเปิดเผยว่า เขาเหลือเวลาในชีวิตอีกเพียง 8 เดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับ และจากนี้ไป เขาขอทำประโยชน์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
สำหรับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพิ่งเผยถึงอาการป่วยโรคมะเร็งตับว่า ในระยะเวลา 8 เดือนที่ เขาจะมีชีวิตอยู่นั้น
มันจะเป็น 8 เดือนที่ อดีตนักการเมืองดังแห่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่งของการเมืองไทย จะใช้ชีวิตทุกๆวันให้มีความสุข ทุกๆวันจะเป็นวันที่เขาได้กำไร ทุกๆวันที่เขาอยู่ก็จะเป็นวันสุดท้ายเสมอ ใน 8 เดือนสุดท้าย
4
ทั้งนี้ ชูวิทย์ เปิดเผยว่า หมอบอกกับเขาว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งตับในระยะที่ 4 หรือก้าวเข้ามาสเต็ปที่ 4 หรือที่เรียกว่า Advanced Stage ก็คือระยะแพร่กระจายนั่นเอง มีคนแนะนำเขาเยอะมากให้ไปหาหมอคนนั้นหมอคนนี้ หรือแม้กระทั่งไปหาต่างประเทศ หรือพระสงฆ์องค์เจ้า แต่เขาก็รู้ดีว่า ไม่มีใครหนีวาระสุดท้ายได้พ้น
• ประวัติ ชีวิต ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ : จอมแฉ การเมืองไทย
สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ที่จังหวัดสกลนคร แต่เติบโตในย่านเยาวราช เป็นลูกคนสุดท้อง ในจำนวนพี่น้อง 8 คน ของนายเจริญ และนางจำเนียร กมลวิศิษฎ์ ซึ่งบิดามารดาเป็นคนจีน ครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์ยี่ห้อฮาร่า
2
เส้นทางการศึกษานั้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตามประวัติ เขาจบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนสหพาณิชย์ จบมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
3
จบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเข้าศึกษาต่อ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา
3
•เส้นทางเจ้าพ่ออ่าง (ทองคำ)
ทั้งนี้ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" เจ้าของฉายา "เจ้าพ่ออ่าง" และ อดีตนักการเมืองชื่อดังที่ภาพลักษณ์ คาแรกเตอร์ ดุดัน มุทะลุ อยู่ในวงการการเมืองไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
3
โดย ในช่วงเปลี่ยนผ่าน , หลังจากจบการศึกษา ชูวิทย์ หรือ เฮียชู เบนเข็มมาทำธุรกิจของตัวเอง เช่น สร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "วิคตอเรียซีเคร็ท" และขยายกิจการ จนเป็นเจ้าของอาบอบนวด 6 แห่ง ในเครือเดวิสกรุ๊ป และก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง
2
จากธุรกิจอาบอบนวด ที่ทำให้เขาเริ่มเกิดความขัดแย้งกับตำรวจ จากการแฉเรื่อง "ส่วย" เป็นเรื่องลับที่ไม่ลับอีกต่อไปนั้น จนได้รับฉายาว่า "เสี่ยอ่าง" หรือ จอมแฉ จนเกิดผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวด ถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ศาลสั่งยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
1
ชื่อของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในปี 2546 ณ เวลานั้นเข้าถูกสปอร์ตไลท์สาดจากทุกมุมในประเทศไทย เมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน พร้อมรถแบ็กโฮ บุกเข้ารื้อบาร์เบียร์ 60 ร้าน ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 โดยการสั่งการในครั้งนี้ คือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ต้องการขับไล่บาร์เบียร์ที่มาบุกรุกที่ดินของเขา เเละไม่ยอมย้ายออกไป โดยมีนายทหารคนดังในยุคนั้น คือ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ และ พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร กลายเป็นจำเลยร่วมไปด้วย
1
เมื่อปรากฏเป็นข่าวรื้อบาร์เบียร์ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่กี่วันต่อมา เขาก็ปรากฏตัวข้างถนน ย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยสภาพอิดโรย มีการนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นแล้ว ชูวิทย์ได้แฉว่า ถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป
4
ห้วงเวลานั้น ชูวิทย์ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะ เมื่อเขาเริ่มทำการแฉถึงพฤติกรรมการทุจริตต่าง ๆ ของตำรวจ เช่น การรีดไถ การรับส่วย จึงทำให้เป็นจุดสนใจของสังคมในระยะนั้น และมีการออกมาแฉถึงเรื่องราวการทุจริตต่าง ๆ ในสังคม
1
ทำให้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนเป็นจำนวนมาก และจากชื่อเสียงที่โด่งดังนี้ทำให้มีผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวประวัติของชูวิทย์อีกด้วย
2
• ชำแหละเส้นทางการเมือง ชูวิทย์
ทั้งนี้นายชูวิทย์ เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง ในปี 2547 หลังจาก เขา ได้ขายหุ้นในอาบอบนวดทั้งหมด แล้วลงสมัคร ผู้ว่าราชการกทม. แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนเสียงกว่าสามแสนคะแนน และได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 3 (โดยอันดับ 1 เวลานั้นคือ อภิรักษ์ โกษะโยธิน และอันดับ 2 คือ ปวีณา หงสกุล ขณะที่ คะแนนอันดับ 4 คือ เฉลิม อยู่บำรุง) ต่อมานายชูวิทย์ได้ก่อตั้งพรรคต้นตระกูลไทย พร้อมนำพรรค เข้าร่วมกับพรรคชาติไทยและรับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคชาติไทย
5
จากนั้น ชูวิทย์ ลงสมัครเลือกตั้ง สส. ในปี 2548 และได้รับเลือกเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย แต่ต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยไม่ครบ 90 วัน จึงพ้นจากความเป็น สส.
