Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เอามาแชร์
•
ติดตาม
7 ส.ค. 2023 เวลา 15:13 • ท่องเที่ยว
华清池
ไปอาบน้ำกับพระสนมหยางกุ้ยเฟย
เช้าวันแรกที่ซีอาน อากาศมัวๆ เย็นสบายกำลังดี เช้านี้เพื่อนร่วมทริปผู้ที่อะไรก็ได้กับทุกเรื่องยกเว้นเรื่องกิน ก็เริ่มไล่ตามรูปของกินที่ต้องกินที่โฆษณาไว้ที่สนามบินซีอาน เช้าๆชาวซีอานก็จะกิน “เพ่าหมัว” หรือไม่ก็ “โร่วเจี๋ยหมัว” “หมัว” คืออาหารหลักอย่างหนึ่งของคนที่นี่ มันคือขนมปังที่ไม่ใส่ผงฟู ปั้นเป็นก้อนเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ แล้วเอาไปอบ พออบออกมาก็จะได้ “หมัว”
ถ้าจะกิน “โร่วเจี๋ยหมัว” มันก็คือแฮมเบอร์เกอร์ดีๆนี่เอง คือการเอา “หมัว” มาผ่ากลางแบบยังไม่ขาดจากกันหมด แล้วเอาเนื้อวัว,หมู,หรือแพะใส่ลงไป เท่านี้ก็ขายได้แล้ว หรือถ้าจะกิน“เพ่าหมัว” ก็คือเอาแป้งมาบิเป็นชิ้นเล็กๆ แทนที่จะปั้นเป็นก้อน แล้วค่อยเอาไปอบ พออบออกมาก็จะได้ หมัวชิ้นเล็กๆและเอาหมัวไปใช้แทนเส้นก๋วยเตี๋ยว ใส่น้ำซุป เนื้อ ผัก วุ้นเส้น แล้วก็ปรุงรส ก็จะได้ “เพ่าหมัว”
เช้าวันนี้ก็เดินไปร้านอาหารที่เปิดอยู่ใกล้ๆที่พัก เป็นร้านขายอาหารท้องถิ่นนี่แหละ แต่จัดร้านแบบKFC
ในช่วงหลายปีที่เข้าๆออกๆเมืองจีน เห็นการพัฒนาที่ชัดเจนอย่างนึงคือร้านอาหาร สมัยก่อนร้านอาหารริมทางตามห้องแถวของเมืองจีนก็เหมือนเมืองไทยนี่แหละ ดูบ้านๆแล้วก็ดูไม่ค่อยสะอาด ต่อมาเริ่มมีการเปลี่ยนรูปแบบร้านเป็นร้านสมัยใหม่แต่ขายอาหารท้องถิ่นเหมือนเดิม ทำให้รู้สึกสะอาดถูกหลักอนามัยมากขึ้น แต่เพื่อนดันบอกว่ามันดูไม่มีกลิ่นอายของความท้องถิ่น นางอยากไปร้านที่ดูเก่าๆไม่สะอาด ได้บรรยากาศมากกว่า เช้านี้แน่นอนว่าเราต้องสั่ง “โร่วเจี๋ยหมัว” แน่นอน แล้วก็กลัวไม่อิ่มเลยสั่งโจ๊กแล้วก็ “ซวนล่าเฝิ่น” อีก 1 ชาม
“ซวนล่าเฝิ่น” คือก๋วยเตี๋ยวแบบนึง น้ำซุปออกเปรี้ยวเผ็ดเล็กน้อย ใส่เส้น “เฝิ่น” คือวุ้นเส้นนี่แหละแต่ใหญ่กว่า แบบเส้นเล็กบ้านเราแต่ใหญ่กว่าหน่อยนึง ใส่เต้าหู้ ผัก เนื้ออะไรไปตามเรื่อง ที่แปลกคือใส่ถั่วลิสงเข้าไปด้วย “โร่วเจี๋ยหมัว” รสชาติงั้นๆ มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละร้านปรุงรสชาติเนื้อออกมาอร่อยขนาดไหน เพราะว่านอกจากเนื้อกับแป้งแล้ว ไม่มีอย่างอื่นเลย ผักก็ไม่มี ซอสก็ไม่มี แต่แป้งของร้านนี้อบได้อร่อยดี ด้านบนกรอบมีแตกออกมาเป็นชั้นๆ ส่วนด้านล่างก็ไม่ได้แข็ง (คือมันไม่นุ่มอยู่แล้ว เพราะมันไม่ใส่ผงฟู)
ทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปเอารถที่เช่าไว้ เนื่องจากวันนี้เราจะต้องไปวังหยางกุ้ยเฟยและสุสานทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งออกไปนอกเมืองแบบว่าต้องนั่งรถบัสเฉพาะเท่านั้น ก็เลยเช่ารถขับดีกว่า ค่าเช่ารถ 1 วันประมาณ 440 หยวน รับรถ 9 โมงเช้าวันนี้คืนรถ 9 โมงเช้าวันพรุ่งนี้ เติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนคืนรถ รถเมืองจีนเกือบทุกคันมี GPS ในตัว ก็ขับตาม GPS ไปนั่นแหละจ้า ทางไปสุสานจิ๋นซีจะต้องผ่านวังหยางกุ้ยเฟย เลยแวะที่วังก่อน
รถเมืองจีนพวงมาลัยซ้าย ดลนรถวิ่งกลับด้านกับเมืองไทยนะจ๊ะ
โดยในวังจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบนเขา กับส่วนด้านล่าง ถ้าใครจะเดินขึ้นเขาไปเองก็ไม่ว่ากัน แต่ทริปนี้ ถือคติ "กินไม่หรู อยู่ธรรมดา แต่ป้าไม่เดินจ้า" เอารถจอดไว้ที่ลานจอดรถแล้วเรียกแท็กซี่ขึ้นไปส่งที่บนเขาเลยจ้า แท็กซี่ที่นี่ก็เหมือนแท็กซี่เมืองไทยแหละ อยากได้เงินมากกว่าการไปส่งคนก็คือเป็นไกด์ด้วย พี่แท็กซี่ที่เรียกไปก็เล่าเรื่องได้สนุกมาก เรื่องจริงรึเปล่านี่ก็ไม่รู้
มีคนถามว่าทำไมไม่ขับรถขึ้นไปเอง คือทางขึ้นเขานี่ให้คนท้องถิ่นขับเถอะ อันตรายมาก มีแต่โค้งอันตราย แล้วก็มีรถสวนตลอดเวลา ถ้าไม่ชำนาญทางนี่แย่แน่ อีกอย่างวิวข้างทางระหว่างขึ้นเขาก็ออกจะสวย ถ้าขับขึ้นเองมีหวังไม่ได้มองวิวแน่ ข้างทางมีแต่ต้นทับทิม ที่นี่ขายทับทิมเป็นผลไม้ประจำท้องถิ่น ตอนแรกเข้าใจว่าหยางกุ้ยเฟยชอบกินทับทิมเลยปลูกทับทิมไว้รอบวัง แต่จริงๆแล้วเปล่า หยางกุ้ยเฟยชอบกินลิ้นจี่ ตามตำนานว่า นางชอบกินลิ้นจี่มาก ถึงขนาดฮ่องเต้มีรับส่งให้ขนลิ้นจี่จากยูนนานขึ้นมาให้หยางกุ้ยเฟยกิน
เพราะเมืองจีนปลูกลิ้นจี่ขึ้นแค่เฉพาะทางใต้ แค่ภาคกลางก็หนาวจนลิ้นจี่ปลูกไม่ขึ้นแล้ว แต่ในสมัยก่อนการคนานคมขนส่งมันไม่ได้รวดเร็วเหมือนสมัยนี้ ที่สามารถขนลิ้นจี่เมืองจีนมาขายในเมืองไทยได้ สมัยนั้นต้องใช้ม้าเร็ววิ่งส่งลิ้นจี่ เปลี่ยนม้าทุกสถานี ไม่มีการพัก เพื่อให้ลิ้นจี่ถึงปากหยางกุ้ยเฟยโดยที่ยังไม่เน่า คนจีนมีประโยคไว้แซวประมาณว่า หยางกุ้ยเฟยกินลิ้นจี่จนอ้วน ส่วนม้าวิ่งจนหมดแรงตาย
ไกด์บอกว่าพระสนมหยางกุ้ยเฟย สูง 155 เซน น้ำหนัก 60 กิโลกรัม ฮ่องเต้หลงนางมาก มานึกๆดูนางก็ไม่ได้ผอมนะ ออกจะตัวกลมๆด้วยซ้ำ นี่ถ้าเราเกิดในสมัยนั้น เราคงเป็นคนสวยมาก นิยามความงามสมัยราชวงศ์ถังคืออ้วนคือสวย ชั้นเกิดผิดยุคสินะ!!!
ในวังบนเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาก ขึ้นมาชมวิวแบบ Top view ในวังมากกว่า จากวังจะเห็นเมืองทั้งเมือง มองเห็นความเจริญที่กำลังเติบโต การขยายเมือง และการบูรณะเมืองเก่าเป็นเมืองใหม่ ในวังมีสิงโตจีน 2 ตัว เฝ้าอยู่หน้าตำหนัก ไกด์บอกว่าต้องลูบจากหัวไปถึงหาง แล้วก็ลูบจากขาหน้าขึ้นมาถึงคาง คือง่ายๆว่ามีวิธีการลูบขอพรเฉพาะ คือไกด์ไม่ต้องบอกก็พอจะเห็น เพราะสิงโตจีน 2 ตัวนี้ เงาอยู่แค่ส่วนที่คนเข้าลูบกัน ในวังมีหลายส่วน ส่วนใหญ่ก็เอาไว้เข้าไปไหวพระ มีหยกก้อนยักษ์แกะสลักอยู่ด้านหน้าด้วย
มองครั้งแรกนึกกว่าก้อนหินธรรมดา ไกด์พาเดินอ้อมไปด้านหลังของหิน มันจะมีมุมที่กระเทาะออกมา เอาไฟฉายจากมือถือส่องเข้าไป จะเห็นเนื้อหยกสีเขียวบริสุทธิ์ ไกด์เล่าว่าที่นี่เป็นแหล่งของหยกสีชมพู ภาษาจีนเรียกว่า ฟู่หรงยู่ 芙蓉玉เรียกง่ายๆว่าเป็น OTOP ของเมืองนี้เลย มีต้นไม้อะไรซักอย่างอายุร้อยกว่าปี ให้คนมาถูเพื่อขอพร สรุปในนี้อะไรก็ต้องถูไปหมด สิ่งที่ประทับใจที่สุดของที่นี่คือป้ายอักษร 4 ตัวหน้าทางเข้า มีคำว่า 尊 道 贵 德 ไกด์บอกว่า ลองคิดดูว่าถ้าในชีวิตเลือกได้แค่ 1 ใน 4 คำนี้ จะเลือกคำไหน ตอนออกมาค่อยมาตอบ
4 คำ ปรัญชา 尊 道 贵 德
พอเดินชมครบเสร็จก็กลับออกมาทางเดิม มาเจอป้ายนี้ เราก็ยืนคิดอยู่ซักพัก ก่อนจะได้คำตอบ คำตอบนั้นไม่ได้มีความหมายใดๆกับไกด์หรอก แต่มันมีความหมายสำหรับคนตอบเองนั่นแหละ ลองคิดเล่นๆว่าถ้าเป็นตัวเอง จะเลือกอะไร
尊 คือ ความนับถือ ยกย่อง คิดว่าในที่นี้หมายถือ การเป็นที่นับถือของสังคม
道 คือ การเข้าถึง ลึกซึ้ง อธิบายง่ายๆอย่างเช่น การชงชา ชงธรรมดาก็ได้ แต่ถ้าเป็น 道 หมายถึง ต้องรู้ลึกถึงแก่นแท้ของศิลปะการชงชา ในประเทศญี่ปุ่นหลายๆเรื่องพยายามที่จะพัฒนาไปให้ถึงคำว่า 道 ไม่ว่าจะเป็นการชงชา การจัดดอกไม้ การเขียนพู่กัน การวาดภาพ ฯลฯ
贵 คือ สูงส่ง มีรสนิยม ดูมีคลาส อะไรประมาณนี้
德 คือ คุณธรรม ง่ายๆคือเป็นคนดี
จริงๆ 4 คำนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก คำถามว่าจะเลือกอะไรใน 4 คำนี้ แทบจะเป็นคำถามปรัชญาเลยทีเดียว
พอจบจากวังด้านบนก็ลงมาด้านล่าง เมื่อกี้ไกด์อุตส่าห์บอกว่า OTOP ของที่นี่คือหยกชมพู ไหนๆมาถึงแล้วก็ของแวะซักหน่อย เลยให้ไกด์ที่เป็นพี่แท็กซี่นี่แหละ พาไปร้านหยก ร้านหยกที่นี่เป็นร้านของรัฐบาล เข้าใจว่าสัมปทานการทำหยกเป็นของรัฐ(คิดเอาเอง) พี่ไกด์บอกว่าไม่ต้องห่วงว่าจะได้หยกปลอม เพราะถ้าเจอว่าซื้อจากร้านนี้แล้วปลอมให้เอามาเปลี่ยนได้ (คือเอาจริงๆ เราก็ดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม) แต่ฟังไกด์พูดอย่างงี้ก็สบายใจ