ต่อมาในปี 2549 ชูวิทย์ได้ยื่นซองขาว ลาออก หันหลังเดินคนละทางกับพรรคชาติไทย เพื่อลงสมัคร สว.กรุงเทพมหานคร แต่ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพิกถอนสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากยังไม่พ้นจากสถานะภาพ สส. ครบกำหนด 1 ปี ตามกฎหมายกำหนด
4
หลังจากนั้นนายชูวิทย์ ได้ก่อตั้งพรรครักประเทศไทย ในปี 2553 โดยมีนายชูวิทย์ เป็นหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ซึ่งมีสโลแกนหาเสียงในขณะนั้นว่า “ฉันรักคุณ” และในการเลือกตั้งปี 2554 นายชูวิทย์ได้แถลงข่าวเปิดตัวพรรค พร้อมประกาศว่าจะเป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งจากผลการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรครักประเทศไทยได้ ส.ส. เข้าสภา 4 คน
1
ตัดฉากเข้าไปในสภา , ชูวิทย์ ซึ่งอยู่ในสภาในฐานะฝ่ายค้านนั้น เป็นไปอย่างโดดเด่น ได้แสงไปเต็มๆ
1
โดยเขาได้รับหน้าที่รองประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 พร้อมทั้งมีการเปิดเผยข้อมูล บ่อนการพนัน สถานอบายมุข อันมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างมาก จนกระทั่ง ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องออกมาตอบโต้ และมีวาทะพิพาทกันในสภา จนทำให้ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็น "คู่กัดแห่งปี" ประจำปี 2555 จากสื่อมวลชน
4
จากนั้น 8 ธันวาคม 2556 ชูวิทย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวแนะให้พรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคเพื่อแสดงความจริงใจต่อประชาชน และไปช่วยสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ลาออกไปเป็นแกนนำหลักประท้วงขับไล่รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2
และหากพรรคประชาธิปัตย์ลาออกยกพรรคจริง จะลูกพรรคจะลาออกตาม และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติให้สมาชิกลาออกจากการเป็น สส.ยกพรรค ทำให้นายชูวิทย์ลาออกจากการเป็น ส.ส.ตามที่ได้พูดไว้ทันที
4
• ชูวิทย์ : ชีวิตในเรือนจำ 2 ครั้ง
ในปี 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก ชูวิทย์ ในคดีรื้อบาร์เบียร์ เมื่อปี 2546 ในข้อหาจ้างวาน ฐานทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลอื่นปราศจากเสรีภาพ โดยศาลพิพากษาให้จำคุกนายชูวิทย์ เป็นเวลา 5 ปี ลดเหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
4
และ ในการต้องถูกจองจำครั้งที่ 2 ในชีวิต คือ ในช่วงกลางปี 61 เดือนมิถุนายน , ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ สั่งจำคุก "ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์" จงใจไม่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน 2 เดือน ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี รับสารภาพลดโทษ เหลือจำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา พร้อมค้านประกันตัวส่งขังเรือนจำทันที
3
• “จอมแฉ” ที่เป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว และเวลาที่เหลืออยู่
1
ในปี 2560 นายชูวิทย์ ประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยสาบานต่อศาลเจ้าพ่อเสือเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต แต่ยังเคลื่อนไหวผ่านสื่อโซเชียลส่วนตัวอยู่เป็นระยะๆ กระทั่งในปี 2566 ชื่อของนายชูวิทย์ กลับมากลายเป็นที่สนใจอีกครั้งจากการออกมาแฉเรื่องทุนจีนสีเทา จนทำให้เกิดการตรวจสอบธุรกิจของคนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายในเวลาต่อมา
4
และในปี 2566 ช่วงที่มีการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป นายนชูวิทย์ได้ออกมาประกาศตัวต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเป็นคู่กัดกับ ภูมิใจไทย
2
และหลังจากเลือกตั้งจบ นายชูวิทย์มีบทบาทในการแฉเรื่องดีลลับทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมประกาศภารกิจ "แฉเพื่อชาติ" เป็นครั้งสุดท้าย โดยมีการเปิดเผยว่า เป็นมะเร็งตับระยะที่ 3 ซึ่งต้องทำคีโมตลอด จนหมอบอกเวลาแพร่กระจาย 8 เดือนถึงปีครึ่ง
2
โฆษณา