เข้าไปในร้านใหญ่มาก มีหยกสารพัดชนิด เอาจริงๆแล้วเหมือนไปศึกษาหยกมากกว่าไปซื้อ เดินดูไปประมาณ 3 รอบจนคนขายขี้เกียจเดินตาม หยกที่นี่ส่วนใหญ่เป็นหยกสีชมพูจริงๆ มีตั้งแต่ชมพูอ่อนจนไปถึงชมพูเข้ม จนสีม่วง จริงๆแล้วหยกสีอื่นก็มีขายแต่ไม่มากเท่าหยกสีชมพู ถามราคาแล้วก็แพงพอสมควร แต่ไม่เท่าหยกอื่นๆที่เคยเห็น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อยากจะซื้ออะไร คือในความรู้สึก คิดว่าหยกมันต้องสีเขียวสิ หยกสีชมพูมันไม่ใช่หยกอ่ะ แต่ไหนๆมาถึงนี่แล้ว จะไม่ซื้อก็กระไรอยู่
สุดท้ายเลยได้จี้ห้อยคอไปอันนึง เป็นอันเสร็จภารกิจ จากนั้นให้พี่แท็กซี่พาไปส่งด้านหน้าวัง จ่ายค่าไกด์รวมแท็กซี่ไป 100 หยวน
วังด้านล่างเป็นสวนและโรงอาบน้ำ มีโรงอาบน้ำเต็มไปหมด เรียกว่าโรงอาบน้ำได้มันต้องใหญ่จริงๆ เค้าบอกว่าที่นี่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ เหมือนจะเป็นน้ำพุร้อนด้วย เพราะฉะนั้นที่นี่ก็จะมีอุณหภูมิพอดีๆ ไม่หนาวไม่ร้อน ตลอดปี เพราะฉะนั้นเวลาหนาวๆ หยางกุ้ยเฟยนางก็จะมาอยู่ที่นี่หลบหนาว พวกฮ่องเต้และในวังก็จะมาอาบน้ำที่นี่เหมือนกัน โรงอาบน้ำหน้าตาคล้ายๆบ่อน้ำ 4 เหลี่ยมใหญ่ๆ มีทางน้ำไหลเข้าและไหลออก มีบันไดเตี้ยๆให้คนนั่งแช่น้ำ
ขอเกิดเป็นชาวบ้าน เดี๋ยวหาน้ำอาบเอง
ฟังไกด์เล่าวิธีการอาบน้ำที่นี่แล้วอยากจะเป็นคนสามัญขึ้นมาทันที คือเค้าจะปล่อยน้ำเข้ามาที่โรงอาบน้ำของฮ่องเต้ก่อน โรงอาบน้ำของฮ่องเต้มีฮ่องเต้ใช้ได้คนเดียว จากนั้นพอฮ่องเต้อาบน้ำเสร็จ เค้าก็จะปล่อยน้ำที่ฮ่องเต้อาบไปให้แก่นางสนมและข้าราชบริพารคนอื่นๆได้อาบกัน คนไหนที่ได้น้ำอาบพระราชทานถือว่าเป็นคนโปรดหรือคนสนิท โดยน้ำก็จะถูกปล่อยลดหลั่นกันตามศักดินา ขุนนางผู้ใหญ่ก็จะได้อาบก่อน จากนั้นขุนนางผู้น้อยก็จะได้อาบต่อ ในโรงอาบน้ำแห่งนึงมีเสาไม้กลมๆไม่ใหญ่มากตั้งไว้เป็นกลุ่ม
ไกด์บอกว่า อันนั้นเอาไว้ให้พ่อครัววังหลวงขัดเท้า เพราะพ่อครัวคือคนที่ทำอาหารให้ฮ่องเต้ทาน จะเอามือมาจับเท้าตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้น สปาเท้าของเมืองจีนจึงถือกำเนิดขึ้นจากไม้ขัดเท้าของพ่อครัววังหลวงนี่แหละ
นอกจากโรงอาบน้ำแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์บัญชาการของเจียงไคเชคสมัยปฏิวัติอีกด้วย
ไกด์เล่าว่าสมัยนั้น ตามหัวเมืองต่างๆก็จะมีศูนย์บัญชาการเอาไว้ติดต่อกันหน่วยกลางเพื่อประสานงานต่างๆ เจียงไคเชคหนีมาประชุมกับผู้นำที่นี่ ก็มีคนตามมาลอบสังหาร แบบใช้สไนเปอร์ ยิงจากระยะไกลเข้ามาในห้องประชุม แต่พลาดเป้า เจียงไคเชค หนีไปได้ สุดท้าย ห้องประชุมและฐานบัญชาการนี้จึงถูกเก็บไว้และจัดทำคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ แม้แต่กระจกที่มีรูกระสุนจากการลอบสังหารวันนั้นยังอยู่เลย อันนี้เป็นอะไรที่ชอบมาก ในห้องประชุมมีแผนที่ประเทศจีนแปะอยู่ที่ผนัง มองเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในหนังยุคปฏิวัติ
ห้องประชุมผู้นำที่เจียงไคเชคถูกลอบสังหาร
จบจากโรงอาบน้ำก็ได้เวลาข้าวเที่ยงพอดี มาถึงเมืองนี้เราก็ต้องกินอาหารประจำท้องถิ่น เดินไปหาร้านที่ดู local มากๆ มื้อนี้สั่งอาหารท้องถิ่นไป 2-3 อย่าง ส่วนมากก็เป็น อาหารเส้น เพราะที่นี่อาหารหลักคือแป้ง ไม่ค่อยกินข้าวกัน หนึ่งในอาหารที่สั่งเค้าเรียก เปี้ยง เปี้ยง เมี่ยน (Biang Biang Mian) คือคำนี้เป็นตัวอักษรที่มีขีดเยอะมาก คนจีนบางคนยังไม่รู้เลยว่ามันอ่านว่าอะไร สรุปง่ายๆคือมันเป็นเส้นใหญ่มากๆ ใส่ซอส ใส่ผัก แบบแห้งๆ เป็นอาหารที่มีแต่แถบนี้เท่านั้นหาทานที่อื่นไม่ได้
เปี้ยง เปี้ยง เมี่ยน เส้นใหญ่มาก
จากนั้นเราก็ขับรถไปสุสานทหารจิ๋นซีฮ่องเต้ ในนี้ไม่รู้จะบรรยายอะไร มันใหญ่และอลังการตามรูปที่สามารถหาได้ในกูเกิ้ล หลักๆตอนนี้เค้าแบ่งเป็น 3 โซนหลักๆ ทุกวันนี้ทางทีมนักโบราณคดียังขุดกันอยู่เลย ขุดออกมาเสร็จต้องจดไว้ว่าตัวนี้ขุดเจอที่ตำแหน่งไหน แล้วจากนั้นก็เอาไปประกอบให้สมบูรณ์เป็นรูปร่างแล้วเอากลับมาวางที่เดิม เหมือนเล่นต่อจิ๊กซอล์ 3D เลย ในสุสานมีรูปปั้นทหาร รถม้า ม้าศึก เต็มไปหมด แต่ที่สุดคือตอนนี้สุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้จริงๆยังขุดไม่ได้
ในรูปดูตัวเลข แต่จริงๆใหญ่เท่าคนจริงเลยนะจ๊ะ
ทางไกด์เล่าว่าเท่าที่เค้าสำรวจเหมือนมีก๊าซพิษหุ้มเอาไว้ ง่ายๆว่าถ้าใครเจาะเปิดเข้าไป ก๊าซพิษก็จะกระจายออกมา ตายกันหมด สุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ทุกวันนี้เลยกลายเป็นภูเขาลูกเล็กๆไปโดยปริยาย คือความอลังการในสุสานนี่คิดไม่ออกเลยว่าต้องใช้แรงงานคนเท่าไหร่ถึงปั้นตุ๊กตาดินเผาเท่าคนจริงได้เยอะขนาดนี้ ไม่นับว่าทุกตัวไม่มีความเหมือนกัน หน้าตา ส่วนสูง สีหน้า เครื่องแต่งกาย แล้วไหนยังจะลงสีอีก คือจีนสมัยนั้นยิ่งใหญ่มากจริงๆ
จริงๆไกด์ที่สุสานเล่าเรื่องเยอะมาก มีหูฟังให้ใส่ด้วย เพราะคนเยอะ นางก็ไม่อยากตะโกน นางก็พูดใส่ไมค์ เราก็ได้ยินจากหูฟัง จีนเดี๋ยวนี้พัฒนาไปไกลแล้ว กลับออกจากสุสานตามเวลาที่วางไว้ จากนั้นก็ขับรถกลับเข้าเมือง รถติดมากกกกกกกกกกกกก (นึกว่าอยู่กรุงเทพ) กลับมาคืนรถ 2 ทุ่มพอดี ถึงได้ไปกินข้าว เป็นอันจบวันแรก
ลาออกไปเช็กอิน
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เจาะเวลาหาจิ๋นซีที่ซีอาน
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย